ถ้ามนุษย์ตายแล้วเกิดในอบายภูมิทันที (เปรตและสัตว์นรก) จะจำตอนเป็นมนุษย์ได้ไหมครับ
ขอบพระคุณมากครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอกล่าวถึงการกำเนิดของสัตว์ครับ
การกำเนิดของสัตว์ มี 4 ประเภทดังนี้
1. อัณฑชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่
2. ชลาพุชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์
3. สังเสทชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคล
4. โอปปาติกะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที โดยฉับพลัน
อัณฑชะ คือ เหล่าสัตว์ที่เกิดในไข่ เรียกว่าอัณฑชะ เช่น ไก่ เป็ด เป็นต้น
ชลาพุชะ คือ เหล่าสัตว์ที่เกิดในครรภ์ เรียกว่า ชลาพุชะ เช่น มนุษย์ เป็นต้น
สังเสทชะ คือ เหล่าสัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคล หมายถึงเกิดในสิ่งสกปรก เช่น เกิดในของบูดเน่าหรือในน้ำสกปรก ก็เกิดเป็นแมลงที่เป็นตัวอ่อน เป็นต้น
โอปปาติกะ คือเหล่าสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น เป็นตัวทันที โดยฉับพลัน
นี่คือกำเนิดเหล่าสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดที่เมื่อเกิดแล้วต้องไม่พ้นจากลักษณะการเกิด 4 อย่างตามที่กล่าวมาครับ
โอปปาติกะ เป็นการกำเนิดของเหล่าสัตว์บางประเภทคือเมื่อสัตว์ได้ตายลง จุติจิตเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นทันทีคือเป็นตัวผุดขึ้นทันที สมบูรณ์ทันที โตดั่งกับคนอายุ 16 ปี เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์จะต้องอยู่ในครรภ์ก่อนค่อยเป็นจุดเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆ โตขึ้น นี่คือกำเนิดในครรภ์ แต่ถ้าเป็นหมู่สัตว์ีที่เป็นโอปปาติกะ เมื่อสัตว์นั้นตายก็โตเป็นตัวขึ้นทันที ไม่ต้องรอให้โต ดังนั้นจึงเป็นการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งสัตว์ที่เกิดเป็นโอปปาติกะก็จะเป็น เทวดาทั้งหมด คือเมื่อสัตว์ใดจะไปเกิดเป็นเทวดา เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ก็จะเป็นตัวโตผุดขึ้นทันที โดยฉับพลัน ไม่ต้องรอค่อยๆ โตหรืออยู่ในครรภ์ ในไข่แล้วค่อยๆ โตครับ
โอปปาติกะจึงเป็นเหล่าสัตว์ที่เป็นพวกเทวดา เปรตและสัตว์นรกด้วยครับ คือเมื่อบุคคคลใดจะต้องไปนรกเมื่อตาย ดังเช่น พระเทวทัตเมื่อตายไปก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก เกิดเป็นตัวใหญ่ขึ้นมาทันทีโดยฉับพลันแล้วก็ถูกทรมานในนรกครับ ส่วนมนูษย์โดยทั่วไปแล้วก็จะเกิดในครรภ์ มีบ้างที่เป็นโอปปาติกะคือเกิดมาแล้วโตทันที เช่นมนุษย์ในยุคแรก ตายจากความเป็นพรหมแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์แต่โตเป็นตัวใหญ่ทันทีเหมือนบุคคลอายุ 16 ไม่ต้องอยู่ในครรภ์ ในไข่แล้วค่อยๆ โตครับ
โอปปาติกะจึงหมายถึง เหล่าสัตว์ที่เกิดโดยลักษณะโตขึ้นเป็นตัวทันที สมบูรณ์ทันที ผุดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งก็มีพวกเทวดาส่วนใหญ่ เปรต สัตว์นรกและสัตว์เดรัจฉานบางประเภทที่เกิดขึ้นเป็นตัวทันที ไม่ต้องเกิดในครรภ์และในไข่ครับ
ผู้ที่ตายจากมนุษย์ไปเกิดบนสวรรค์หรือเปรตหรือนรก เป็นภพภูมิที่เกิดขึ้นเป็นตัวทันที เหมือนกับคนที่นอนหลับแล้วตื่นขึ้น ฉะนั้น คนที่นอนหลับแล้วตื่นขึ้นย่อมจำสิ่งต่างๆ ที่เป็นไปในโลกนี้ฉันใด ผู้ที่เกิดในภพภูมิอื่นที่ได้กำเนิดโอปปาติกะ ย่อมจำได้ว่าชาติก่อนตนเคยกระทำกรรมอะไรไว้ จึงมาเสวยทุกข์หรือเสวยสุขตามกรรมที่ตนกระทำไว้ เพราะการได้กำเนิดใหม่ในภพใหม่ สืบเนื่องจากนามรูปในชาตินี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนละคนแล้วก็ตาม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 354
ที่ชื่อว่า โอปปาติกะ เพราะอรรถว่า เป็นเหมือนมาเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ในข้อนั้น นี้เป็นความแตกต่างกันระหว่าง สัตว์เกิดในเหงื่อไคล กับสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นในจำพวก เทวดาและมนุษย์. สัตว์จำพวกสังเสทชะ เกิดเป็นตัวอ่อนเล็กๆ สัตว์จำพวกโอปปาติกะ เกิดเป็นตัวเท่ากับคนอายุ ๑๖ ปี
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 355
เทวดาชั้นสูงๆ ขึ้นไปตั้งแต่ ชั้นจาตุมมหาราชิกา จัดเป็นจำพวกโอปปาติกะทั้งนั้น สัตว์นรกก็เช่นกัน ในจำพวกเปรตก็หากำเนิดได้ครบทั้ง ๔
[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 47
ดูก่อนสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ละจากความเป็นมนุษย์แล้ว ไปเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย ซึ่งผุดขึ้นเป็นตัวทันทีนั้น สามารถจำได้ว่าในชาติที่เป็นมนุษย์ตนเองทำกรรมอะไรมา จึงเกิดในนรกหรือเกิดเป็นเปรตหรือเกิดเป็นอสุรกาย แต่ก็สายไปเสียแล้ว เนื่องจากว่าอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วให้ผลนำเกิดแล้วในอบายภูมิ เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษเท่านั้น
ข้อที่ควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ เหตุที่ทำให้เกิดในภพต่างๆ คือ กิเลส เมื่อยังไม่สามารถดับกิเลสอันเป็นเหตุให้มีการเกิดได้ ย่อมมีการเกิดอยู่ร่ำไป เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอย่างไม่มีวันจบสิ้น ชาติก่อนๆ ที่ผ่านมา ก็เป็นอย่างนี้มาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน ทุกอย่างผ่านพ้นไปหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ ที่สำคัญ คือ ในชาตินี้ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เป็นเพราะผลของกุศลกรรม จึงควรที่จะได้เจริญกุศล อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการสร้างเหตุใหม่ที่ดี เพราะเหตุว่าชาตินี้อกุศลก็ยังมีมาก อีกทั้งปัญญาก็ยังไม่ได้เจริญขึ้น ถ้าหากว่าไม่เริ่มในชาตินี้ ขณะนี้ ชาติหน้าต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้อีก คือ เป็นผู้มากไปด้วยอกุศล และไม่มีปัญญา
ดังนั้น ขณะนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เริ่มตั้งตนไว้ชอบในการศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
โทษของการทำอกุศลกรรม
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณมากครับ
ขออนุโมทนาครับ