ท่านอาจารย์ได้รับเชิญมาสนทนาธรรมที่เวียดนามตั้งแต่ปี 2555 โดยอาจารย์ Tam Bach และคณะฯ ซึ่งต่อมาได้ตั้งเป็นชมรมบ้านธัมมะ เวียดนาม บัดนี้ ท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่เวียดนามเป็นครั้งที่ 8 แล้ว และมาที่ฮานอยเป็นครั้งที่ 2
คณะที่เดินทางมากับท่านอาจารย์กลุ่มแรกในวันนี้มี 17 คน พวกเรามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแต่เช้า ทั้งๆ ที่คุณท้าย (Tran Thai) ผู้จัด พยายามเลือกเวลาไม่ให้เช้าเกินไป แต่สายการบินเวียดเจ็ทก็เปลี่ยนเวลาจนได้ โดยแจ้งผ่านอีเมล์ของผู้จองตั๋ว คุณตือ (มารศรี บูรณะไทย) ผู้ประสานงานฝ่ายไทย ได้แจ้งผ่านทางโทรศัพท์และไลน์กลุ่ม แต่ก็ยังตกหล่นคุณนีน่า วัน กอร์คอมที่อยู่เนเธอร์แลนด์ แต่ในที่สุดทุกคนก็มาทันจนได้
มีสหายธรรมที่มีกุศลจิต เช่น คุณแก้วตา อเนกพุฒิ รับท่านอาจารย์จากบ้านมาส่งที่สนามบิน ท่านพลเรือโท นภดล สุธัมมสภา สมาชิกเกือบถาวรในการร่วมเดินทางมาเวียดนาม แต่ครั้งนี้ท่านไปทำดีเพื่อประเทศชาติอย่างอื่น จึงร่วมเดินทางไปด้วยไม่ได้ เพียงแต่มาส่งเท่านั้น คุณเผดิม ยี่สมบุญ เจ้าหน้าที่มูลนิธิ ที่มาช่วยเช็คอิน ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ
เดินทางจากสุวรรณภูมิที่ไม่มีสีสันเหมือนอย่างเคย เพราะผู้เดินทางส่วนใหญ่ร่วมกันใส่ชุดดำ เพื่อแสดงความไว้อาลัยในการเสด็จสวรรคตของในหลวงที่เป็นที่รักยิ่งของคนไทย พวกเราออกเดินทางตอนเที่ยงกว่า ใช้เวลาเดินทาง 1. 30 ชม. ก็ถึงสนามบิน Noi Bai สนามบินใหม่ของฮานอย สร้างใกล้สนามบินเก่าซึ่งเปลี่ยนเป็นสนามบินภายในประเทศ
ถึงตอนบ่ายสองกว่าๆ อากาศร้อน 33 องศา อาจารย์ตั้ม บัค พาคณะมารับท่านอาจารย์ที่สนามบินด้วยรถบัสขนาดใหญ่ รถแล่นผ่านทางหลวงตัดใหม่ขนาด 8 เลน ข้ามสะพานสร้างใหม่ 2 แห่ง เวลาผ่านไปเพียง 4 ปีกว่าๆ ฮานอยเปลี่ยนแปลงไปมากจนคนหลับๆ ตื่นๆ เพราะ jet lag อย่างเรายังตื่นเต้น รถพาเข้าไปกลางใจเมืองฮานอยเพื่อไปโรงแรม Army Guest Hotel ระดับ 3 ดาว ยังไม่ถึงต้องลงเดินเข้าโรงแรมประมาณ 200 เมตร เพราะรถใหญ่เข้าไม่ได้ แต่มีรถขนกระเป๋าและรับผู้อาวุโส
โรงแรม Army Guest Hotel คงเป็นของทหารบก มีเจ้าหน้าที่แต่งชุดทหารเดินให้เห็นหลายคน อาจจะเป็นที่พักตั้งแต่สงครามเวียดนามก็ได้ (เดาเอา ไม่ได้ถามใคร) ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปี (เดาเอาอีก) มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ถึง 2 สระ เสียดายที่ไม่เอาชุดว่ายน้ำมาด้วย เลยไม่ได้ใช้บริการอย่างอาจารย์กุลวิไล คุณจอนและคุณซาร่าห์ ก็ได้แต่คิด เพียงแต่พยายามตั้งตัวตรงบนบกก็ยังยาก เพราะร่างกายอ่อนล้า อยากจะเป็นทหารราบบนเตียงมากกว่า
หลังเข้าห้องพักตอนห้าโมงเย็นแล้ว ก็ขอให้คุณฮั่งพาไปทานอาหารพื้นเมือง อยากไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูร้านเดียวกับ ปธน. บารัค โอบามา แต่คณะส่วนใหญ่อยากไปทาน "จ่าก๋า" หม้อไฟปลาช่อนผัดกับผัก ทานกับเส้นหมี่ ฮั่งจึงพานั่งแท๊กซี่ 2 คันไปที่ร้านดังของฮานอย คงจะอร่อย ดูจากลูกค้าเต็มร้าน เสียค่าแท๊กซี่คันละเกือบ 50,000 ด่อง ไปกัน 13 คน จ่ายค่าอาหารเกือบ 2,000,000 ด่อง รู้สึกว่า รวยจัง แค่คิดว่ารวยเงินด่องก็ครึ้มใจแล้ว ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ที่แท้ก็มาจากความคิดทั้งสิ้น ถ้าไม่คิดก็จะไม่มีอะไรเลย แต่ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตต้องคิด เพราะมีจิต ธรรมชาติหนึ่งของจิตคือคิดปรุงแต่งไปตามการสะสม (ดีใจจัง หาธรรมลงได้)
สนทนาธรรมช่วงแรกตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค.59 - 24 ต.ค. 59 เริ่มเวลา 09.00 - 11.00 น. และ 16.00 - 18.00 น. วันที่ 25 ต.ค. เวลา 0900. - 10.30 น. เพื่อเดินทางไปซาปา 25 ต.ค. - 27 ต.ค. สนทนาเฉพาะภาษาอังกฤษ ช่วงที่สอง 29 ต.ค. - 31 ต.ค. ทั้งเช้าบ่าย โดยถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ www.dhammahome.com ตามวันเวลาดังกล่าว โดยทีมงานผู้แข็งขัน สาวมาดเข้ม คุณยุพิน สุชลธาดคุณมารศรี บูรณะไทย และ คุณธีรินทร์ (ปู) สากิยะ ลูกสาวคนเก่งของคุณกอบแก้ว สากิยะ
ผู้ร่วมเดินทางทุกท่านร่วมเจริญกุศลสนับสนุนการเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี คุณนภา จันทรางศุ คุณกฤษณา วงศ์วิภาส ดูแลท่านอาจารย์อย่างใกล้ชิด
สนทนาธรรมวันแรกในห้องประชุมชั้น 3 ของโรงแรม ซึ่งจุคนฟังได้กว่า 100 คน ผู้จัดเลือกโรงแรมนี้เพราะมีห้องประชุมเหมาะสม ผู้มาร่วมฟังเดินทางสะดวก มีห้องอาหารใหญ่พอ ไม่ต้องออกไปข้างนอก ได้เห็นผู้ฟังคุ้นหน้าหลายท่าน ทั้งพระและแม่ชี มีหลายคนเดินทางไกลติดตามมาฟังจากญาจาง ดาลัท ไซ่ง่อน และผู้ฟังหนุ่มสาวหน้าใหม่หลายคน แต่ก็ยังไม่เต็มห้องประชุมที่ผู้จัดแจ้งว่า มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกว่า 100 คน คงจะมาวันหลัง เพราะมีหลายช่วง แต่จำนวนมากน้อยไม่สำคัญเท่ากับจำนวนคนที่ฟังเข้าใจแม้เพียงคนเดียวก็ประเสริฐสุดแล้ว เหมือนต่อเทียน เทียนจะมากน้อยเท่าไรไม่สำคัญ เท่ากับต่อไฟติดกี่เล่ม
อาจารย์ตั้ม บัค (Tam Bach) เป็นทั้งพิธีกร ล่าม ผู้บรรยายธรรมกล่าวเปิดการสนทนาด้วยการกล่าวแสดงความเสียใจกับคนไทยที่สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เมื่อ 13 ต.ค. 59 ในหลวงทรงแสดงให้เห็นว่า ความดีไม่มีวันตายจากจิตใจของผู้คนที่ระลึกถึงท่าน
พยายามเก็บใจความสำคัญในการสนทนามาเล่าให้ฟัง แต่คิดว่าคงจะเก็บได้น้อยกว่าที่ตกหล่นไป อย่าถือสาคนหลับตื่นผิดเวลาเลยนะคะ มีอีกหลายท่านที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันมีอาการเดียวกัน คือ คุณแอนน์ มาแชล คุณกอบแก้ว และน้องปู ลูกสาวที่เพิ่งเดินทางมาจากแคนาดา ทุกคนใช้ฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยในการหลับ ทราบจากน้องปูว่า ต้องเป็นยาผลิตใหม่ๆ และผู้ใช้ต้องไม่เคยกินยานอนหลับมาก่อน จึงจะได้ผล ส่วนเราปกตินอนหลับได้ทั้งกลางวันกลางคืน คราวนี้ง่วงมากตอนกลางวัน ไม่อยากหลับ กลางคืนไม่อยากตื่นก็ตื่น กินเข้าไปแล้ว ยาคงงง ไม่รู้จะปรับอย่างไร เลยเบลอๆ พยายามจะถ่ายทอดให้ได้มากที่สุด แต่ก็ลองอ่านดูนะคะว่าได้แค่ไหน
สนทนาธรรมที่โรงแรม Army Guest Hotel ฮานอย 09.00 - 11.00 น. 22 ต.ค. 2559
ซาร่าห์ พระพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับชีวิตที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เราอาจมีเพื่อนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว หรือที่ไทยสูญเสียพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตก็ดำเนินไป ผ่านทั้งสุข ทั้งทุกข์ แต่ก็เหมือนฝันที่เกิดแล้วดับไป จริงๆ แล้ว ท่านเหล่านั้นไปไหน? พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ชีวิตก็เพียงแค่ขณะที่กำลังปรากฏสั้นๆ เพียงขณะเดียว อาจคิดว่า เห็นอาจารย์หรือเพื่อนๆ จริงๆ แล้วเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาชั่วขณะเดียว แล้วคิดถึงสิ่งที่เห็นหรือเสียงที่ได้ยินเพียงชั่วขณะสั้นๆ เพราะติดข้องกับสิ่งที่เห็น เสียงที่ได้ยิน ... เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงจึงติดข้อง
มีเพื่อนใหม่จากไต้หวันที่ศึกษาพุทธศาสนามาระยะหนึ่ง
วินเซ็นต์ ขอถามเรื่องเห็น
ท่านอาจารย์สุจินต์ ทำไมถึงถามเรื่องเห็น เพราะไม่เข้าใจว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะไม่รู้เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็น นี่เป็นการเริ่มต้นของการศึกษาธรรม เห็นเกิดปรากฏแล้วดับไป ไม่สามารถได้ยินหรือคิดนึก เกิดแล้วดับโดยไม่รู้ ที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชาไม่ใช่ใคร เกิดทำกิจไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง อวิชชาเกิดกับเห็น ... ได้ยิน ... พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อให้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มานาน แต่ละคำจึงลึกซึ้ง ยากจะรู้ได้โดยง่าย เพราะเราคือใคร พระพุทธเจ้าคือใคร จึงต้องศึกษาธรรมด้วยความเคารพ ให้เข้าใจทีละคำ
คิดถึงเห็นเพียงขณะเดียว ใครจะรู้ได้ เพราะเกิดแล้วดับทันที สั้นมาก เห็นอะไร ใครรู้ เราคิดว่าเห็นคน ... แต่เห็นเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น เริ่มต้นเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่เรา สภาพธรรมไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น เห็นไม่ใช่คน ไม่ใช่แมว เพียงปรากฏชั่วขณะแล้วดับทันที จึงไม่ใช่ใคร เข้าใจถูกว่า ชีวิตทุกขณะไม่เที่ยง ไม่มีใครเลือกอะไรได้ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้
ซาร่าห์ พระพุทธเจ้าทรงสอนทั้งสัมมามรรคและมิจฉามรรค สภาพธรรมทั้งหมดเกิดเพราะเหตุปัจจัย สัมมามรรคเข้าใจถูกว่า ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป มิจฉามรรคตรงกันข้าม คือคิดว่าเลือกให้สภาพธรรมเกิดได้ตามความตั้งใจ เริ่มต้นของสัมมามรรคคือฟังให้เข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างที่มีจริงไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ อย่างเห็น ไม่ใช่คนเห็น แมวเห็น แต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปทันที สภาพธรรมเกิดปรากฏให้รู้แล้วดับไป แต่มิจฉามรรคเป็นตัวตนที่เห็น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าจะไม่มีโอกาสได้ฟังความจริงนี้
ถาม ขอทราบเรื่องพิจารณาถูกต้อง อย่างเห็น ได้ยินแล้วรู้ว่าเป็นอะไร เป็นการพิจารณาถูกหรือไม่
โจโนธาน เมื่อฟังธรรมแล้วพิจารณา รู้ความหมาย ไม่ต้องถามว่าพิจารณาถูกหรือไม่ เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ อาจเกิดทันทีหรือภายหลังก็ได้ อาจเคยพิจารณามาก่อน สติเกิดตามปกติเพราะเข้าใจคำสอนและใส่ใจ ...
ถาม พิจารณาทันทีไม่ได้ คิดว่าต้องฟังแล้วฟังอีกจนกว่าจะเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่เรา
ซาร่าห์ เข้าใจดีว่าต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจ ฟังว่า ชีวิตคือ ขณะนี้ที่กำลังปรากฏ ฟังเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่เรา เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับทันที โยนิโสมนสิการว่า เห็นคืออะไร พิจารณาสภาพธรรมทุกอย่างจนทั่ว ถ้าตั้งใจระลึกรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด นั่นไม่ใช่สัมมาสติ ถ้าเข้าใจผิดทำให้ปฏิบัติผิด เป็นมิจฉามรรค ถ้าไม่เข้าใจว่า เห็นขณะนี้คือชีวิต ก็ไม่สามารถพิจารณาถูกได้
พระ ขณะที่คนใกล้ตายเกิดโทสะ จะเป็นผลให้เกิดในชาติต่อไปหรือไม่?
โจโนธาน ปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมที่ทำแล้ว ยากที่จะรู้ว่ากรรมใดจะให้ผล อาจเป็นกรรมในชาตินี้หรือชาติก่อนๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นว่า โทสะจะเป็นผลให้เกิดก็ได้ คนที่ศึกษาธรรมบางคนคิดว่า พยายามให้จิตเป็นกุศลก่อนตายจะทำให้เกิดในที่ดีๆ ได้ แต่นั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
พระ ในพระไตรปิฎกมีเรื่องของพระภิกษุที่ช่วยพ่อไม่ให้เกิดในนรก
ซาร่าห์ จริงๆ แล้ว ตายทุกขณะ หลังเห็นก็ตายได้ ... ทรงแสดงว่า จิตเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่ทันที่ใครจะทำอะไรได้ กรรมที่ทำไว้แล้วสามารถเป็นปัจจัยให้เกิดในชาติต่อไปได้ทั้งสิ้น จิตสะสมทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นโทสะ โลภะ หรือปัญญา พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงว่า จิตเกิดดับทุกขณะ ไม่กลับมาอีกซ้ำอีก ดับหมดไม่เหลือเลย เห็นเกิดแล้วดับไป เห็นใหม่ก็ไม่ใช่ของเก่า
ถาม มรณะ 3 คือ ขณิกมรณะ สมมติมรณะ สมุเฉทมรณะ เป็นอย่างไร?
นีน่า พระอรหันต์ดับโลภะ โทสะ โมหะหมด ซึ่งมีมากมาย เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก การเข้าใจคำสอนจึงยากมาก ต้องเป็นไปตามลำดับ ทีละล็กทีละน้อยจริงๆ มีสภาพธรรมเกิดปรากฏเดี๋ยวนี้ สามารถเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เริ่มจากขณะนี้ด้วยการฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้น มีศรัทธาเพิ่มขึ้นว่า สามารถเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ จากชาติหนึ่งสู่อีกชาติหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องต้องท้อถอย ถ้าเริ่มจากขณะนี้
ท่านอาจารย์สุจินต์ พูดถึงตายซึ่งยังไม่เกิด แต่เดี๋ยวนี้กำลังปรากฏ ทำไมไม่เริ่มเดี๋ยวนี้ ถ้าจะหลับ เดี๋ยวนี้รู้ไหม ไม่มีใครสามารถรู้ว่า จิตขณะต่อไปจะเป็นอะไร รู้แต่ว่า จิตขณะนี้เกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดต่อ ระหว่างเห็นกับได้ยิน มีใครรู้บ้างว่า มีจิตเกิดระหว่างนั้นมากมาย จิตเกิดแล้วดับไป แตกต่างกันไป เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เห็นขณะก่อน เช่นเดียวกับตาย ดังนั้น ตายทุกขณะ ไม่รู้ว่า จิตขณะต่อไปเป็นอะไร จึงไม่สามารถรู้จิตก่อนตายและหลังตาย เช่นเดียวกับไม่รู้จิตก่อนหลับและหลังหลับ จึงไม่น่ากลัว ทุกคนอยากเห็นสิ่งที่ดีตลอดเวลา แต่เป็นไปไม่ได้ บางคนจึงเกิดมาจน เกิดมารวย เพราะไม่รู้การเกิดดับทุกขณะ จึงติดข้องกับสิ่งที่ปรากฏ แต่จริงๆ ตายทุกขณะ แทนที่จะไม่รู้ไปทุกๆ ชาติ ควรเข้าใจความจริงของชีวิตทั้งหมด เพราะชีวิตเพียงแค่เห็น ... ได้ยิน ... คิดนึก ... เท่านั้น คิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เพียงคิดด้วยความหวัง จึงควรรู้ว่า เห็นคืออะไร
ดังนั้น ต้องฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจว่า เห็นเป็นอะไร สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอะไร ไม่มีใครสามารถคิดเองได้ นอกจากฟังพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว ไม่มีใครเห็นใคร นอกจาก "เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" หลับตาแล้วไม่เห็นอะไร เมื่อลืมตาจึงเห็น เหนือความเข้าใจของใคร นอกจากฟังคำของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนเต็มเปี่ยมที่จะรู้ความจริง ก็ไม่สามารถรู้ได้เช่นกัน จึงควรฟังธรรมด้วยดีเพื่อให้เข้าใจทุกคำที่ทรงแสดงไว้ สิ่งที่เห็นแล้วอยู่ไหน? เห็นได้ตามหวังหรือไม่? สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง เช่นเดียวกับได้ยินกับเสียง
ท่านอาจารย์สุจินต์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ที่ไหน?
ผู้ถาม อยู่ที่ไหนก็ไม่น่าสนใจ เพราะเกิดแล้วดับแล้ว
นีน่า เราไม่สามารถละโลภะด้วยความตั้งใจ พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เมื่อโลภะเกิด ไม่ควรเสียใจ แต่เป็นโอกาสจะได้ศึกษาความเป็นอนัตตาของโลภะ
ท่านอาจารย์สุจินต์ ทุกคนติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ปรากฏจะไม่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เมื่ออบรมเจริญปัญญาจนทั่วจึงจะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง
ซาร่าห์ จริงๆ ทุกขณะเหมือนฝัน เราอยู่ในโลกของความคิดนึกตลอดเวลา ขณะที่หลับกับตื่นต่างกันตรงที่ขณะตื่นมีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ แล้วคิด ขณะหลับมีแต่ความคิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตื่นเพราะทรงทราบความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ไม่มีจริง เหมือนตื่นจากฝัน
โจโนธาน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ที่ไหนนั้นปกปิด เพราะความคิดปกปิดสิ่งที่ปรากฏให้เห็นตลอดเวลา ถ้าเข้าใจเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งตามด้วยความคิดของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน ... อยู่ที่ไหน นี่คือทางที่ทำให้เข้าใจ สิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง
นีน่า เราเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญของบุคคล เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตน้อยลง ทำให้อดทนมากขึ้นในชีวิตประจำวัน กัลยาณมิตรสำคัญมากที่สามารถช่วยให้เข้าใจธรรมมากขึ้น
ซาร่าห์ ขณะนี้มีสภาพธรรมเกิดดับมากมาย เพราะความไม่รู้ สภาพธรรมจึงไม่ปรากฏตามความเป็นจริง มีเห็น ได้ยิน คิดนึกเกิดดับสืบต่อมากมาย จนไม่สามารถเข้าใจเห็น ... ได้ยิน ... ขณะนี้ตามความเป็นจริงได้ ลักษณะของอารมณ์ที่ทำให้ติดข้องเหมือนกัน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีลักษณะเหมือนกันที่รู้ได้ทางตา
ขอเชิญติดตามตอนอื่นๆ ได้ที่นี่ ...
สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (1)
สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (3)
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ