[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 426
๒. ทุติยอุคคสูตร
[๑๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บ้านหัตถีคาม ในแคว้นวัชชี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงทรงจำ อุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคาม ว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคต ครั้นได้ตรัสพระดำรัสนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปสู่พระวิหาร
ครั้งนั้น เวลาเช้า ภิกษุรูปหนึ่ง นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปยังนิเวศน์ของอุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคาม ครั้นแล้วจึงนั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้ ลำดับนั้น อุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคาม เข้าไปหาภิกษุนั้น ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะอุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามว่า ดูก่อนคฤหบดี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ท่านว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ ดูก่อนคฤหบดี ธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการเป็นไฉน
อุคคคฤหบดีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมไม่ทราบเลยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์กระผมว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการเป็นไฉน แต่ขอท่านได้โปรดฟังธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ นี้ที่มีอยู่ จงใส่ใจให้ดี กระผมจักเรียนถวาย ภิกษุนั้นรับคำอุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคามแล้ว
อุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคามได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในคราวที่กระผมเที่ยวอยู่ในสวนนาควัน ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ไกลเป็นครั้งแรก พร้อมกับการเห็นนั้นเอง จิตของกระผมก็เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า เมาสุราอยู่ก็หายเมา นี้แลเป็นธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ข้อที่ ๑ ของกระผมที่มีอยู่.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมมีจิตเลื่อมใสแล้ว ได้เข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาโปรดกระผม คือทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามอันต่ำทรามเศร้าหมองและอานิสงส์ในเนกขัมมะ ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบว่า กระผมมีจิตควร อ่อน ปราศจากนิวรณ์ บันเทิง ผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศสามุกังสิกาธรรมเทศนาแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เปรียบเหมือนผ้าที่บริสุทธิ์ ไม่หมองดำ จะพึงรับน้ำย้อมได้ดี แม้ฉันใด ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแล้วแก่กระผม ณ ที่นั่งนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ก็ฉันนั้น เหมือนกัน ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมได้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้ธรรมแจ้งแล้ว หยั่งซึ้งถึงธรรมแล้ว ข้ามพ้นความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลงแล้ว ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในสัตถุศาสน์ ได้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ว่า เป็นสรณะ สมาทานสิกขาบท อันมีพรหมจรรย์เป็นที่ ๕ แล้ว ณ ที่นั่งนั้นนั่นแล นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ข้อที่ ๒ ของกระผมมีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมได้มีปชาบดีรุ่นสาวอยู่ ๔ คน ได้เข้าไปหาปชาบดีเหล่านั้น แล้วได้กล่าวกะเธอเหล่านั้นว่า ดูก่อน น้องหญิงทั้งหลาย ฉันสมาทานสิกขาบทอันมีพรหมจรรย์เป็นที่ ๕ ผู้ใดปรารถนา ผู้นั้นจงใช้โภคะเหล่านี้และทำบุญได้ หรือจะไปสู่ตระกูลญาติของตัวก็ได้ หรือประสงค์ชายอื่น ฉันก็จะมอบให้แก่เขา เมื่อกระผมกล่าวอย่างนี้แล้ว ปชาบดีคนแรกได้พูดกะกระผมว่า ขอท่านได้กรุณามอบดิฉันให้แก่ชายชื่อนี้เจ้าค่ะ กระผมได้เชิญชายผู้นั้นมา เอามือซ้ายจับปชาบดี มือขวาจับเต้าน้ำ หลั่งน้ำมอบให้ชายคนนั้น ก็เมื่อบริจาคปชาบดีสาวเป็นทาน กระผมไม่รู้สึกว่าจิตแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเลย นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ข้อที่ ๓ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในตระกูลของกระผมมีโภคทรัพย์อยู่มาก และโภคทรัพย์เหล่านั้น กระผมได้แจกจ่ายทั่วไปกับผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม นี้แล เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ข้อที่ ๔ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผู้เข้าไปหาภิกษุรูปใด กระผมก็เข้าไปด้วยความเคารพทีเดียว ไม่ใช่เข้าไปหาด้วยความไม่เคารพ หากท่านผู้มีอายุนั้นแสดงธรรมแก่กระผม กระผมก็ฟังโดยเคารพแท้ๆ ไม่ใช่ฟังโดยไม่เคารพ หากท่านผู้มีอายุนั้นไม่แสดงธรรมแก่กระผม กระผมก็แสดงธรรมแก่ท่านผู้มีอายุนั้น นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ข้อที่ ๕ ของกระผมที่มีอยู่
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่น่าอัศจรรย์ที่เมื่อกระผมนิมนต์สงฆ์ แล้วเทวดาทั้งหลายเข้ามาบอกว่า ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุรูปโน้น เป็นอุภโตภาควิมุติ รูปโน้นเป็นปัญญาวิมุติ รูปโน้นเป็นกายสักขี รูปโน้นเป็นทิฏฐิปัตตะ รูปโน้นเป็นสัทธาวิมุติ รูปโน้นเป็นสัมมานุสารี รูปโน้นเป็นสัทธานุสารี รูปโน้นเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม รูปโน้นเป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมอังคาสสงฆ์อยู่ก็ไม่รู้สึกว่ายังจิตให้เกิดขึ้นอย่างนี้ว่า จะถวายแก่ท่านรูปนี้น้อยหรือจะถวายแก่ท่านรูปนี้มาก แท้ที่จริง กระผมมีจิตเสมอกัน นี้แล เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ข้อที่ ๖ ของกระผมที่มีอยู่.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่น่าอัศจรรย์ที่เทวดาทั้งหลายเข้ามาหากระผมแล้วบอกว่า ดูก่อนคฤหบดี ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เมื่อเทวดาทั้งหลายกล่าวอย่างนี้แล้ว กระผมจึงพูดกะเทวดาเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านจะพึงบอกอย่างนี้หรือไม่พึงบอกอย่างนี้ก็ตาม แท้ที่จริง ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วแก่กระผม ก็ไม่รู้สึกเลยว่า ความฟูใจจะมีมาแต่เหตุนั้น เทวดาทั้งหลายเข้ามาหากระผมหรือกระผมได้ปราศรัยกับเทวดาทั้งหลาย นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ข้อที่ ๗ ของกระผม ที่มีอยู่.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็หากว่ากระผมจะพึงทำกาละก่อนพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ไม่น่าอัศจรรย์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า สังโยชน์อันเป็นเครื่องประกอบให้อุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคามพึงกลับมาสู่โลกนี้อีกไม่มี นี้แลเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ข้อที่ ๘ ของกระผมที่มีอยู่.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้แล ของกระผมที่มีอยู่ แต่กระผมก็ไม่รู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์กระผมว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมที่น่า อัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการเป็นไฉน
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นรับบิณฑบาตในนิเวศน์ของอุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามแล้ว ลุกจากที่นั่งแล้วหลีกไป ภายหลังภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูล คำสนทนาปราศรัยกับอุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคามนั้นทั้งหมด แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ถูกแล้ว อุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคาม เมื่อจะพยากรณ์ พึงพยากรณ์ตามนั้นโดยชอบ ดูก่อนภิกษุ เราพยากรณ์อุคคคฤหบดีชาวบ้านหัตถีคามว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ นี้แล และเธอทั้งหลายจงทรงจำอุคคคฤหบดี ชาวบ้านหัตถีคามว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการนี้
จบ ทุติยอุคคสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 431
อรรถกถาทุติยอุคคสูตรที่ ๒
ทุติยุคคสูตร ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า นาควเน ความว่า ได้ยินว่า เศรษฐีนั้นได้มีสวนชื่อว่า นาควัน เศรษฐีนั้นให้คนถือเอาของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ในเวลาก่อนอาหาร ประสงค์จะเล่นกีฬาในวันนั้น อันบริวารแวดล้อมไป ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เขาเกิดจิตเลื่อมใสโดยนัยก่อนนั่นแหละ พร้อมกับการเห็นความเมาที่เกิดขึ้นเพราะการดื่มสุรา ก็สร่างหายไปในขณะนั้นนั่นเอง. อุคคเศรษฐีกล่าวอย่างนั้น หมายเอาข้อนั้น
บทว่า โอโฏเชสึ ความว่า หลั่งน้ำที่พระหัตถ์ถวาย.
บทว่า อสุโก แก้เป็น อมุโก
บทว่า สมจิตฺโตว เทมิ ความว่า ไม่กระทำความคิดต่างๆ อย่างนี้ว่า ให้แก่คนนี้น้อย ให้แก่คนนี้มาก. ด้วยคำนี้ อุคคเศรษฐีแสดงว่า เราจะไม่ทำคุณของภิกษุเหล่านั้น ให้เป็นเช่นเดียวกัน แต่เราจะกระทำไทยธรรม ให้เป็นเช่นเดียวกัน.
บทว่า อาโรเจนฺติ ความว่า เทวดาทั้งหลายยืนบอกอยู่ในอากาศ อุบาสกได้พยากรณ์อนาคามิผลของตนด้วยคำนี้ว่า นตฺถิ ต สโยชน สังโยชน์นั้นไม่มี ดังนี้แล.
จบ อรรถกถาทุติอุคคสูตรที่ ๒
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ