[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 621
สุตตนิบาต
มหาวรรคที่ ๓
นาลกสูตรที่ ๑๑
ว่าด้วยอสิตฤษีพิจารณามนต์ว่าพระกุมารต้องบรรลุ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 621
นาลกสูตรที่ ๑๑
ว่าด้วยอสิตฤษีพิจารณามนต์ว่าพระกุมารต้องบรรลุ
[๓๘๘] อสิตฤษีอยู่ในที่พักกลางวัน ได้เห็นท้าวสักกะจอมเทพ และเทวดาคณะไตรทศผู้มีใจชื่นชม มีปีติโสมนัส ยกผ้าทิพย์ขึ้นเชยชมอยู่อย่างเหลือเกิน ในที่อยู่อันสะอาด ครั้นเห็นแล้วจึงกระทำความนอบน้อม แล้วได้ถามเทวดาทั้งหลายผู้มีใจเบิกบานบันเทิงในที่นั้นว่า เพราะเหตุไรหมู่เทวดาจึงเป็นผู้ยินดีอย่างเหลือเกิน ท่านทั้งหลายยกผ้าทิพย์ขึ้นแล้ว รื่นรมย์อยู่เพราะอาศัยอะไร.
แม้คราวใด ได้มีสงครามกับพวกอสูร พวกเทวดาชนะ พวกอสูรปราชัย แม้คราวนั้นขนลุกพองเป็นเช่นนี้ก็มิได้มี เทวดาทั้งหลายได้เห็นเหตุอะไร ซึ่งไม่เคยมีมา จึงพากันเบิกบาน เปล่งเสียงชมเชย ขับร้อง ประโคม ปรบมือ และฟ้อนรำกันอยู่.
เราขอถามท่านทั้งหลายผู้อยู่บนยอดเขาสิเนรุ ดูก่อนท่านผุ้นิรทุกข์ทั้งหลาย ขอ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 622
ท่านทั้งหลายจงช่วยขจัดความสงสัยของเรา โดยเร็วเถิด.
เทวดาทั้งหลายกล่าวว่า
พระโพธิสัตว์ผู้เป็นรัตนะอันประเสริฐนั้น หาผู้เปรียบมิได้ ได้เกิดแล้วในมนุษย์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขที่ป่าลุมพินีวัน ในคามชนบทของเจ้าศากยะทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เราทั้งหลายจึงพากันยินดี เบิกบานอย่างเหลือเกิน.
พระโพธิสัตว์นั้น เป็นอัครบุคคลผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ เป็นผู้องอาจกว่านรชน สูงสุดกว่าหมู่สัตว์ทั้งมวล เหมือนสีหะผู้มีกำลัง ครอบงำหมู่เนื้อบันลืออยู่ จักทรงประกาศธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนะ.
อสิตฤษีได้ฟังเสียงที่เทวดาทั้งหลาย กล่าวแล้วก็รีบลง (จากชั้นดาวดึงส์) เข้าไปยังที่ประทับของพระเจ้าสุทโธทนะ นั่ง ณ ที่นั้นแล้ว ได้ทูลถามเจ้าศากยะทั้งหลายว่า พระกุมารประทับ ณ ที่ไหน แม้อาตมภาพ ประสงค์จะเฝ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 623
ลำดับนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายได้ทรงแสดงพระกุมารรุ่งเรือง เหมือนทองคำที่ปากเบ้าซึ่งนายช่างทองผู้เฉลียวฉลาดหลอมดีแล้ว ผู้รุ่งเรืองด้วยสิริ มีวรรณะไม่ทรามแก่อสิตฤษี.
อสิตฤษีได้เห็นพระกุมารผู้รุ่งเรือง เหมือนเปลวไฟเหมือนพระจันทร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งโคจรอยู่ในอากาศ สว่างไสวกว่าหมู่ดาว เหมือนพระอาทิตย์พ้นแล้วจากเมฆ แผดแสงอยู่ในสรทกาล ก็เกิดความยินดี ได้ปีติอันไพบูลย์.
เทวดาทั้งหลายกั้นเศวตฉัตรที่ซี่เป็นอันมาก และประกอบด้วยมณฑลตั้งพันไว้ในอากาศ จามรด้ามทองทั้งหลายตกลงอยู่ บุคคลผู้ถือจามรและเศวตฉัตร ย่อมไม่ปรากฏ.
ฤษีทรงชฎาชื่อว่ากัณหสิริ ได้เห็นพระกุมารดุจแท่งทองบนผ้ากัมพลแดง และเศวตฉัตรที่กั้นอยู่ในพระเศียร เป็นผู้มีจิตเฟื่องฟู ดีใจ ได้รับเอาด้วยมือทั้งสอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 624
ครั้นแล้ว อสิตฤษีผู้เรียนจบลักษณะมนต์ พิจารณาพระราชกุมารผู้ประเสริฐ มีจิตเลื่อมใส ได้เปล่งถ้อยคำว่า พระกุมารนี้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า สูงสุดกว่าสัตว์สองเท้า.
ครั้งนั้น อสิตฤษีหวนระลึกถึงการบรรลุรูปฌานของตน เป็นผู้เสียใจถึงน้ำตาตก เจ้าศากยะทั้งหลายได้ทอดพระเนตรเห็นอสิตฤษีร้องไห้จึงตรัสถามว่า ถ้าอันตราย จะมีในพระกุมารหรือหนอ.
อสิตฤษีได้ทูลเจ้าศากยะทั้งหลายผู้ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ไม่ทรงพอพระทัยว่า อาตมภาพระลึกถึงกรรมอันไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลในพระกุมารหามิได้.
อนึ่ง แม้อันตรายก็จักไม่มีแก่พระกุมารนี้ พระกุมารนี้เป็นผู้ไม่ทราม ขอมหาบพิตรทั้งหลาย จงเป็นผู้ดีพระทัยเถิด พระกุมารนี้จักทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ.
พระกุมารนี้จักทรงเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จักทรงประกาศธรรมจักร พรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 625
แต่อายุของอาตมภาพ จักไม่ดำรงอยู่ได้นานในกาลนี้ อาตมภาพจักกระทำกาละเสียในระหว่างนี้ จักไม่ได้ฟังธรรมของพระกุมารผู้มีความเพียรไม่มีบุคคลผู้เสมอ เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงเป็นผู้เร่าร้อนถึงความพินาศ ถึงความทุกข์.
อสิตฤษียังปีติอันไพบูลย์ให้เกิดแก่เจ้าศากยะทั้งหลายแล้ว ออกจากพระราชวังไปประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อจะอนุเคราะห์หลานของตน ได้ให้หลานสมาทานในธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีความเพียรไม่มีบุคคลผู้เสมอ แล้วกล่าวว่า
ในกาลข้างหน้า เจ้าได้ยินเสียงอันระบือไปว่า พุทโธ ดังนี้ไซร้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว ย่อมทรงเปิดเผยทางปรมัต ถธรรม เจ้าจงไปทูลสอบถามด้วยตนเองในสำนักของพระองค์ แล้วประพฤติพรหมจรรย์ในสำนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเถิด.
อสิตฤษีนั้นผู้มีปรกติเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งในอนาคต มีใจเกื้อกูล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 626
เช่นนั้น ได้สั่งสอนนาลกดาบส นาลกดาบส เป็นผู้สั่งสมบุญไว้ รักษาอินทรีย์ รอคอยพระชินสีห์อยู่.
นาลกดาบสได้ฟังเสียงประกาศในกาลที่พระชินสีห์ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ ได้ไปเฝ้าพระชินสีห์ผู้องอาจกว่าฤษีแล้ว เป็นผู้เลื่อมใส ได้ทูลถามปฏิปทาอันประเสริฐของมุนีกะพระชินสีห์ ผู้เป็นมุนีผู้ประเสริฐ ในเมื่อเวลาคำสั่งสอนของอสิตฤษีมาถึงเข้าฉะนี้แล.
จบวัตถุกถา
[๓๘๙] ข้าพระองค์ ได้รู้ตามคำของอสิตฤษีโดยแท้ เพราะเหตุนั้น ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ทูลถามพระองค์ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกมุนีและปฏิปทาอันสูงสุดของมุนี แห่งบรรพชิตผู้แสวงหาการเที่ยวไปเพื่อภิกษา แก่ข้าพระองค์เถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 627
เราจักบัญญัติปฏิปทาของมุนีที่บุคคลทำได้ยาก ให้เกิดความยินดีได้ยาก แก่ท่าน เอาเถิด เราจักบอกปฏิปทาของมุนีนั้นแก่ท่าน.
ท่านจงอุปถัมภ์ตน จงเป็นผู้มั่นคงเถิด พึงกระทำการด่า และการไหว้ในบ้านให้เสมอกัน พึงรักษาความประทุษร้ายแห่งใจ พึงเป็นผู้สงบไม่มีความเย่อหยิ่งเป็นอารมณ์.
อารมณ์ที่สูงต่ำมีอุปมาด้วยเปลวไฟในป่า ย่อมมาสู่คลองจักษุเป็นต้น เหล่านารีย่อมประเล้าประโลมมุนี นารีเหล่านั้น อย่าพึงประเล้าประโลมท่าน.
มุนีละกามทั้งหลายทั้งที่ดีแล้วงดเว้นจากเมถุนธรรม ไม่ยินดียินร้าย ในสัตว์ทั้งหลายผู้สะดุ้งและมั่นคง.
พึงกระทำตนให้เป็นอุปมาว่า เราฉันใด สัตว์เหล่านี้ก็ฉันนั้น สัตว์เหล่านี้ฉันใด เราก็ฉันนั้น ดังนี้แล้ว ไม่พึงฆ่าเอง ไม่พึงใช้ผู้อื่นให้ฆ่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 628
มุนีละความปรารถนาและความโลภในปัจจัยที่ปุถุชนข้องอยู่แล้ว เป็นผู้มีจักษุพึงปฏิบัติปฏิปทาของมุนีนี้ พึงข้ามความทะเยอทะยานในปัจจัย ซึ่งเป็นเหตุแห่งมิจฉาชีพที่หมายรู้กันว่านรกนี้เสีย.
พึงเป็นผู้มีท้องพร่อง (ไม่เห็นแก่ท้อง) มีอาหารพอประมาณ มีความปรารถนาน้อย ไม่มีความโลภ เป็นผู้หายหิว ไม่มีความปรารถนาด้วยความอยาก ดับความเร่าร้อนได้แล้วทุกเมื่อ.
มุนีนั้นเที่ยวไปรับบิณฑบาตแล้ว พึงไปยังชายป่า เข้าไปนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้.
พึงเป็นผู้ขวนขวายในฌาน เป็นนักปราชญ์ ยินดีแล้วในป่า พึงทำจิตให้ยินดียิ่ง เพ่งฌานอยู่ที่โคนต้นไม้.
ครั้นเมื่อล่วงราตรีไปแล้ว พึงเข้าไปสู่บ้าน ไม่ยินดีโภชนะที่ยังไม่ได้ และโภชนะที่เขานำไปแต่บ้าน.
ไปสู่บ้านแล้ว ไม่พึงเที่ยวไปในสกุล โดยรีบร้อน ตัดถ้อยคำเสียแล้ว ไม่พึงกล่าววาจาเกี่ยวด้วยการแสวงหาของกิน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 629
มุนีนั้นคิดว่า เราได้สิ่งใด สิ่งนี้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ เราไม่ได้ก็เป็นความดี ดังนี้แล้ว เป็นผู้คงที่ เพราะการได้และไม่ได้ทั้งสองอย่างนั้นแล ย่อมก้าวล่วงทุกข์เสียได้.
เปรียบเหมือนบุรุษแสวงหาผลไม้ เข้าไปยังต้นไม้แล้ว แม้จะได้ แม้จะไม่ได้ ก็ไม่ยินดี ไม่เสียใจ วางจิตเป็นกลางหลับไปฉะนั้น.
มุนีมีบาตรในมือเที่ยวไปอยู่ ไม่เป็นใบ้ ก็สมมุติว่าเป็นใบ้ ไม่พึงหมิ่นทานว่าน้อย ไม่พึงดูแคลนบุคคลผู้ให้.
ก็ปฏิปทาสูงต่ำ พระพุทธสมณะประกาศแล้ว มุนีทั้งหลาย ย่อมไม่ไปสู่นิพพานถึงสองครั้ง นิพพานนี้ควรถูกต้อง ครั้งเดียวเท่านั้น หามิได้.
ก็ภิกษุผู้ไม่มีตัณหา ตัดกระแส กิเลสได้แล้ว ละกิจน้อยใหญ่ได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่ความเร่าร้อน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เราจักบอกปฏิปทาของมุนีแก่ท่าน ภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทาของมุนี พึงเป็นผู้มีคม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 630
มีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ กดเพดานไว้ด้วยลิ้นแล้ว พึงเป็นผู้สำรวมที่ท้อง.
มีจิตไม่ย่อหย่อน และไม่พึงคิดมาก เป็นผู้ไม่มีกลิ่นดิบ อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว มีพรหมจรรย์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า พึงศึกษาเพื่อการนั่งผู้เดียว และเพื่อประกอบภาวนาที่สมณะพึงอบรม ท่านผู้เดียวแล จักอภิรมย์ความเป็นมุนีที่เราบอกแล้ว โดยส่วนเดียว ทีนั้นจงประกาศไปตลอดทั้งสิบทิศ.
ท่านได้ฟังเสียงสรรเสริญ ของนักปราชญ์ทั้งหลายผู้เพ่งฌาน ผู้สละกามแล้ว แต่นั้นพึงกระทำหิริและศรัทธาให้ยิ่งขึ้นไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นสาวกของเราได้.
ท่านจะรู้แจ่มแจ้งซึ่งคำที่กล่าวนั้นได้ ด้วยการแสดงแม่น้ำทั้งหลาย ทั้งในเหมืองและหนอง แม่น้ำห้วยย่อมไหลดังโดยรอบ แม่น้ำใหญ่ย่อมไหลนิ่ง สิ่งใดพร่องสิ่งนั้น ย่อมดัง สิ่งใดเต็ม สิ่งนั้นสงบ.
คนพาลเปรียบด้วยหม้อน้ำที่มีน้ำครึ่งหนึ่ง บัณฑิตเปรียบเหมือนห้วงน้ำที่เต็ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 631
สมณะกล่าวถ้อยคำใดมากที่เข้าถึงประโยชน์ ประกอบด้วยประโยชน์ รู้ถ้อยคำนั้นอยู่ย่อมแสดงธรรม.
สมณะผู้นั้นรู้อยู่ ย่อมกล่าวถ้อยคำมาก สมณะใดรู้อยู่ สำรวมตน สมณะนั้น รู้เหตุที่ไม่นำประโยชน์เกื้อกูล และความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่กล่าวมาก สมณะผู้นั้นเป็นมุนี ย่อมควรซึ่งปฏิปทาของมุนี สมณะนั้นได้ถึงธรรมเครื่องเป็นมุนี แล้ว.
จบนาลกสูตรที่ ๑๑
อรรถกถานาลกสูตรที่ ๑๑
นาลกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า อานนฺทชาเต ผู้ที่ใจชื่นชม ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร?
มีเรื่องเล่าว่าดาบสชื่อว่า นาลกะ เป็นหลานของ อสิตฤษี เห็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทา (ปฏิบัติเพื่อความเป็นมุนี) จึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนั้น จำเดิมแต่นั้น ได้บำเพ็ญบารมีแสนกัป ได้ทูลถามโมเนยยปฏิปทากะพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 632
คาถาสองคาถามีอาทิว่า อญฺาตเมตํ ข้าพระองค์ได้รู้ตามคำของอสิตฤษี ดังนี้. ในวันที่ ๗ จากวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์โมเนยยปฎิปทานั้นแก่นาลกดาบสโดย นัยมีอาทิว่า โมเนยฺยนฺเต อุปญฺิสฺสํ เราจักบัญญัติปฏิปทาของมุนีแก่ท่าน ดังนี้. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านพระอานนท์ อันท่านพระมหากัสสปผู้ทำสังคายนาถามโมเนยยปฏิปทานั้น ประสงค์จะแสดง กระทำเรื่องราวทั้งหมดในขณะที่นาลกดาบสถูกชักชวนทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ปรากฏ จึงกล่าววัตถุคาถา ๒๐ คาถา มีอาทิว่า อานนฺทชาเต ดังนี้. ท่านเรียกเรื่องแม้ทั้งหมดนั้นว่า นาลกสูตร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อานนฺทชาเต ได้แก่ เป็นผู้สำเร็จ คือถึงความเจริญ. บทว่า ปตีเต คือยินดี. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อานนฺทชาเต คือชื่นชม. บทว่า ปตีเต คือ มีความโสมนัส. บทว่า สุจิวสเน คือในที่อยู่อันไม่เศร้าหมอง. จริงอยู่ที่อยู่ของเทวดาทั้งหลายเกิดจากต้นกัลปพฤกษ์ จึงไม่จับละอองหรือมลทิน. บทว่า ทุสฺสํ คเหตฺวา ได้แก่ ยกผ้าทิพย์ที่ได้ชื่อว่า ทุสฺสํ เพราะเป็นเช่นผ้าในโลกนี้. บทว่า อสิโต อิสิ คืออสิตฤษี ที่ได้ชื่ออย่างนี้ เพราะมีผิวกายดำ. บทว่า ทิวาวิหาเร คือในที่พักกลางวัน. คำที่เหลือโดยบทง่ายทั้งนั้น แต่โดยความสัมพันธ์กัน นัยว่า อสิตฤษีนี้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสีหหนุพระชนกของพระเจ้าสุทโธทนะ ได้เป็นอาจารย์บอกศิลปะแต่ครั้ง พระเจ้าสุทโธทนะยังมิได้อภิเษก ครั้นอภิเษกแล้วได้เป็นปุโรหิต. เมื่ออสิตฤษี มารับราชการในเวลาเย็นและเวลาเช้า พระราชามิได้ทรงทำความเคารพเหมือนเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ทรงกระทำเพียงยกพระหัตถ์ประนมเท่านั้น. นัยว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 633
นี้เป็นธรรมดาของเจ้าศากยะทั้งหลายที่ได้อภิเษกแล้ว. ปุโรหิตเบื่อหน่ายด้วยการรับราชการ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์จะบรรพชาพระเจ้า ข้า. พระราชาทรงทราบความตั้งใจแน่วแน่ของปุโรหิตนั้น จึงตรัสขอร้องว่า ท่านอาจารย์ถ้าเช่นนั้น ขอให้ท่านอาจารย์อยู่ในอุทยานของข้าพเจ้าเถิด โดยที่ ข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมท่านอาจารย์เสมอๆ. ปุโรหิตรับกระแสะพระดำรัสแล้วบรรพชาเป็นดาบส พระราชาทรงอุปถัมภ์อยู่ในสวนนั่นเอง ดาบสกระทำ กสิณบริกรรมยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดแล้ว. ตั้งแต่นั้นมา อสิตดาบสนั้นก็ไปฉันในราชตระกูล แล้วไปพักกลางวัน ณ ป่าหิมพานต์ สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา และนาคพิภพเป็นต้น แห่งใดแห่งหนึ่ง.
อยู่มาวันหนึ่งอสิตดาบสได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เข้าไปยังรัตนวิมาน นั่งบนทิพพรัตนบัลลังก์ เสวยสมาธิสุข ตอนเย็นจึงออกจากสมาธิแล้วไปยืนอยู่ที่ประตูวิมาน เหลียวแลดูข้างโน้นข้างนี้ ได้เห็นทวยเทพมีท้าวสักกะเป็นประมุข ยกผืนผ้าทิพย์ที่ถนนใหญ่ประมาณ ๖๐ โยชน์ แล้วกล่าวคำชมเชยคุณของพระโพธิสัตว์รื่นเริงอยู่. ด้วยเหตุนั้นท่านพระอานนท์ จึงกล่าวว่า อานนฺทชาเต ฯเปฯ ทิวาวิหาเร ความว่า อสิตฤษีอยู่ในที่พักกลางวันได้เห็นท้าวสักกะจอมเทพ และเทวดาคณะไตรทศผู้มีใจชื่นชม มีปีติโสมนัสยกผ้าทิพย์ขึ้นเชยชมอยู่อย่างเหลือเกินในที่อยู่อันสะอาด ดังนี้. ครั้นอสิตฤษีเห็นอย่างนั้นแล้วจึงทำความ เคารพ แล้วได้ถามทวยเทพผู้มีใจเบิกบานบันเทิงในที่นั้นว่า เพราะเหตุไร ทวยเทพจึงเป็นผู้ยินดีอย่างเหลือเกิน ท่านทั้งหลายยกผ้าทิพย์ขึ้นแล้วรื่นรมย์ อยู่เพราะอาศัยอะไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 634
ในบทเหล่านั้นบทว่า อุทคฺเค คือมีกายสูงยิ่ง. บทว่า จิตฺตํ กริตฺ วา ได้แก่ ทำความเคารพ. บทว่า กลฺยาณรูโป คือยินดีมาก. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
บัดนี้ พึงทราบคาถามีอาทิว่า ยทาปิ อาสิ แม้คราวใดได้มีสงครามกับพวกอสูร ดังนี้ มีความเชื่อมกันง่ายทั้งนั้น. แต่พึงทราบความแห่งบทในคาถาต้นก่อน บทว่า สงฺคโม ได้แก่ สงคราม. บทว่า ชโย สุรานํ คือ พวกเทวดาชนะ. เพื่อความแจ่มแจ้งของบทนั้น พึงทราบกถาตามลำดับต่อไปนี้.
มีเรื่องเล่ามาว่า ท้าวสักกะเป็นมาณพชื่อมาฆะเป็นใหญ่ในมนุษย์ ๓๓ คน ผู้เป็นชาวบ้านมจลคาม ในแคว้นมคธ บำเพ็ญวัตตบท ๗ บังเกิดในดาวดึงส์ พิภพพร้อมกับบริษัท. ลำดับนั้นพวกเทวดาก่อนๆ กล่าวกันว่า พวกเทพบุตร ผู้เป็นอาคันตุกะมาแล้ว พวกเราจักต้อนรับพวกเขาจึงน้อมนำดอกบัวทิพย์เข้าไปให้และเชื้อเชิญให้ครองราชสมบัติกึ่งหนึ่ง. ท้าวสักกะไม่ทรงยินดีด้วยราชสมบัติเพียงกึ่งหนึ่ง จึงประกาศให้บริษัทของตนรู้ วันหนึ่งเมื่อเทวดาก่อนๆ เมาจึงจับเท้าขว้างไปที่เชิงเขา สิเนรุ. ณ พื้นชั้นล่างของภูเขาสิเนรุของทวยเทพเหล่านั้นเกิดอสูรภพประมาณหมื่นโยชน์ งดงามด้วยจิตตปาฎลีปกคลุมดอกไม้สวรรค์. แต่นั้นพวกบุรพเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นครั้นได้สติไม่เห็นดาวดึงส์พิภพ จึงกล่าวกันว่า โอ! ร้ายจริงพวกเราพากันฉิบหาย เพราะโทษที่ดื่มสุราจนเมามาย บัดนี้พวกเราจะไม่ดื่มสุราอีกแล้ว พวกเราจะดื่มที่ไม่ใช่สุรา บัดนี้พวกเรา มิได้เป็นเทวดาแล้ว พวกเราเป็นอสูรแล้ว ตั้งแต่นั้น ก็มีชื่อเกิดขึ้นว่า อสุรา คิดกันว่าพวกเราจะทำสงครามกับพวกเทวดาในบัดนี้ จึงพากันไปเบื้องหน้าภูเขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 635
สิเนรุ. ลำดับนั้นท้าวสักกะขึ้นไปรบกะพวกอสูร ขว้างลงในมหาสมุทรอีก สร้างรูปเปรียบพระอินทร์คล้ายพระองค์ตั้งไว้ที่ประตู ๔ ด้าน. พวกอสูรคิดว่าท้าวสักกะนี้ช่างไม่ประมาทดีจริงหนอ มายืนอยู่ได้เป็นนิจ. แล้วพากันกลับเข้าเมือง. ลำดับนั้นทวยเทพประกาศชัยชนะของตน ยกผืนผ้าทิพย์ขึ้นที่ถนนใหญ่พากันเล่นนักษัตร.
ครั้งนั้น อสิตฤษี เพราะตนสามารถระลึกชาติในอดีตและอนาคตได้ตลอด ๔๐ กัป จึงรำพึงว่า ทวยเทพเหล่านี้เคยเล่นนักษัตรอย่างนี้เหมือนในกาลก่อนหรือหนอ เห็นเทพชนะสงครามระหว่างเทวดากับอสูร จึงกล่าวว่า ยทาปิ อาสิ อสุเรหิ ฯเปฯ โลมหํโส ความว่า แม้คราวใดได้ที่สงครามกับพวกอสูร พวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้ แม้คราวนั้นขนลุกพองเช่นนี้ก็มิได้ มี. บทว่า กิมพฺภูตํ ทฏฺฐุ มรู ปโมทิตา ความว่า วันนี้เทวดาทั้งหลาย ได้เห็นเหตุอะไรซึ่งไม่เคยมีมา จึงพากันเบิกบานอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยใน คาถาที่ ๒ ดังนี้. บทว่า เสเฬนฺติ คือ เทวดาทั้งหลายเปล่งเสียงชมเชย. ขับร้องหลายอย่าง ประโคมดนตรี ๖๘,๐๐๐ ชิ้น. บทว่า โผเฏนฺติ คือปรบมือ. บทว่า ปุจฺฉามิ โวหํ เราขอถามท่านทั้งหลาย คือ อสิตฤษีแม้สามารถจะรู้ได้ด้วยตนเอง ก็ถามเพราะประสงค์จะฟังคำของพวกเทพเหล่านั้น. บทว่า เมรุมุทฺธวาสิเน คือ ผู้อยู่บนยอดเขาสิเนรุ. จริงอยู่ ณ พื้นชั้นล่างของของเขาสิเนรุมีอสุรภพประมาณ ๑๐,๐๐๐ โยชน์. ณ พื้นชั้นกลางมีมหาทวีป ๔ มีทวีปน้อยประมาณ ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร. ณ พื้นชั้นบน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 636
มีดาวดึงส์พิภพ ๑๐,๐๐๐ โยชน์. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สิเนรุมุทฺธวาสิโน ผู้อยู่บนยอดเขาสิเนรุ. บทว่า มาริสา อสิตฤษีเรียกพวกเทวดา. ท่านอธิบายว่า เป็นผู้ไม่มีทุกข์ และไม่มีโรค.
ต่อไปพึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๓ ซึ่งเทวดาทั้งหลายบอกความนั้นแก่อสิตฤษีได้กล่าวแล้ว. บทว่า โพธิสตฺโต ได้แก่ สัตว์ผู้จะตรัสรู้ คือ สัตว์ผู้ควรบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ. บทว่า รตนวโร คือ ผู้เป็นรัตนะอันประเสริฐ. บท ว่า เตนมฺหา ตุฏฺา คือ เพราะเหตุนั้นพวกเราจึงยินดี. เพราะว่าพระโพธิสัตว์นั้น ครั้นบรรลุความเป็นพุทธะแล้วจักแสดงธรรมโดยประการที่พวกเราและเหล่าเทพอื่นจักบรรลุภูมิของพระเสกขะและพระอเสกขะได้ แม้มนุษย์ทั้งหลายเหล่า ใดฟังธรรมของท่านแล้วยังไม่สามารถจะปรินิพพานได้ มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น จักทำทานเป็นต้น แล้วไปบังเกิดในเทวโลกได้ นัยว่านี้เป็นอธิบายของหมู่เทพเหล่านั้นด้วยประการฉะนี้. ในบทเหล่านั้นบทว่า ตุฏฺา กลฺยรูปา พวกเราพากันยินดีเบิกบาน ความว่า สองบทนี้ไม่ต่างกันก็จริงถึงดังนั้น พวกเทวดา เห็นอะไรที่ไม่เคยมีมาแล้ว จึงพากันเบิกบาน การรบของเทวดาน่าเบิกบานนักหรือ พึงทราบว่าท่านกล่าวไว้เพื่อแก้สองปัญหา ดังนี้.
บัดนี้ พึงทราบความแห่งคาถาที่ ๔ ที่เทวดาทั้งหลายกล่าวชี้แจงถึงความประสงค์เมื่อพระโพธิสัตว์อุบัติแล้วพวกเขาพากันยินดี. พระสังคีติกาจารย์ แสดงความที่พระโพธิสัตว์เป็นผู้ประเสริฐในคติทั้ง ๕ ด้วยสองบทเหล่านี้ แสดงถึงการถือกำเนิดเป็นเทวดาและมนุษย์ด้วย สัตต ศัพท์ แสดงการถือคติ ที่เหลือด้วย ปชา ศัพท์. จริงอยู่แม้สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมีสีหะเป็นต้นก็ยัง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 637
ประกอบด้วยคุณมีความไม่หวาดสะดุ้งเป็นต้น พระโพธิสัตว์นี้แหละทำให้สัตว์ แม้เหล่านั้นหวาดสะดุ้งได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปชานมุตฺตโม เป็นผู้ สูงสุดกว่าหมู่สัตว์ทั้งหลาย. ก็ในบรรดาเทวาและมนุษย์ทั้งหลาย ในบุคคล ๔ จำพวก มีผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนเป็นต้นเหล่านั้น ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ทั้ง สองนี้เป็นอัครบุคคล และเป็นผู้องอาจกว่านรชนเพราะเป็นเช่นกับโคอุสภะในหมู่ชน. ด้วยเหตุนั้นเทวดาทั้งหลายเมื่อจะกล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์นั้น จึงกล่าวบททั้งสองนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๕. บทว่า ตํ สทฺทํ ความว่า อสิตฤษี ได้ฟังคำที่เทวดาทั้งหลายได้กล่าวแล้วนั้น. บทว่า อวสริ คือรีบลง. บทว่า ตทภวนํ ตัดบทเป็น ตทา ภวนํ ได้แก่ เข้าไปยังที่ประทับของพระเจ้าสุทโธทนะในขณะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๖. บทว่า ตโต ได้แก่ ต่อจากคำของอสิตฤษี. บทว่า อุกฺกามุเขว คือ เหมือนทองคำที่ปากเบ้า. อธิบายว่า เหมือนทองคำบริสุทธิ์ในเบ้า. บทว่า สุกุสลสมฺปหฏฺํ ได้แก่ นายช่างทองผู้ฉลาดหลอมดีแล้ว อธิบายว่า หล่อหลอม. บทว่า ททฺทลฺลมานํ คือ ผู้รุ่งเรือง. บทว่า อสิตวฺหยสฺส คือแก่ฤษีชื่ออสิตะ. ชื่อที่สองว่ากัณหเทวิลฤษี.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๗. บทว่า ตาราสภํ วา คือ เหมือนความรุ่งเรืองของดวงดาว. อธิบายว่า เหมือนพระจันทร์. บทว่า วิสุทฺธํ คือเว้นจากอุปกิเลสมีหมอกเป็นต้น. บทว่า สรทริว คือ ดุจในสรทกาล. บทว่า อานนฺทชาโต เกิดความยินดี คือ เกิดปีติโดยเพียงได้ยินเท่านั้น. บทว่า อลตฺถ ปีตึ ได้ปีติ คือครั้นเห็นแล้วก็ได้ปีติยิ่งขึ้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 638
ต่อจากนั้นพึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๘ ที่พวกเทวดากล่าวแก่พระโพธิสัตว์ เพื่อแสดงสักการะอันประกอบขึ้นเอง. บทว่า อเนกสาขํ คือมีซี่เป็นอันมาก. บทว่า สหสฺสมณฑลํ มีมณฑลตั้งพัน คือประกอบด้วยมณฑลตั้งพันสำเร็จด้วยทองคำสีแดง. บทว่า ฉตฺตํ คือ เศวตฉัตรอันเป็นทิพย์. บทว่า วีติปตนฺติ ตกลงอยู่ คือ จามรด้ามทองทั้งหลายค้อมลงมาพัดวีสรีระ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๙, บทว่า ชฏี ได้แก่ ชฎิล. บทว่า กณฺหสิริวฺหโย ฤษี ชื่อว่า กัณหสิริ คือ เรียกชื่อด้วย กัณหศัพท์และสิรีศัพท์. ท่านอธิบายไว้ว่า ได้ยินว่า เรียกชื่อท่านว่าสิริกัณหะบ้าง. บทว่า ปณฺฑุกมฺพเล ได้แก่บนผ้ากัมพลแดง. ก็เรื่องราวในที่นี้ควรกล่าวว่า ซึ่งพระกุมาร หรือควรทำปาฐะที่เหลือไว้. อนึ่งในคาถาต้นท่านกล่าวว่า ทิสฺวา เห็นเเล้ว หมายถึงเข้าไปถึงหัตถบาส. แต่บทว่า ทิสฺวา นี้หมายถึงนำเข้ารับถึงหัตถบาส เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทิสฺวา ซ้ำอีก. ท่านกล่าวถึงทัศนะมีในก่อน หรือการมุ่งเพื่อได้ปีติ เพราะคำว่า วิปุลมลตฺถ ปีตึ ได้ปีติไพบูลย์ในที่สุดคาถา กล่าวการมุ่งเพื่อรับนี้ เพราะคำว่า สุมโน ปฏิคฺคเห ดีใจรับเอาในที่สุด. อนึ่ง บทก่อนเกี่ยวกับพระกุมาร บทนี้เกี่ยวกับเศวตฉัตร ได้เห็นพระกุมารดุจแท่งทองบนผ้ากัมพลแดงของแคว้นคันธาระมีค่า ๑๐๐,๐๐๐ และเศวตฉัตรที่กั้นอยู่บนพระเศียร ดังที่ได้กล่าวแล้วในบทนี้ว่า ฉตฺตํ มรู พวกเทวดากั้นเศวตฉัตร ดังนี้. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ฉัตรนี้ท่านกล่าวหมายถึงฉัตรอันเป็นของมนุษย์. แม้พวกมนุษย์ ก็ถือ ฉัตรจามร ฉัตรหางนกยูง ใบตาล และพัดวาลวีชนีเข้าไปหาพระมหาบุรุษเหมือนเทวดาทั้งหลายได้เหมือนกัน. เมื่อเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 639
เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดียิ่งไปด้วยคำของอสิตฤษีนั้น เพราะฉะนั้นตามที่ท่านกล่าวไว้ก็ดีแล้ว. บทว่า ปฏิคฺคเห ได้แก่ ฤษีเอามือทั้งสองรับไว้. นัยว่า เจ้าศากยะทั้งหลายนำพระกุมารเข้าไปเพื่อให้ไหว้พระฤษี. ครั้งนั้นพระบาททั้งสองของพระกุมารก็กลับไปตั้งอยู่บนศีรษะของพระฤษี. พระฤษีเห็นความอัศจรรย์ ดังนั้น มีความชื่นชมยินดีรับไว้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๐. บทว่า ชิคึสโต ได้แก่ปรารถนาค้นคว้า แสวงหา. ท่านอธิบายว่า เข้าไปตรวจตรา. บทว่า โส ลกฺขณมนฺตปารคู เรียนจบลักษณะมนต์ คือ พระฤาษีนั้นถึงฝั่งแห่งลักษณะและแห่งเวททั้งหลาย. บทว่า อนุตฺตรายํ คือ พระกุมารนี้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า. นัยว่าอสิตฤษีนั้นเห็นจักรที่ฝ่าพระบาทของพระมหาสัตว์อยู่เฉพาะหน้าของตน จึงตรวจตราดูพระลักษณะที่เหลือโดยทำนองนั้น ครั้นเห็นความสมบูรณ์แห่งพระลักษณะทั้งหมดก็รู้ว่า พระกุมารนี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนจึงกล่าวอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๑. คำว่า อถตฺตโน คมนํ ได้แก่ เข้าถึงอรูปด้วยอำนาจปฏิสนธิ. บทว่า อกลฺยรูโป คฬยติ อสฺสุกานี เป็นผู้เสียใจถึงน้ำตาตก คือ อสิตฤษีระลึกถึงการอุบัติในอรูปภพของตนนั้น เสียใจว่า บัดนี้เราไม่ได้เพื่อจะฟังพระธรรมเทศนาของพระกุมารนั้นเสียแล้ว เกิดโทมนัสเพราะความโศกมีกำลังครอบงำถึงกับน้ำตาตก คือ ไหล. ปาฐะว่า ควยติ ก็มี. ก็ผิว่า อสิตฤษีนี้ พึงน้อมจิตไปในรูปภพ ก็จะไม่เกิดเดือดร้อนอะไรถึงกับร้องไห้อย่างนั้น. แต่เกิดเดือดร้อน เพราะความไม่ฉลาดไม่รู้จักวิธี. หากมีคำถามว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อสิตฤษีนั้นไม่ควรเกิดโทมนัส เพราะข่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 640
เสียได้ด้วยการได้สมาบัติมิใช่หรือ. ตอบว่า เพราะยังข่มไม่ได้นั้นเอง. จริงอยู่ กิเลสทั้งหลายที่ตัดขาดด้วยมรรคภาวนาจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นได้เพราะปัจจัยมีกำลังแห่งการได้สมาบัติ. หากมีคำถามว่า เมื่อกิเลสเกิดขึ้นเพราะฌานเสื่อมเขาจะเข้าถึงอรูปภพได้แต่ไหน. ตอบว่า บรรลุได้อีกด้วยความลำบากเล็กน้อย. เพราะผู้ได้สมาบัติทั้งหลาย เมื่อกิเลสเกิดขึ้นจะไม่ถึงกันหมดกำลังไปทีเดียว พอเมื่อกำลังกิเลสสงบเท่านั้น ย่อมบรรลุคุณวิเศษนั้นได้อีกด้วยความลำบากเล็กน้อยเท่านั้น. เป็นอันรู้ได้ยากว่า ผู้ได้สมาบัติเหล่านี้เป็นผู้เสื่อมจากคุณวิเศษดังนี้บ้าง อสิตฤษีก็เป็นเช่นนั้น. บทว่า โน จ กุมาเร ภวิสฺสติ อนฺตราโย ความว่า อันตรายจักไม่มีในพระกุมารนี้หรือหนอ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๒. บทว่า น โอรกายํ คือพระกุมารนี้ เป็นผู้ไม่เลว คือ ไม่เป็นผู้เล็กน้อย. อสิตฤษีกล่าวถึงพุทธานุภาพที่ควรกล่าวในคาถาต่อไป.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๓. บทว่า สมฺโพธิยคฺคํ คือ สัพพัญญุตญาณ. จริงอยู่ สัพพุตญาณนั้นชื่อสัมโพธิ เพราะตรัสรู้โดยชอบด้วยความไม่วิปริต. สัพพัญญุตญาณ ท่านกล่าวว่าเลิศ เพราะสูงสุดกว่าญาณทั้งปวง โดยไม่มีเครื่องกีดกั้นในที่ไหนๆ. บทว่า ผุสิสฺสติ เเปลว่า บรรลุ. บทว่า ปรมวิสุทฺธทสฺสี ได้แก่ เห็นพระนิพพาน. จริงอยู่ พระนิพพาน นั้นชื่อว่าบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เพราะบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว. บทว่า วิตฺถาริกสฺส ตัดบทเป็น วิตฺถาริกํ อสฺส พรหมจรรย์จักแพร่หลาย. บทว่า พฺรหฺมจริยํ คือ คำสั่งสอน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 641
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๔. บทว่า อถนฺตรา คือในระหว่าง. ท่านอธิบายว่า ในระหว่างจากที่พระกุมารนั้นทรงบรรลุสัมโพธิญาณนั่นเอง บทว่า น สุสฺสํ แปลว่า จักไม่ได้ฟัง. บทว่า อสมธุรสฺส คือมีความเพียรไม่มีผู้เสมอ. บทว่า อุฏฺโฏ คือ เป็นนผู้เร่าร้อน. บทว่า พฺยสนํ คโต คือ ถึงความพินาศอย่างเป็นสุข. บทว่า อฆาวี คือ ถึงความทุกข์ อสิตฤษีกล่าวหมายถึงความเกิดโทมนัสทั้งหมด เพราะเขาเดือดร้อนเพราะเสียใจ. ความเสียใจนั้น ชื่อว่า พยสนะ เพราะเป็นความพินาศอย่างเป็นสุขของอสิตฤษีนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สุขวินาสนโต. ด้วยบทนั้นอสิตฤษีนั้น จึงชื่อ อฆาว มีความทุกข์ เพราะมีทุกข์ทางใจ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๕. บทว่า วิปุลํ ชเนตฺวาน คือ ยังปีติอันไพบูลย์ให้เกิด. บทว่า นิคฺคมา คือ อสิตฤษีออกไปแล้ว.
อสิตฤษีออกไปอย่างนี้เพื่ออนุเคราะห์หลานของตน. ท่านกล่าวว่า อนุเคราะห์บุตรของน้องสาวของตน. บทว่า สมาทเปสิ ความว่า อสิตฤษี รู้ด้วยกำลังปัญญาของตนว่าตนมีอายุน้อย และรู้ว่านาลกมาณพบุตรของน้องสาวสะสมบุญไว้ คิดว่านาลกมาณพพอมีปัญญาแล้วจะพึงประมาท จึงไปเรือนของน้องสาวเพื่ออนุเคราะห์นาลกมาณพนั้น ถามว่า นาลกะไปไหน. ตอบว่า ไปเล่นอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ สั่งให้ไปนำมาแล้ว ให้บวชเป็นดาบสในขณะนั้นเองให้สมาทาน ให้โอวาท พร่ำสอน. อสิตฤษีให้สมาทาน ให้โอวาท พร่ำสอน อย่างไร.
อสิตฤษีกล่าวคาถาที่ ๑๖ ว่า พุทฺโธติ โฆสํ ฯเปฯ พฺรหฺมจริยํ ความว่า ในกาลข้างหน้าเจ้าได้ยินเสียงระบือไปว่า พุทฺโธ ดังนี้ พระผู้มี-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 642
พระภาคเจ้าได้ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว ย่อมทรงเปิดเผยทางปรมัตถธรรม เจ้าจงไปทูลสอบถามด้วยตนเองในสำนักของพระองค์ แล้วประพฤติ พรหมจรรย์ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเถิด.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ยทิ ปรโต ได้แก่ ในกาลข้างหน้า บทว่า ธมฺมมคฺคํ ได้แก่ ธรรมอันเป็นทางแห่งนิพพานคือปรมัตถธรรมหรือทางคือ นิพพานกับข้อปฏิบัติ. บทว่า ตสฺมึ คือในสำนักนั้น. บทว่า พฺรหฺมจริยํ คือ สมณธรรม.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๗. บทว่า ตาทินา ตั้งมั่นอยู่เช่นนั้น. อธิบายว่า ในสมัยนั้นเมื่อมีการข่มอาสวะคือกิเลส ด้วยการข่มกิเลส และเมื่อมีการได้สมาธิด้วยจิตตั้งมั่น. บทว่า อนาคเต ปรมวิสุทฺธทสฺสินา อสิตฤษี มีปรกติเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งในอนาคต ความว่า อสิตฤษีนั้น ท่านกล่าวว่าชื่อว่าเป็นผู้มีปรกติเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งในอนาคตโดยปริยายนี้ เพราะค่าที่ตนเห็นอย่างนี้ว่า นาลกะนี้จักเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าในอนาคตกาลดังนี้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อนาคเต ปรมวิสุทฺธทสฺสินา ดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น. บทว่า อุปจิตปุญฺสญฺจโย นาลกดาบสเป็นผู้สะสมบุญไว้ คือ สะสมบุญไว้ตั้งแต่ศาสนาพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า. บทว่า ปติกฺขํ คือรอคอยอยู่. บทว่า ปริวสิ คือบวชอยู่ด้วยเพศดาบส. บทว่า รกขิตินฺทฺริโย คือรักษาโสตินทรีย์ (อินทรีย์คือหู). ได้ยินว่า นาลกดาบสนั้นคิดว่า เราจะดำน้ำให้หูแตกเสีย แต่นั้นเราก็จะไม่ต้องฟังธรรมภายนอก จึงดำลงไปในน้ำตั้งแต่นั้นมา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 643
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๑๘. บทว่า สุตฺวาน โฆสํ ความว่า นาลกะนั้นรอคอยอยู่อย่างนั้นได้ฟังเสียงประกาศที่พระชินสีห์ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐโดยนัยมีอาทิว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุสัมโพธิญาณ โดยลำดับแล้วทรงประกาศพระธรรมจักรในกรุงพาราณสี พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศธรรมจักรนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วหนอดังนี้ อันพวกเทวดาผู้หวังประโยชน์แก่ตนพากัน มาบอกแล้ว. บทว่า คนฺตฺวาน ทิสฺวา อิสินิสภํ ความว่า เมื่อทวยเทพทำการโกลาหลด้วยโมเนยยปฏิปทาอยู่ตลอด ๗ วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ในวันที่ ๗ นาลกะจักไปยังที่อยู่ชองฤษีแล้วก็จักมา เราจักแสดงธรรมแก่เขาดังนี้ นาลกะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือวรพุทธอาสน์ ด้วยความมุ่งหมายนี้ จึงได้เข้าไปเฝ้าพระชินสีห์ผู้องอาจกว่าฤษี. บทว่า ปสนฺโน คือมีจิตเลื่อมใสพร้อมกับการเห็นเท่านั้น. บทว่า โมเนยฺยเสฏฺํ ปฏิปทา อันประเสริฐของมุนี คือ ญาณชั้นสูงสุด อันได้แก่มรรคญาณ. บทว่า สมาคเต อสิตวฺหยสฺส สาสเน คือในเมื่อดำสั่งสอนของอสิตฤษีมาถึงเข้า. ก็เมื่อใดนาลกดาบสประพฤติมรรคธรรม เมื่อนั้นก็จะถูกอสิตฤษีไปถามแล้วสอนว่า ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเถิด. นี้แหละคือกาลนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สมาคเต อสิตวฺหยสฺส สาสเน ดังนี้. บทที่เหลือในคาถานี้ ปรากฏชัดแล้ว. พึงทราบการพรรณนาวัตถุคาถานี้ไว้ เพียงเท่านี้.
พึงทราบวินิจฉัยในสองคาถาอันเป็นคำถาม. บท อญฺาตเมตํ คือข้าพระองค์ได้รู้คำนี้แล้ว. บทว่า ยถาตถํ คือไม่วิปริต. อธิบายว่ากระไร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 644
อธิบายว่า นาลกดาบสกล่าวว่า อสิตฤษีรู้ว่าพระกุมารนี้จักบรรลุทางแห่งสัมโพธิญาณได้บอกกะข้าพระองค์ว่าท่านจงฟังประกาศว่า พุทฺโธ ในกาลข้างหน้า ผู้บรรลุสัมโพธิญาณย่อมประพฤติมรรคธรรมดังนี้ วันนี้ข้าพระองค์ได้รู้ตามคำของอสิตฤษีว่า คำนั้นเป็นคำจริง เพราะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพยาน. บทว่า ตํ ตํ คือเพราะฉะนั้น. บทว่า สพฺพธมฺมานํ ปารคุํ พระองค์ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ความว่า ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมโดยอาการ ๖ ตามนัยที่ ได้กล่าวแล้วในเหมวตสูตร. บทว่า อนาคาริยุเปตสฺส ตัดบทเป็น อนาคาริยํ อุเปตสฺส คือออกบวช. อธิบายว่า บรรพชิต. บทว่า ภิกฺขาจริยํ ชิคึสโต แสวงหาการเที่ยวไปเพื่อภิกษา คือ แสวงหาภิกขาจารอันไม่เศร้าหมองที่พระอริยเจ้าประพฤติสืบต่อกันมาแล้ว. บทว่า โมเนยฺยํ ได้แก่ เป็นของพระมุนี. บทว่า อุตฺตมํ ปทํ คือปฏิปทาอันสูงสุด. บทที่เหลือในคาถานี้ ปรากฏชัดอยู่แล้ว.
เมื่อนาลกดาบสได้กราบทูลถามอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพยากรณ์โมเนยยปฏิปทาแก่นาลกดาบสนั้นโดยนัยมีอาทิว่า โมเนยฺยํ เต อุปญฺิสฺสํ เราจักบัญญัติปฏิปทาของมุนีแก่เธอ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปญฺิสฺสํ คือเราพึงบัญญัติ อธิบายว่า พึงแนะนำ พึงให้รู้ทั่วถึง. บทว่า ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวํ ท่านอธิบายว่า ทำได้ยากทำให้เกิดความยินดีได้ยาก.ในบทนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้. เราพึงบัญญัติปฏิปทาของมุนีแก่ท่าน หากความสุขจะพึงมีเพื่อการทำหรือเพื่อความเกิดขึ้น ซึ่งปฏิปทาของมุนีนั้นอันเป็นการทำได้ยาก ให้เกิดความยินดีได้ยาก ควรปฏิบัติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 645
ไม่ให้จิตเศร้าหมองเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เวลาเป็นปุถุชน. เป็นความจริงดังนั้น สาวกรูปเดียวเท่านั้นของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวย่อมทำได้และทำให้เกิดได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงถึงความที่ปฏิปทาของมุนีทำได้ยาก และทำให้ยินดีได้ยาก มีพระประสงค์จะให้นาลกดาบสเกิดอุตสาหะ จึงตรัสโมเนยยปฏิปทาแก่นาลกดาบสว่า หนฺท เต นํ ปวกฺขามิ สนฺถมฺภสฺสุ ทฬฺโห ภว เอาเถิด เราจะบอกปฏิปทาของมุนีนั้นแก่เธอ เธอจงช่วยเหลือตน จงเป็นผู้มั่นคงเถิด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถบอกความเตือน. บทว่า เต นํ ปวกฺขามิ ได้แก่ เราจะบอกปฏิปทาของมุนีนั้นแก่เธอ. บทว่า สนฺถมฺภสฺสุ คือ เธอจงช่วยเหลือตนด้วยการทำให้เกิดความเพียร สามารถทำสิ่งที่บุคคลทำได้ยาก. บทว่า ทฬฺโห ภว คือเธอจงเป็นผู้มั่นคง เพราะมีความเพียรไม่ย่อหย่อน สามารถอดกลั้นต่อการทำให้เกิดความยินดีได้ยาก. ท่านอธิบายไว้ว่า เพราะเธอได้สะสมบุญไว้มาก ฉะนั้น เราจะเป็นผู้เตือน จะบอกปฏิปทาของมุนีนั้นที่บุคคลทำได้ยาก แม้ทำให้เกิดความยินดี ได้ยากแก่เธอ เธอจงเป็นผู้ช่วยเหลือตน จงเป็นผู้มั่นคงเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะตรัสปฏิปทาของมุนีอันเป็นเครื่องขัดเกลาอย่างยิ่งอย่างนี้ จึงทรงชักชวนนาลกดาบสในการช่วยตน และในความ เป็นผู้มั่นคง เมื่อจะทรงแสดงการละกิเลสอันเข้าไปผูกพันกับชาวบ้าน จึงตรัสคาถากึ่งคาถาว่า สมานภาคํ ให้เสมอกัน. ในบทเหล่านั้นบทว่า สมานภาคํ และบทว่า สมภาคํ เป็นอย่างเดียวกัน ไม่ต่างกัน. บทว่า อกฺกุฏฺวนฺทิตํ ได้แก่ การด่าและการไหว้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 646
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงอุบายอันจะทำการด่าและการไหว้นั้นให้เสมอกันจึงตรัสคาถากึ่งหนึ่งว่า มโนปโทสํ ความประทุษร้ายแห่งใจ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า มโนปโทสํ นั้นมีอธิบายว่า เขาด่าแล้วพึงรักษาความประทุษร้ายแห่งใจ เขาไหว้แล้วพึงประพฤติเป็นผู้สงบ ไม่มีความเย่อหยิ่ง ในพึงมีความ ฟุ้งซ่านว่า พระราชาเมื่อเราไหว้ ยังไหว้เรา ดังนี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงการละกิเลสอันผูกพันในป่า จึงตรัสคาถาว่า อุจฺจาวจา อารมณ์ที่สูงต่ำ ดังนี้.
บทว่า อุจฺจาวจา นั้นมีอธิบายว่า อารมณ์ที่สูงต่ำหลายอย่างย่อมซ่านไป คือ แล่นไป ด้วยเป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ แม้ในป่าย่อมมาสู่คลองแห่งจักษุเป็นต้น ก็อารมณ์เหล่านั้นแลที่สูงต่ำเพราะมีหลายอย่าง เปรียบด้วยเปลวไฟ เพราะทำให้เกิดอันตรายเหมือนเปลวไฟในป่าที่ถูกไฟไหม้ มีควันบ้าง ไม่มีควันบ้าง เขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง น้อยบ้าง มากบ้าง ฉันใด อารมณ์ทั้งหลายทั้งสูงต่ำ เพราะมีหลายอย่าง ย่อมซ่านไปในป่าโดย ประเภทมีราชสีห์ เสือโคร่ง มนุษย์ อมนุษย์ เสียงขันของนกต่างๆ ดอกไม้ ผลไม้ ใบไม้อ่อนเป็นต้น น่ากลัวบ้าง ไม่น่ากลัวบ้าง น่ายินดีบ้าง น่าอยาก ได้บ้าง น่าเคืองบ้าง น่าหลงบ้าง. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อุจฺจาวจา นิจฺฉรนฺติ ทาเย อคฺคิสิขูปมา อารมณ์ที่สูงต่ำอุปมาด้วยเปลวไฟในป่า ดังนี้. บรรดาอารมณ์ทั้งหลายทั้งสูงต่ำซ่านไปอยู่อย่างนี้ อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เที่ยวไปในสวนและป่า หรือนารีทั้งหลายมีหญิงแบกฟืนเป็นต้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 647
เที่ยวไปในป่าตามปรกติ เห็นมุนีอยู่ในที่ลับแล้วประเล้าประโลมมุนีด้วยกระซิกกระซี้ พูดจา ร้องไห้ แก้ผ้าเป็นต้น. บทว่า ตา สุ ตํ มา ปโลภยุํ ความว่า นารีเหล่านั้นอย่าพึงประเล้าประโลมท่าน อธิบายว่า ท่านจงทำโดยอาการที่นารีเหล่านั้นประเล้าประโลมไม่ได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงวิธีปฏิบัติในป่าและในบ้านแก่นาลกดาบสอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงการสำรวมในศีลจึงตรัสสองคาถาว่า วิรโต เมถุนา ธมฺมา งดเว้นจากเมถุนธรรม ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า หิตฺวา กาเม วราวเร ความว่า มุนีละกามคุณ ๔ ทั้งดีทั้งไม่ดี แม้ที่เหลือจากเมถุนธรรม. ก็ด้วยการละเมถุนธรรมนั้น การงดเว้น จากเมถุนเป็นอันสมบูรณ์ด้วยดีแล้ว. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า หิตฺวา กาเม วราวเร เว้นกามทั้งดีทั้งไม่ดี ดังนี้. ในบทนี้มีอธิบายดังนี้. บททั้งหลายมีอาทิว่า อวิรุทฺโธ ไม่ยินดียินร้ายดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อทรงแสดงถึงการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ดังที่กล่าวไว้ในคาถานี้ว่า น เหยฺย น ฆาตเย ไม่พึงฆ่าเองไม่พึงให้ผู้อื่นฆ่าดังนี้. ในคาถานั้นมีการพรรณนาโดยสังเขปดังต่อไปนี้ ไม่ยินร้ายในสัตว์ทั้งหลายที่เป็นฝ่ายอื่น ไม่ยินดีในฝ่ายของตน สัตว์ทั้งปวงก็มีตัณหา กำจัดความยินร้ายในสัตว์เหล่านั้นเสีย เพราะเปรียบกับตนว่า เราเป็นฉันใด คือเพราะเราไม่มีความอยาก เพราะเราปรารถนาให้สัตว์ที่หวาดสะดุ้งและมั่นคงมีชีวิต เพราะเราไม่อยากตาย เพราะเราใคร่สุข เพราะเราเกลียดทุกข์ สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ฉันนั้น และกำจัดความยินดีในตน เพราะเปรียบตนกับคนอื่นว่า สัตว์เหล่านี้ฉันใด เราก็ฉันนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 648
โดยทำนองนั้นนั่นแล ชื่อว่าเป็นผู้ละความยินดียินร้ายได้ทั้งสองอย่าง กระทำตนให้เป็นอุปมา เพราะเกลียดความตาย ไม่พึงเบียดเบียนบรรดาสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่เป็นผู้หวาดสะดุ้งก็ดี ที่เป็นผู้มั่นคงก็ดี ไม่พึงฆ่าเอง ด้วยสาหัตถิกประโยคเป็นต้น (ลงมือฆ่าเอง) ไม่พึงให้ผู้อื่นฆ่าด้วยอาณัตติกประโยคเป็นต้น (ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า).
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสศีล คือความสำรวมในปาติโมกข์โดยสังเขป ด้วยหัวข้อคือการเว้นจากเมถุนและการเว้นจากฆ่าสัตว์แก่นาลกดาบสและทรง แสดงความสำรวมอินทรีย์ด้วยบทมีอาทิว่า หิตฺวา กาเม ละกามทั้งหลาย ดังนี้ บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะจึงตรัสคาถาว่า หิตฺวา อิจฺฉญฺจ ฯเปฯ ตเรยฺย นรกํ อิมํ ความว่า มุนีละความปรารถนาและความโลภในปัจจัยที่ปุถุชนข้องอยู่แล้ว เป็นผู้มีจักษุ พึงปฏิบัติปฏิปทาของมุนีนี้ พึงข้าม ความทะเยอทะยานในปัจจัย ซึ่งเป็นเหตุแห่งมิจฉาชีพที่หมายรู้กันว่านรกนี้เสีย.
บทนั้นมีอธิบายดังนี้ ตัณหาท่านกล่าวว่า อิจฉา เพราะปรารถนาเกินวิสัยที่จะได้อย่างนี้ คือ ได้หนึ่งแล้วปรารถนาสอง ได้สองแล้วปรารถนาสาม ได้สามแล้วปรารถนาสี่ ได้แสนแล้วยังปรารถนายิ่งไปกว่านั้น, ท่านกล่าวว่า โลภะ เพราะโลภในวิสัยที่จะได้. ปุถุชนละความปารถนาและความโลภในปัจจัยมีจีวรเป็นต้นที่ปุถุชนข้องอยู่แล้ว คือละแม้ทั้งสองอย่างนั้นในปัจจัยที่ปุถุชนข้องอยู่แล้ว ติดอยู่แล้ว ผูกพันอยู่แล้ว ด้วยความปรารถนาและความโลภ ไม่ยินดีอาชีวปาริสุทธิเพื่อปัจจัย เป็นผู้มีจักษุด้วยจักษุคือญาณ พึงปฏิบัติโมเนยยปฏิปทานี้. ท่านอธิบายว่า ก็ครั้นปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว พึงข้ามนรก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 649
นี้เสีย คือ พึงข้ามความทะเยอทะยานในปัจจัยอันเป็นเหตุแห่งมิจฉาชีพที่หมาย รู้กันว่านรก เพราะเต็มได้ยากนี้เสีย หรือพึงข้ามด้วยปฏิปทานี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะด้วยหัวข้อ คือการละความทะเยอทะยานในปัจจัยอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงศีล คือการบริโภคปัจจัยด้วยหัวข้อโภชเนมัตตัญญุตา คือ ความรู้จักประมาณในการบริโภค และปฏิปทาตราบเท่าถึงการบรรลุพระอรหัตโดยทำนองนั้นก่อนจึงตรัสคาถาว่า
อโนทโร มิตาหาโร อปฺปิจฺฉสฺส อโลลุโป สทา อิจฺฉาย นิจฺฉาโต อนิจฺโฉ โหติ นิพฺพุโต.
พึงเป็นผู้มีท้องพร่อง มีอาหารพอประมาณ มีความปรารถนาน้อย ไม่มีความโลภ เป็นผู้หายหิว ไม่มีความปรารถนาด้วยความอยาก ดับความเร่าร้อนได้แล้ว ทุกเมื่อ.
บทนั้นมีความดังนี้ ท่านอธิบายไว้ว่า ภิกษุเมื่อได้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ตามมีตามได้โดยธรรมโดยเสมอแล้ว เมื่อจะฉันอาหารพึงอย่าเห็นแก่ท้องโดย นัยที่ท่านกล่าวไว้ว่า
จตฺตาโร ปญฺจ อโลเป อภุตฺวา อุทกํ ปิเว อลํ ผาสุวิหาราย ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน
ภิกษุผู้มีความเพียร ไม่บริโภคอาหาร อีก ๔ - ๕ คำ พึงดื่มน้ำเพื่ออยู่ผาสุก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 650
ไม่ควรมีท้องพองเหมือนเครื่องสูบเต็มด้วยลม พึงป้องกันถีนมิทธะ เพราะเมาอาหารเป็นเหตุ. ภิกษุพึงเป็นผู้จำกัดอาหารโดยคุณและโทษด้วยการพิจารณา มีอาทิว่า ภิกษุพึงเป็นผู้ไม่เห็นแก่ท้องมีอาหารพอประมาณ พึงรู้จักประมาณในการบริโภค ไม่บริโภคเพื่อเล่นดังนี้. แม้เป็นผู้มีอาหารพอประมาณอย่างนี้ ก็พึงเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย ด้วยมีความปรารถนาน้อย ๔ อย่าง คือ ปัจจัย ธุดงค์ ปริยัติ และอธิคม.
จริงอยู่ ภิกษุผู้ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทาโดยส่วนเดียว พึงเป็นเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างนี้. ความสันโดษด้วยสันโดษ ๓ อย่าง ในปัจจัยหนึ่งๆ นั้น ชื่อว่า ความเป็นผู้ปรารถนาน้อยในปัจจัย.
ความที่ภิกษุผู้ทรงธุดงค์อย่างเดียวไม่ปรารถนาว่าชนเหล่าอื่นจงรู้จักเรา ว่าเป็นผู้มีสติ มีธุดงค์ ดังนี้ ชื่อว่า ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในธุดงค์.
ความที่ภิกษุผู้เป็นพหูสูตอย่างเดียวไม่ปรารถนาว่าชนเหล่าอื่น จงรู้จักเราว่าเป็นผู้มีสติเป็นพหูสูต ชื่อว่า ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในปริยัติ ดุจความปรารถนาน้อยของพระมหามัชฌันติกเถระ ฉะนั้น.
ความที่ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยอธิคมอย่างเดียวไม่ปรารถนาว่า ชนเหล่าอื่นจงรู้จักเราว่าท่านผู้นี้มีสติบรรลุกุศลธรรม ชื่อว่า เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย ในอธิคม. ก็ความเป็นผู้ปรารถนาน้อยในอธิคมนั้น พึงทราบว่าความปรารถนานี้ ต่ำกว่าการบรรลุพระอรหัต. เพราะนี้เป็นปฏิปทาเพื่อบรรลุพระอรหัต.
อนึ่ง แม้ภิกษุผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างนี้ ก็ละความทะเยอทะยาน และความโลภะเสียได้ด้วยอรหัตตมรรค พึงเป็นผู้ไม่มีความโลภ. จริงอยู่ ผู้ไม่มี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 651
ความโลภอย่างนี้ เป็นผู้ไม่มีความปรารถนา เพราะสละความปรารถนาเป็นต้น เป็นผู้ดับความเร่าร้อนได้แล้วทุกเมื่อ สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้หิวด้วยความปรารถนาอันใด ไม่อิ่ม ดุจเดือดร้อนเพราะหิวกระหาย ภิกษุเป็นผู้ไม่ปรารถนาด้วยความปรารถนานั้น และชื่อว่าเป็นผู้หมดหิว เพราะเป็นผู้ไม่ปรารถนา ไม่ เดือดร้อน ถึงความอิ่มเต็มที่ ชื่อว่าเป็นผู้ดับความเร่าร้อนได้คือสงบจากความเร่าร้อนคือกิเลสทั้งปวง เพราะเป็นผู้ไม่ปรารถนา เพราะเหตุนั้น พึงทราบการประกอบนอกลำดับในบทนี้ ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสปฏิปทาตราบเท่าถึงการบรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะตรัสถึงการสมาทานธุดงค์และวัตรเกี่ยวกับเสนาสนะ อันจบลงด้วยการบรรลุพระอรหัตของภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทานั้นจึงตรัสสองคาถาว่า ส ปิณฺฑจารํ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ส ปิณฺฑจารํ จริตฺวา ความว่า ภิกษุนั้น เที่ยวไปเพื่อภิกษาหรือกระทำภัตกิจ. บทว่า วนนฺตมภิหารเย พึงไปยังชายป่า คือ เป็นผู้ไม่ชักช้าอย่างคฤหัสถ์ที่ชักช้า พึงไปป่าทีเดียว. บทว่า อุปฏฺิโต รุกฺขมูลสฺมึ คือ ไปที่โคนต้นไม้. บทว่า อาสนุปคฺโต คือ เข้าไปนั่ง. บทว่า มุนิ คือผู้ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทา. อนึ่ง ในบทนี้ท่านกล่าว ปิณฑปาติกังคธุดงค์ด้วยบทนี้ว่า ปิณฺฑจารํ จริตฺวา เที่ยวไปบิณฑบาต. ก็เพราะภิกษุเป็นผู้ถือการบิณฑบาตอย่างเคร่งครัด เที่ยวไปตามลำดับตรอก มีอาหารมื้อเดียว ฉันอาหารในบาตร ปฏิเสธหลังอาหาร สมาทานเตจีวริกังคธุดงค์ (มีจีวร ๓ ผืน) และปังสุกูลิกังคธุดงค์ (ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 652
เท่านั้น ฉะนั้น จึงเป็นอันครบธุดงค์ ๖ เหล่านี้. ท่านกล่าวอารัญญิกังคธุดงค์ (คือการอยู่ป่าเป็นวัตร) ด้วยบทนี้ว่า วนนฺตมภิหารเย พึงไปยังชายป่า ดังนี้. ท่านกล่าวรุกขมูลิกังคธุดงค์ (การถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร) ด้วยบทนี้ว่า อุปฏฺิโต รุกฺขมูลสฺมึ เข้าไปอยู่โคนต้นไม้ ดังนี้. ท่านกล่าวเนสัชชิกังคธุดงค์ (ถือการนั่งเป็นวัตร) ด้วยบทนี้ว่า อาสนุปคโต เข้าไปนั่ง ดังนี้. เป็นอันท่านกล่าวถึง อัพโภกาสิกังคธุดงค์ (คือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร) ยถาสันถติกังคธุดงค์ (ถือการอยู่ในเสนาสนะตามที่ท่านจัดให้เป็นวัตร) และโสสานิกังคธุดงค์ (ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร) เพราะอนุโลมตามธุดงค์เหล่านั้นตามลำดับ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธุดงค์ ๑๓ ด้วยคาถานี้อย่างนี้แก่พระนาลกเถระ.
บทว่า ส ฌานปฺปสุโต ธีโร ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ขวนขวายในฌานเป็นนักปราชญ์ ความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้ขวนขวายคือประกอบเนืองๆ ในฌานทั้งหลายด้วยอาวัชชนะ สมาปัชชนะ อธิษฐานะ วุฏฐานะ และปัจจเวกขณะ เป็นนักปราชญ์คือสมบูรณ์ด้วยปัญญา. บทว่า วนนฺเต รมิโต สิยา คือ พึงยินดีในป่า. ท่านอธิบายว่า ไม่พึงยินดีในเสนาสนะใกล้บ้าน. บทว่า ฌาเยถ รุกฺขมูลสฺมึ อตฺตานมภิโตสยํ พึงทำจิตให้ยินดียิ่งเพ่งฌานอยู่ที่โคนต้นไม้ ความว่า ไม่พึงขวนขวายโลกิยฌานอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้พึงทำจิตให้ยินดียิ่ง เพ่งแม้ด้วยโลกุตรฌานทีสัมปยุตด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นต้นที่โคนต้นไม้นั้นแล จริงอยู่จิตย่อมยินดีเหลือเกินในโลกุตรฌานเหล่านั้น เพราะถึงซึ่งความโล่งใจอย่างยิ่ง มิใช่ยินดีด้วยอย่างอื่น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อตฺตานมภิโตสยํ พึงทำจิตให้ยินดียิ่งดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 653
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงความยินดีในเสนาสนะป่า และพระอรหัตเพราะความเป็นผู้ขวนขวายในฌานด้วยพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้. บัดนี้ เพราะพระนาลกเถระฟังพระธรรมเทศนานี้แล้วเข้าไปสู่ป่าอดอาหารได้เป็นผู้ขวนขวายยิ่งในการบำเพ็ญปฏิปทา แม้อดอาหารก็ไม่สามารถบำเพ็ญสมณธรรมได้เมื่อพระนาลกเถระบำเพ็ญอยู่อย่างนั้น ชีวิตก็ลำบาก แต่เมื่อกิเลสยังไม่เกิด ควรแสวงหาอาหาร นี้เป็นระเบียบในเรื่องนี้ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงว่า ควรเที่ยวบิณฑบาตในวันต่อๆ ไป กิเลสทั้งหลายก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อจะตรัสภิกขาจารวัตรจบด้วยการบรรลุพระอรหัต จึงได้ตรัสคาถา ๖ คาถามี อาทิว่า ตโต รตฺยา วิวสเน เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตโต คือ ต่อจากรับบิณฑบาตแล้วเที่ยวไปยังชายป่าดังที่กล่าวไว้ในบทนี้ว่า ส ปิณฺฑจารํ จริตฺวา วนนฺตมภิหารเย ภิกษุนั้นเที่ยวไปบิณฑบาตแล้วพึงเข้าไปยังชายป่า. บทว่า รตฺยา วิวสเน คือ เมื่อราตรีล่วงไป. ท่านอธิบายว่า ในวันที่สอง. บทว่า คามนฺตมภิหารเย พึงเข้าไปสู่บ้าน ความว่า กระทำอภิสมาจาริกวัตรแล้วพึงเพิ่มพูนวิเวกจนถึงเวลาภิกขาจาร แล้วมนสิการกรรมฐานโดยนัยที่กล่าวแล้วในวัตรทั้งไปทั้งกลับพึงไปสู่บ้าน. บทว่า อวฺหานํ นาภินนฺเทยฺย ไม่ยินดีโภชนะที่ยังไม่ได้ ความว่า ภิกษุผู้บำเพ็ญปฏิปทาไม่พึงยินดีการนิมนต์ว่า นิมนต์พระคุณเจ้าฉันในเรือนของพวกกระผมเถิด ดังนี้ และโภชนะที่มีวิตกอย่างนี้ว่า จะให้หรือไม่ให้ ให้ดีหรือไม่ให้ดีหนอดังนี้ ท่านอธิบายว่า ไม่ควรรับ. ก็หากว่าชนทั้งหลายรับบาตรไปโดยพลการตักถวายจนเต็ม ภิกษุฉันแล้วบำเพ็ญสมณธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 654
ธุดงค์ไม่เสีย. แต่ไม่ควรเข้าบ้านนั้นเพราะอาศัยเหตุนั้น. บทว่า อภิหารญฺจ คามโต โภชนะที่เขานำมาแต่บ้าน ความว่า หากชนทั้งหลายนำอาหารมาร้อย ถาด ถวายแก่ภิกษุที่เข้าไปยังบ้าน ภิกษุไม่พึงยินดีอาหารนั้น ทั้งไม่พึงรับแม้เมล็ดเดียว ควรเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเรือนโดยแท้.
บทว่า น มุนิ คามมาคมฺม กุเลสุ สหสา จเร มุนีอาศัยบ้าน ไม่ควรเที่ยวไปในสกุลโดยรีบร้อน ความว่า มุนีปฏิบัติเพื่อความเป็นผู้ฉลาด นั้นไปสู่บ้านไม่ควรเที่ยวไปในสกุลโดยรีบร้อน. ท่านอธิบายว่า ไม่ควรเกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์ ไม่คล้อยตามไปกับเขามีการร่วมเศร้าโศกด้วยเป็นต้น. บทว่า ฆาเสสนํ ฉินฺนกโถ น วาจํ ปยุตฺตํ ภเณ ตัดถ้อยคำเสีย ไม่พึงกล่าววาจา เกี่ยวด้วยการแสวงหาของกิน ความว่า เป็นดุจตัดถ้อยคำเสีย ไม่พึงกล่าววาจา เกี่ยวด้วยการแสวงหาของกินประกอบด้วยโอภาส (ชี้นำ) ปริกถา (เลียบเคียง) นิมิต (เครื่องหมาย) วิญญัตติ (การขอร้อง) หากพึงหวังเป็นไข้ควรกล่าวเพื่อปัดเป่าความเจ็บไข้ ไม่เป็นไข้ ไม่ควรกล่าวอะไรๆ เลย เพื่อต้องการปัจจัยที่เหลือประกอบด้วยโอภาส ปริกถา และนิมิต เว้นวิญญัตติ เพื่อต้องการเสนาสนะ.
คาถานี้ว่า อลตฺถํ ยทิทํ เป็นต้น มีใจความดังต่อไปนี้. มุนีเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เมื่อได้อะไรๆ แม้เล็กน้อยก็คิดว่า เราได้สิ่งใดสิ่งนี้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ เมื่อไม่ได้ก็คิดว่า เราไม่ได้ก็เป็นความดี ดังนี้แล้วเป็นผู้คงที่ คือ ไม่มีความผิดปกติ เพราะการได้และไม่ได้ทั้งสองอย่างนั้นแล ย่อมก้าวล่วงทุกข์เสียได้ เหมือนบุรุษผู้แสวงหาผลไม้เข้าไปยังต้นไม้แล้ว แม้จะได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 655
แม้จะไม่ได้ผลไม้ก็ไม่ยินดี ไม่เสียใจ วางจิตเป็นกลางกลับไป ฉันใด มุนีเข้าไปสู่ตระกูล แม้จะได้ แม้จะไม่ได้ลาภ ก็วางจิตเป็นกลางกลับไปฉันนั้น.
คาถาว่า สปตฺตปาณี มุนีมีบาตรในมือเป็นต้นมีความง่ายทั้งนั้น. พึงทราบการเกี่ยวเนื่องกันของคาถานี้ว่า อุจฺจาวจา ปฏิปทาสูงต่ำต่อไป. มุนีเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยภิกขาจารวัตรอย่างนี้แล้ว ไม่พึงยินดีเพียงเท่านั้น ควรยินดีปฏิปทาต่อไป. เพราะคำสั่งสอน มีสาระอยู่ที่การปฏิบัติ. ก็ปฏิปทานั้นทั้งสูงและต่ำ พระสมณะทรงประกาศแล้ว มุนีทั้งหลายย่อมไม่ไปสู่นิพพานถึงสองครั้ง นิพพานนี้ควรถูกต้องครั้งเดียวเท่านั้นหามิได้.
บทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ มรรคปฏิปทานี้ชื่อว่าสูงต่ำ เพราะมีประเภทดีและเลว อันพระพุทธสมณะทรงประกาศไว้แล้ว จริงอยู่ การปฎิบัติง่าย รู้เร็ว เป็นปฏิปทาสูง. ปฏิบัติยาก รู้ช้าเป็นปฎิปทาต่ำ. อีกสองอย่างนั้นเป็นปฏิปทาสูงด้วยองค์หนึ่ง ต่ำด้วยองค์หนึ่ง. หรือว่าปฏิปทาต้นสูง อีกสามอย่างก็ต่ำ. มุนีทั้งหลายย่อมไม่ไปสู่นิพพานถึงสองครั้งด้วยปฎิปทาสูงหรือต่ำนี้นั้น. ปาฐะว่า ทุคุณํ สองครั้งก็มี. อธิบายว่า มุนีทั้งหลายย่อมไม่ไปสู่นิพพานถึงสองครั้งด้วยมรรคเดียว. เพราะเหตุไร เพราะกิเลสเหล่าใดถูกละไปแล้วด้วยมรรคใด ไม่พึงละกิเลสเหล่านั้นอีก ด้วยบทนั้น ท่านแสดงความไม่เสื่อมแห่งธรรม. บทว่า น อิทํ เอกคุณมุตฺตํ นิพพานนี้ควรถูกต้องครั้งเดียวเท่านั้น หามิได้ อธิบายว่า นิพพานนี้นั้นแม้ควรถูกต้องครั้งเดียวเท่านั้นก็หามิได้. เพราะเหตุไร. เพราะไม่มีการละกิเลสทั้งหมดได้ด้วยมรรคเดียว. ด้วยบทนี้ ท่านแสดงความไม่บรรลุพระอรหัตด้วยมรรคเดียวเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 656
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงอานิสงส์แห่งปฏิปทาจึงตรัส คาถาว่า ยสฺส จ วิสตา ภิกษุผู้ไม่มีตัณหา ดังนี้เป็นต้น.
บทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ก็เมื่อภิกษุปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ชื่อว่า ไม่มีตัณหา เพราะละได้ด้วยปฏิปทานั้น ชื่อว่า สลัดออกไป เพราะสลัดตัณหาวิจริต ๑๐๘ ออกไปได้ ตัดกระแสกิเลสได้แล้ว ละกิจน้อยใหญ่ได้เด็ดขาดแล้ว ไม่มีความเร่าร้อนแม้แต่น้อย อันเกิดจากราคะก็ดี เกิดจากโทสะก็ดี.
บัดนี้ เพราะจิตเกิดขึ้นแก่พระนาลกเถระ เพราะฟังคาถาเหล่านี้ว่า ชื่อว่า ปฏิปทาของมุนีมีเพียงเท่านี้ ก็ทำได้โดยง่าย ไม่ยากนักสามารถบำเพ็ญได้ด้วยความลำบากเล็กน้อย ดังนี้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงว่า ปฏิปทาของมุนีทำได้ยากแก่พระนาลกเถระ จึงตรัสคาถามีอาทิว่า โมเนยฺยนฺเต อุปญฺิสฺสํ เราจักบอกปฏิปทาของมุนีแก่ท่านอีก.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปญฺิสฺสํ ท่านอธิบายไว้ว่า เราจักบอก. ชื่อว่า ขุรธารูปโม เพราะเป็นผู้มีคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ. บทว่า ภเว แปลว่า พึงเป็น. มีอธิบายไว้อย่างไร ท่านอธิบายว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทาของมุนี พึงประพฤติในปัจจัยทั้งหลายทำคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ เมื่อได้ปัจจัยโดยชอบธรรมแล้วบริโภค พึงรักษาจิตให้พ้นจากกิเลส เหมือนการเลียคมมีโกนที่มีหยาดน้ำผึ้ง ย่อมรักษาลิ้นเกรงจะขาด ฉะนั้น. จริงอยู่ ปัจจัยทั้งหลายที่พึงได้โดยวิธีอันบริสุทธิ์ แต่ไม่อาจบริโภคได้โดยง่าย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึงการอาศัยปัจจัยเท่านั้นไว้โดยมาก. บทว่า ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ อุทเร สํยโต สิยา กดเพดานไว้ด้วยลิ้นแล้วพึงเป็นผู้สำรวม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 657
ที่ท้อง ความว่า กดเพดานไว้ด้วยลิ้นบรรเทาความอยากในรส พึงเป็นผู้สำรวมที่ท้อง เพราะไม่เสพปัจจัยที่เกิดขึ้นด้วยทางอันเศร้าหมอง.
บทว่า อลีนจิตฺโต จ สิยา พึงเป็นผู้มีจิตไม่ท้อแท้ ความว่า พึงเป็นผู้มีจิตไม่เกียจคร้าน เพราะทำให้มั่นคงในการบำเพ็ญกุศลธรรมเป็นนิจ. บทว่า น จาปิ พหุ จินฺตเย ไม่พึงคิดมาก คือ ไม่พึงคิดมากโดยวิตก ถึงญาติ ชนบท และเทวดา. บทว่า นิรามคนฺโธ อสิโต พฺรหฺมจริยปรายโน เป็นผู้ไม่มีกลิ่นดิบ อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้วมีพรหมจรรย์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ความว่า เป็นผู้ไม่มีกิเลส อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้วในภพไหนๆ พึงเป็นผู้มีไตรสิกขา และศาสนาพรหมจรรย์ทั้งสิ้นเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทีเดียว.
บทว่า เอกาสนสฺส เพื่อการนั่งผู้เดียว คือ นั่งในที่สงัด. ในบทนี้ ท่านกล่าวถึงอิริยาบถทั้งหมดด้วยหัวข้อว่า อาสนะ. พึงทราบว่าท่านอธิบายไว้ว่า พึงศึกษาเพื่อความเป็นผู้เดียวในทุกอิริยาบถ. อนึ่ง บทว่า เอกาสนสฺส นี้ เป็นจตุตถีวิภัตติ แปลว่า เพื่อการนั่งผู้เดียว. บทว่า สมณุปาสนสฺส จ เพื่อประกอบภาวนาที่สมณะพึงอบรม ความว่า เพื่อประกอบภาวนามีอารมณ์ ๓๘ อันสมณะพึงอบรม หรือ เพื่อประเภทแห่งอารมณ์ ๓๘ อันเป็นที่อบรมของสมณะทั้งหลาย. แม้บทนี้ก็เป็นจตุตถีวิภัตติเหมือนกัน. ท่านอธิบายว่า เพื่ออบรม. อนึ่ง ในบทนี้พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงกายวิเวกด้วยการนั่งผู้เดียว กล่าวถึงจิตตวิเวกด้วยการอบรมของสมณะ. บทว่า เอกนฺตํ โมนมกฺขาตํ ความเป็นมุนีที่เราบอกแล้วโดยส่วนเดียว ความว่า เราบอกแล้วว่าเป็นมุนีโดย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 658
ส่วนเดียวด้วยกายวิเวกและจิตตวิเวก ด้วยประการฉะนี้. ก็บทว่า เอโก เว อภิรมิสฺสสิ ท่านผู้เดียวเเลจักอภิรมย์นี้ เป็นบทมุ่งหมายถึงคาถาต่อไป. พึงเชื่อมด้วยบทนี้ว่า อถ ภาสิหิ ทส ทิสา ทีนั้นท่านจงประกาศไปตลอดทั้งสิบทิศ. บทว่า ภาสิหิ คือท่านจักกล่าว จักประกาศ. อธิบายว่า เมื่อท่านเจริญปฏิปทานี้ จักเป็นผู้ปรากฏด้วยเกียรติในทุกทิศ. เนื้อความแห่งบท ๔ บท มี อาทิว่า สุตฺวา ธีรานํ นี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ ท่านจงประกาศไปตลอดทั้งสิบทิศ ด้วยการประกาศถึงเกียรติ ท่านได้ฟังเสียงประกาศเกียรติของนักปราชญ์ทั้งหลาย ผู้เพ่งฌาน ผู้สละกามแล้ว แต่นั้นไม่ฟุ้งซ่านพึงกระทำหิริและศรัทธาให้ยิ่งในรูป ละอาการประกาศนั้น ยังศรัทธาให้เกิดขึ้นว่านี้เป็นปฏิปทาเพื่อนำออกไปแล้ว เพิ่มพูนการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปทีเดียว. บทว่า มามโก ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นสาวกของเราได้. บทว่า ตํ นทีภิ ท่านจะรู้แจ่มแจ้งคำที่เรากล่าวนั้นด้วยการแสดงแม่น้ำทั้งหลาย ความว่า คำใดที่เรากล่าวว่า ท่านพึงกระทำหิริและศรัทธาให้ยิ่งขึ้นไป กล่าวว่าไม่ควรทำความฟุ้งซ่าน ท่านจงรู้คำที่เรา กล่าวนั้นด้วยการแสดงตัวอย่างแม่น้ำนี้และท่านจงรู้ความตรงกันข้ามกับคำที่เรา กล่าวนั้นทั้งในเหมืองและในหนอง. บทว่า โสพฺเภสุ คือ เหมือง. บทว่า ปทเรสุ คือแม่น้ำ. เป็นอย่างไร. บทว่า สนนฺตา ยนฺติ กุสุพฺภา ตุณฺหี ยนฺติ มโหทธิ แม่น้ำห้วยย่อมไหลดังโดยรอบ แม่น้ำใหญ่ย่อมไหลนิ่ง ความ ว่า เป็นความจริง แม่น้ำห้วยคือแม่น้ำเล็กๆ ทั้งหมดมีเหมืองและหนองเป็นต้น ย่อมไหลดัง ส่วนแม่น้ำใหญ่มีแม่คงคาเป็นต้นย่อมไหลนิ่ง ผู้ไม่ถือพระพุทธเจ้า ว่าเป็นของเรา ย่อมเป็นผู้ฟุ้งซ่านว่า เราบำเพ็ญปฏิปทาของมุนีอย่างนี้ ส่วน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 659
ผู้เป็นพุทธมามกะคือถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นของเรา ยังหิริและศรัทธาให้เกิดเป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน.
มีอะไรจะกล่าวยิ่งไปกว่านั้นอีก มีคาถาว่า ยทูนกํ ฯเปฯ ปณฺฑิโต ความว่า สิ่งใดพร่องสิ่งนั้นย่อมดัง สิ่งใดเต็มสิ่งนั้นย่อมสงบ คนพาลเปรียบด้วยหม้อน้ำที่มีน้ำครึ่งหนึ่ง บัณฑิตเปรียบด้วยห้วงน้ำที่มีน้ำเต็ม.
ในคาถานั้นพึงมีคำถามว่า หากว่าคนพาลเปรียบเหมือนหม้อนำมีน้ำครึ่งหนึ่ง เพราะมีเสียงดัง บัณฑิตเปรียบเหมือนห้วงน้ำที่เต็มเพราะเป็นผู้สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรพระพุทธสมณะ จึงเป็นผู้ขวนขวายในการแสดงธรรมอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคาถาว่า ยํ สมโณ โดยเชื่อมกับบทนี้ว่า พหุํ ภาสติ.
บทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ พระพุทธสมณะกล่าวคำใดมากที่เข้าถึงประโยชน์ประกอบด้วยประโยชน์ คือ ไม่เปล่าประโยชน์ และมีประโยชน์ ไม่กล่าวด้วยความฟุ้งซ่าน อีกอย่างหนึ่ง รู้ถ้อยคำนั้นอยู่ ย่อมแสดงธรรม เมื่อแสดงแม้ตลอดวันก็ไม่ยืดยาว เพราะคำทั้งหมดของพระพุทธสมณะนั้นเป็นวจีกรรม ปรับปรุงด้วยญาณ อนึ่ง เมื่อพระพุทธสมณะนั้นแสดงธรรมอยู่อย่างนี้ รู้ถ้อยคำนั้นอยู่อย่างมากว่า คำนี้พึงเป็นประโยชน์ดังนี้ ย่อมกล่าวถ้อยคำมาก มิใช่กล่าวเพราะพูดมากอย่างเดียว.
พึงทราบความสัมพันธ์กันแห่งคาถาสุดท้ายดังต่อไปนี้ พระพุทธสมณะประกอบด้วยสัพพัญญุตญาณรู้อยู่ ย่อมแสดงธรรม รู้อยู่ย่อมกล่าวถ้อยคำมาก อนึ่ง สมณะใดรู้อยู่ซึ่งธรรมอันพระพุทธสมณะนั้น แสดงแล้วด้วยญาณอันเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 660
ส่วนแห่งการรู้แจ้งแทงตลอด เป็นผู้สำรวมตน รู้เหตุที่ไม่นำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่กล่าวมาก สมณะนั้นเป็นมุนี ย่อม ควรซึ่งปฏิปทาของมุนี สมณะนั้นเป็นมุนิได้เข้าถึงธรรมเครื่องเป็นมุนีแล้ว.
บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ สมณะรู้อยู่ซึ่งธรรมนั้นเป็นผู้สำรวมตนแล้วคุ้มครองจิตแล้ว รู้คำที่ไม่นำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่กล่าวมาก สมณะอย่างนี้ย่อมควรซึ่งความเป็นมุนี มุนีนั้นเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นมุนี ย่อมควรซึ่งปฏิปทาของมุนีอันได้แก่โมเนยยปฏิปทา มิใช่ย่อมควรอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้มุนีนั้นพึงทราบว่า ได้ถึงธรรมเครื่องเป็นมุนี อันได้แก่อรหัตตมรรคญาณ เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาลงด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต.
พระนาลกเถระครั้นฟังดังนั้นแล้ว ได้เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในฐานะ ๓ คือในการเห็น ๑ ในการฟัง ๑ ในการถาม ๑ เพราะเมื่อจบเทศนา พระนาลกเถระนั้น มีจิตเลื่อมใสถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าไปสู่ป่า ไม่เกิดความโลเลว่า ทำอย่างไรดีหนอเราจะพึงได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก นี้คือความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในการเห็นของพระนาลกเถระนั้น. อนึ่งไม่เกิดความโลเลว่า ทำอย่างไรดีหนอเราจะพึงได้ฟังพระธรรมเทศนาอีก นี้คือความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในการฟังของพระนาลกเถระนั้น. อนึ่งไม่เกิดความโลเลว่า ทำอย่างไรดีหนอ เราจะพึงได้ถามโมเนยยปฏิปทาอีก นี้คือความเป็นผู้ปรารถนาน้อยในการถามของพระนาลกเถระนั้น. พระนาลกเถระนั้นเป็น ผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างนี้ จึงเข้าไปยังเชิงภูเขา ไม่อยู่ตลอดสองวัน ณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 661
ไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง ไม่นั่งตลอดสองวัน ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ไม่เข้าไปบิณฑบาตลอดสองวัน ณ บ้านแห่งหนึ่ง. พระนาลกเถระเที่ยวจากป่าสู่ป่า จากต้นไม้สู่ต้นไม้ จากบ้านสู่บ้าน ปฏิบัติปฏิปทาอันสมควรแล้วตั้งอยู่ในผลอันเลิศ. เพราะภิกษุผู้บำเพ็ญโมเนยยปฏิปทาอย่างอุกฤษฏ์ จะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ เดือนเท่านั้น บำเพ็ญอย่างกลางจะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ ปี บำเพ็ญอย่างอ่อนจะมีชีวิตอยู่ได้ ๑๖ ปี พระนาลกเถระนี้บำเพ็ญอย่างอุกฤษฏ์ ฉะนั้นจะอยู่ได้ ๗ เดือน รู้ว่าตนจะสิ้นอายุจึงอาบน้ำ นุ่งผ้า คาคผ้าพันกาย ห่มสังฆาฏิสองชั้น บ่ายหน้าไปทางพระทศพล ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ประคองอัญชลี ยืนพิงภูเขาหิงคุลิกะ ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงทราบว่า พระนาลกเถระปรินิพพานแล้ว จึงเสด็จไป ณ ภูเขานั้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ กระทำฌาปนกิจให้เก็บพระธาตุไปบรรจุยังเจดีย์แล้วเสด็จกลับ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถานาลกสูตรที่ ๑๑ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา