...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีเราตั้งแต่ต้น นี่คือความเข้าใจถูกครับ ไม่มีเราเลือก ธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามการสะสม แสดงถึงความเป็นอนัตตา เลือกไม่ได้ แต่เป็นธรรมทำหน้าที่ ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะไม่มีเราเกิด ไม่มีเราตาย มีแต่ธรรม ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้ยินดี พอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส แสดงถึงความเป็นอนัตตาของธรรม ที่โลภะย่อมติดทุกอย่าง ยกเว้นโลกุตตรธรรม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของปุถุชนที่ยังมีกิเลส แต่สำคัญที่สุด คือ เข้าใจกิเลสว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือประโยชน์ของการเข้าใจความจริง ประโยชน์ของชีวิต มีชีวิตเพื่อเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม ร้องเพลง ฟังเพลง ก็ไม่พ้นจากธรรม พระสาวกในอดีต ท่านฟังเพลงก็เกิดปัญญาได้ เพราะไม่พ้นจากธรรมในขณะนั้น ครับ
เชิญอ่านคำบรรยาย ท่าน อ.สุจินต์ ดังนี้ ครับ
มธุรส อาจารย์คะ แต่บางคนที่เขาไม่ได้มีการสะสมที่จะมีอินทรียสังวร โดยขั้นตัดง่ายๆ แบบที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ ทำให้รู้สึกว่า บางครั้งอาจจะเป็นการฝืนความรู้สึกของเขา เหมือนกับว่าเป็นการไม่ใช่เป็นปกติของเขาอย่างนี้คะ
สุ. เพราะฉะนั้นแต่ละคน เมื่อเจริญสติปัฏฐานแล้วจะทราบได้ว่า อกุศลทั้งหลายยังเต็มเพียบ เพียงแต่ว่าจะเกิดเมื่อไรมากหรือน้อย
เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ตรงคะ อุชุปฏิปันโน คือ ตรงต่อสภาพธรรมที่ว่า เมื่อสภาพธรรมใดเกิดแล้วเพราะมีปัจจัย แสดงให้เห็นถึงการสะสมของแต่ละบุคคลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นปัญญาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสไม่ได้ เพียงแต่อาจจะเบาบาง บางครั้ง บางขณะ แต่ว่ายังมีเชื้อที่จะทำให้กิเลสทุกระดับเกิด
มธุรส อย่างคนที่มีการสะสมที่จะดูหนัง ดูละคร จริงๆ แล้ว ถ้าสมมติว่าเขาดูหนัง ดูละคร หรือว่าอยู่ในที่ซึ่งไม่ได้เป็นที่เงียบสงบหรือปลีกออกไป จริงๆ มันอยู่ที่ใจไม่ใช่หรือคะ
สุ. ดูหนัง ดูละคร หนังก็มีหลายประเภท ละครก็มีหลายประเภท คนดูในที่นั้นจะรู้ได้เลยว่า คนที่กำลังดูหนังประเภทไหน กิเลสระดับไหน แล้วคนที่ดูหนังดูละครตามปกติธรรมดา ก็เพราะเหตุว่ายังมีเหตุ ยังมีกิเลสอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่า คนนั้นจะอบรมเจริญปัญญาไม่ได้ ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ถึงไม่ดูหนังดูละครกิเลสก็เต็ม จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรม
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ลืมความเป็นอนัตตาไม่ได้เลยจริงๆ ทุกขณะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยของกุศลถึงพร้อม ก็มีการเจริญกุศล มีการฟังพระธรรม เป็นต้น แต่ถ้าเหตุปัจจัยของอกุศล พร้อม อกุศลก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ทันที ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จะเห็นได้จริงๆ ว่า อกุศล เยอะมากในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ได้สะสมมาแล้วนานแสนนาน จึงไม่มีที่พึ่งอื่นที่จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายสิ่งที่ไม่ดีได้ นอกจากฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป อบรมเจริญปัญญา ท่ามกลางอกุศลซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่ง ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
อ้างอิงจาก ความคิดเห็น 4 โดย khampan.a
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ลืมความเป็นอนัตตาไม่ได้เลยจริงๆ ทุกขณะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยของกุศลถึงพร้อม ก็มีการเจริญกุศล มีการฟังพระธรรม เป็นต้น แต่ถ้าเหตุปัจจัยของอกุศล พร้อม อกุศลก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ทันที ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จะเห็นได้จริงๆ ว่า อกุศล เยอะมากในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ได้สะสมมาแล้วนานแสนนาน จึงไม่มีที่พึ่งอื่นที่จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายสิ่งที่ไม่ดีได้ นอกจากฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป อบรมเจริญปัญญา ท่ามกลางอกุศลซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่ง ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นหัวข้อขออนุโมทนาครับ ที่ควรศึกษาอย่างละเอียด
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ