ประวัติพระโสณะ
โดย sutta  16 ต.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 21900

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 447

เถรคาถา เตรสกนิบาต

๑. โสณโกฬิวิสเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระโสณโกฬิวิสเถระ

[๓๘๐] ผู้ใดเป็นผู้สำเร็จความปรารถนา เป็นผู้สูงสุดในแว่นแคว้นของพระเจ้าอังคะ วันนี้ ผู้นั้นมีนามว่าโสณะ เป็นผู้เยี่ยมในธรรมทั้งหลาย เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ภิกษุพึงตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ พึงละสังโยชน์เบื้องบน ๕ และพึงเจริญอินทรีย์ ๕ ให้ยิ่ง ภิกษุผู้ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง ๕ ท่านเรียกว่า ผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว ศีล สมาธิและปัญญา ของภิกษุผู้มีมานะเพียงดังว่าไม้อ้อยกขึ้นแล้ว ผู้ประมาทยินดีในอายตนะอันมีในภายนอก ย่อมไม่ถึงความบริบูรณ์ กิจใดที่ควรทำ ภิกษุเหล่านี้มาละทิ้งกิจอันนั้นเสีย แต่มาทำกิจที่ไม่ควรทำ อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้มีมานะเพียงดังไม้อ้ออันยกขึ้นแล้วเป็นผู้ประมาท ส่วนภิกษุเหล่าใดปรารภกายคตาสติด้วยดีเป็นนิตย์ ภิกษุเหล่านั้นกระทำกรรมที่ควรทำเนืองนิตย์ ย่อมไม่เสพกรรมมิใช่กิจ อาสวะของภิกษุเหล่านั้นผู้มีสติสัมปชัญญะย่อมถึงความสิ้นสูญ เมื่อมีทางตรง พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้แล้ว ขอท่านทั้งหลายจงดำเนินไปเถิด อย่าพากันกลับ จงตักเตือนตนด้วยตนเอง พึงน้อมตนเข้าไปสู่นิพพาน เมื่อเราปรารภความเพียร พระศาสดาผู้มีพระจักษุยอดเยี่ยมในโลก ได้ทรงแสดงธรรม อุปมาด้วยสายพิณสอนเรา เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในพระศาสนา ยังสมถภาวนาให้เกิดขึ้นเพื่อบรรลุประโยชน์อันสูงสุด เราบรรลุวิชชา ๓ แล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว จิตของเราผู้น้อมไปในเนกขัมมะ ในความวิเวกแห่งจิต ในความไม่เบียดเบียน ในความสิ้นไปแห่งอุปาทาน ในความสิ้นตัณหา และในความไม่หลงใหลแห่งใจ ย่อมหลุดพ้นโดยชอบ เพราะเห็นความเกิดขึ้นแห่งอายตนะ การสั่งสมย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้หลุดพ้นแล้วโดยชอบ มีจิตสงบระงับ เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะพึงทำอีกไม่มี ภูเขาศิลาล้วนเป็นแท่งทึบ ย่อมไม่สะเทือนด้วยลมฉันใด รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ทั้งสิ้น ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ย่อมไม่ทำจิตของบุคคลผู้คงที่ให้หวั่นไหวได้ฉันนั้น จิตของผู้คงที่นั้น เป็นจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่เกาะเกี่ยวด้วยอารมณ์อะไรๆ เพราะผู้คงที่นั้น พิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งอารมณ์นั้น

จบโสณโกฬิวิสเถรคาถา

ในเตรสกนิบาตนี้ พระโสณโกฬิวิสเถระผู้มีมหิทธิฤทธิ์รูปเดียว เท่านั้น ได้ภาษิตคาถาไว้ ๑๓ คาถา ฉะนี้แล.

จบเตรสกนิบาต

อรรถกถาเตรสกนิบาต

อรรถกถาโสณโกฬิวิสเถรคาถาที่ ๑

ใน เตรสกนิบาต คาถาของ ท่านพระโสณโกฬิวิสเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ยาหุ รฏฺเ ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นเป็นอย่างไร? พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมบุญในภพนั้นๆ . ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อโนมทัสสี พระเถระนี้เป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก ไปสู่วิหารกับอุบาสกทั้งหลาย ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส ให้กระทำบริกรรมด้วยปูนขาว ในที่เป็นที่เสด็จจงกรมของพระศาสดา ลาดด้วยดอกไม้มีสีต่างๆ ให้ผูกเพดานด้วยผ้าย้อมด้วยสีต่างๆ ในเบื้องบน

อนึ่ง ได้สร้างศาลายาวมอบถวายแด่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เกิดในตระกูลเศรษฐีในหังสวดีนคร ท่านได้นามว่า สิริวัฑฒะ ท่านเจริญวัยแล้ว ไปสู่วิหารกำลังฟังธรรมในสำนักพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุผู้ปรารภความเพียร แม้ตนเองก็ปรารถนา

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 450

ตำแหน่งนั้น จึงบำเพ็ญมหาทานให้เป็นไปตลอด ๗ วัน แล้วตั้งความปรารถนาไว้. ฝ่ายท่านบำเพ็ญกุศลตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก เมื่อพระทศพลพระนามว่ากัสสปปรินิพพานแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายยังไม่เสด็จอุบัติขึ้น บังเกิดในเรือนมีตระกูล ในกรุงพาราณสี ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว สร้างบรรณศาลาใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งโดยเคารพ ด้วยปัจจัย ๔ ตลอด ๓ เดือน. พระปัจเจกพุทธเจ้าออกพรรษาแล้ว มีบริขารครบถ้วน ไปยังภูเขาคันธมาทน์. กุลบุตรแม้นั้น บำเพ็ญบุญในที่นั้นตลอดชีวิต จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ถือปฏิสนธิในเรือนแห่งอุสภเศรษฐี ในจัมปานคร จำเดิมแต่กาลที่ท่านถือปฏิสนธิ กองแห่งโภคะเป็นอันมากเจริญยิ่งแก่เศรษฐี. ในวันที่ท่านเกิด ท่านได้เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยมหาสักการะในนครทั้งสิ้น, เพราะเหตุที่ท่านบริจาคผ้ากัมพลแดงมีค่า ๑๐๐,๐๐๐ แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าในกาลก่อน ท่านได้มีอัตภาพมีสีดังทองคำ และละเอียดอ่อนยิ่งนัก ด้วยเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงขนานนามท่านว่า โสณะ ท่านเจริญด้วยบริวารใหญ่ พื้นฝ่ามือและฝ่าเท้าของท่าน ได้มีสีดังดอกชะบา. ขนทั้งหลายวนเป็นวงดังรูปต่างหูเพชรเกิดที่ฝ่าเท้า สัมผัสอ่อนเหมือนฝ้ายที่ชีแล้วตั้งร้อยครั้ง เมื่อท่านเจริญวัยแล้ว พวกญาติได้พากันสร้างปราสาท ๓ หลัง อันสมควรแก่ ๓ ฤดู ให้บำรุงด้วยฟ้อนรำ. ท่านเสวยสมบัติใหญ่ในที่นั้น ย่อมอยู่อาศัยเหมือนเทพกุมาร.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 451

ครั้นเมื่อพระศาสดาของเราทั้งหลาย บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ทรงประกาศธรรมจักรอันบวร เสด็จเข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ ท่านถูกพระเจ้าพิมพิสารรับสั่งให้เข้าเฝ้า ท่านจึงไปยังกรุงราชคฤห์พร้อมด้วยชาวบ้าน ๘๐,๐๐๐ คน ไปยังสำนักพระศาสดา ฟังธรรมแล้วได้ศรัทธา ให้มารดาบิดาอนุญาตแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบทในพระศาสนา เรียนกรรมฐานในสำนักพระศาสดา อยู่ในสีตวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการคลุกคลีด้วยหมู่ชน คิดว่าร่างกายของเราละเอียดอ่อน เราไม่อาจบรรลุสุขได้โดยง่ายเลย เราควรจะทำกายให้ลำบากกระทำสมณธรรม ดังนี้แล้ว อธิษฐานเฉพาะที่จงกรมเท่านั้น หมั่นประกอบความเพียร แม้ฝ่าเท้าพุพองขึ้น ได้มุ่งเพ่งเอาเวทนากระทำความหมั่น ก็ไม่สามารถเพื่อให้คุณวิเศษเกิดขึ้นได้ เพราะปรารภความเพียรเกินไป จึงคิดว่า เราแม้พยายามอยู่อย่างนี้ก็ไม่อาจให้มรรคหรือผลเกิดขึ้นได้ เราจะประโยชน์อะไรด้วยการบรรพชา เราจะสึกบริโภคโภคะและจักบำเพ็ญบุญ

พระศาสดาทรงทราบวาระจิตของท่าน จึงเสด็จไปในที่นั้น ทรงโอวาทด้วยพระโอวาทที่เปรียบด้วยพิณ เมื่อจะทรงแสดงวิธีประกอบความเพียรให้สม่ำเสมอ จึงให้ชำระพระกรรมฐานแล้วเสด็จไปยังเขาคิชฌกูฏ. ฝ่ายพระโสณเถระได้โอวาทในที่พร้อมพระพักตร์พระศาสดา ประกอบความเพียรให้สม่ำเสมอ บำเพ็ญวิปัสสนาดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า :-

เราได้ให้ทำที่จงกรม ซึ่งทำการฉาบทาด้วยปูนขาว ถวายแด่พระมุนีพระนามว่า อโนมทัสสี ผู้เป็นเชษฐบุรุษของโลกผู้คงที่ เราได้เอาดอกไม้ต่างๆ สี ลาดที่จงกรมทำเพดานบนอากาศแล้ว ทูลเชิญพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดให้ทรงเสวย เวลานั้น เราประนมอัญชลีถวายบังคมพระองค์ผู้มีวัตรอันงาม แล้วมอบถวายศาลารายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นศาสดายอดเยี่ยมแห่งโลก พระจักษุ ทรงรู้ความดำริของเรา จึงอนุเคราะห์รับไว้ พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคลในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ครั้นทรงรับแล้ว ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดมีจิตโสมนัสได้ถวายศาลารายแก่เรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว รถอันเทียมด้วยม้าพันหนึ่ง จักปรากฏแก่ผู้นี้พร้อมเพรียงด้วยบุญกรรมในเวลาใกล้ตาย ผู้นี้จักไปสู่เทวโลกด้วยยานนั้น เทวดาทั้งหลายจักพลอยบันเทิง ในเมื่อผู้นี้ไปถึงภพอันดีวิมานอันควรค่ามาก เป็นวิมานประเสริฐฉาบทาด้วยต้นแก้ว ประกอบด้วยปราสาทอันประเสริฐ จักครอบงำวิมานอื่น ผู้นี้จะรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัป จักได้เป็นท้าวเทวราชตลอด ๒๕ กัป และจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิตลอด ๗๗ กัป พระเจ้าจักรพรรดินั้น แม้ทั้งหมดมีพระนามเดียวกันว่า ยโสธร ผู้นี้ได้เสวยสมบัติทั้งสองแล้ว ก่อสร้างสั่งสมบุญ จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิใน ๒๘ กัป [อีก] แม้ในภพนั้น จักมีวิมาน

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 453

อันประเสริฐ ที่วิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตให้ ผู้นี้จักครองบุรี มีเสียง ๑๐ อย่างต่างๆ กัน ในกัปจะนับประมาณมิได้แต่กัปนี้ ผู้นี้จักได้เป็นพระราชารักษาแผ่นดิน มีฤทธิ์มาก มีพระนามชื่อว่า โอกกากะ อยู่ในแว่นแคว้นนางกษัตริย์ผู้มีวัยอันประเสริฐ มีชาติสูงกว่าหญิง ๖ หมื่นทั้งหมด จักประสูติเป็นพระราชบุตรและพระราชบุตรี ๘ พระองค์ ครั้นประสูติพระราชบุตรและพระราชบุตรี ๙ พระองค์แล้ว จักสิ้นพระชนม์ พระเจ้าโอกกากราชจักทรงอภิเษกนางกัญญาผู้เป็นที่รัก กำลังรุ่นเป็นมเหสี พระนางจักยังพระเจ้าโอกกากราชให้โปรดปรานแล้วได้พร ครั้นพระนางได้พรแล้ว จักให้ขับไล่พระราชบุตรและพระราชบุตรี พระราชบุตรและพระราชบุตรีทั้งหมดนั้นถูกขับไล่แล้ว จักไปยังภูเขา เพราะกลัวความปะปนด้วยชาติพระราชบุตรทั้งหมดจะสมสู่กับพระกนิษฐภคินี ส่วนพระเชษฐภคินีพระองค์หนึ่งจักเป็นที่เคารพ. เพราะเป็นโรคพยาธิ กษัตริย์ทั้งหลาย นำ (พระพี่นาง) ไปประทับในโพรงใต้ดิน ชาติของเราอย่าปะปนเลย. กษัตริย์องค์หนึ่ง (โกลิยะ) จึงทรงนำมาแล้ว จักสมสู่กับพระเชษฐภคินีนั้น ตั้งแต่นั้น ความปะปนแห่งสกุลโอกกากะได้มีแล้วพระโอรสของกษัตริย์เหล่านั้นจักมีพระนามว่าโกลิยะ โดยชาติ จักได้เสวยโภคสมบัติ อันเป็นของมนุษย์มิใช่น้อย

ในภพนั้น ผู้นี้เคลื่อนจากกายนั้นแล้วจักไปสู่เทวโลก แม้ในเทวโลกนั้น จักได้วิมานอันประเสริฐ เป็นที่รื่นรมย์ใจ ผู้นี้อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักเคลื่อนจากเทวโลกมาสู่ความเป็นมนุษย์ จักมีชื่อว่าโสณะ จักปรารภความเพียร มีใจแน่วแน่ ตั้งความเพียรในศาสนาของพระศาสดา กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะ นิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดมศากยบุตร ผู้ประเสริฐ ผู้รู้วิเศษ เป็นมหาวีระ ทรงเห็นคุณอนันต์ จักตั้งไว้ในตำแหน่งเลิศ เมื่อฝนตกในที่ประมาณ ๔ นิ้ว หญ้าประมาณ ๔ นิ้ว ลมซัด เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้คงที่ ซึ่งทรงประกอบความเพียร ความถึงที่สุดไม่มียิ่งขึ้นไปกว่านั้น เรามีตนฝึกแล้ว ในการฝึกอันอุดม เราตั้งจิตไว้ดีแล้ว เราปลงภาระทั้งปวงลงแล้ว เป็นผู้มีอาสวะดับแล้ว พระอังคีรสมหานาค มีพระชาติสูงดังพระยาไกรสร ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งเราไว้ในเอตทัคคสถาน คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ก็แลครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาการปฏิบัติของตน จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยอำนาจอุทาน และด้วยอำนาจการพยากรณ์พระอรหัตตผลว่า

ผู้ใดเป็นผู้สำเร็จความปรารถนา เป็นผู้สูงสุดในแว่นแคว้นของพระเจ้าอังคะ วันนี้ ผู้นั้นนั่น มีนามว่าโสณะ เป็นผู้เยี่ยมในธรรมทั้งหลาย เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ภิกษุ พึงตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ พึงละสังโยชน์เบื้องบน ๕ และพึงเจริญอินทรีย์ ๕ ให้ยิ่ง ภิกษุผู้ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง ๕ ท่านเรียกว่า ผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว ศีล สมาธิ และปัญญา ของภิกษุผู้มีมานะเพียงดังว่าไม้อ้ออันยกขึ้นแล้ว ผู้ประมาท ยินดีในอายตนะอันมีในภายนอก ย่อมไม่ถึงความบริบูรณ์ กิจใดที่ควรทำ ภิกษุเหล่านี้มาละทิ้งกิจอันนั้นเสีย แต่มาทำกิจที่ไม่ควรทำ อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้มีมานะเพียงดังไม้อ้ออันยกขึ้นแล้ว เป็นผู้ประมาท ส่วนภิกษุเหล่าใดปรารภกายคตาสติด้วยดีเป็นนิตย์ ภิกษุเหล่านั้น กระทำกรรมที่ควรทำเนืองนิตย์ ย่อมไม่เสพกรรมมิใช่กิจ อาสวะของภิกษุเหล่านั้นผู้มีสติสัมปชัญญะ ย่อมถึงความสิ้นสูญ เมื่อมีทางตรง พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้แล้ว ขอท่านทั้งหลายจงดำเนินไปเถิด อย่าพากันกลับ จงตักเตือนตนด้วยตนเอง พึงน้อมตนเข้าไปสู่นิพพาน เมื่อเราปรารภความเพียร พระศาสดาผู้มีจักษุยอดเยี่ยมในโลก ได้ทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยสายพิณสอนเรา เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในพระศาสนา ยังสมถภาวนาให้เกิดขึ้น เพื่อบรรลุ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 456

ประโยชน์อันสูงสุด เราบรรลุวิชชา ๓ แล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว จิตของเราผู้น้อมไปในเนกขัมมะ ในความวิเวกแห่งจิต ในความไม่เบียดเบียน ในความสิ้นไปแห่งอุปาทาน ในความสิ้นตัณหาและความไม่หลงใหลแห่งใจ ย่อมหลุดพ้นโดยชอบ เพราะเห็นความเกิดขึ้นแห่งอายตนะ การสั่งสมย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้หลุดพ้นแล้วโดยชอบ มีจิตรักสงบ เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะพึงทำอีกไม่มี ภูเขาศิลาล้วนเป็นแท่งทึบ ย่อมไม่สะเทือนด้วยลมฉันใด รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ทั้งสิ้น ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ย่อมไม่ทำจิตของบุคคลผู้คงที่ให้หวั่นไหวได้ฉันนั้น จิตของผู้คงที่นั้น เป็นจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่เกาะเกี่ยวด้วยอารมณ์อะไรๆ เพราะผู้คงที่นั้นพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งอารมณ์นั้น