ถ้าผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธจะผิดหรือไม่ และถ้าผู้นั้นไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ จะมีรูปธรรมและนามธรรมเหมือนกับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธหรือเปล่า
ควรทราบความจริงโดยนัยปรมัตถธรรมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงธรรมะอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อจำแนกธรรมะเป็น ๒ ประเภทคือ นามธรรม ๑ รูปธรรม ๑ สิ่งที่มีจริงในโลกนี้และสากลจักรวาลทั้งหมด เมื่อว่าโดยรวมก็คือ นามและรูป นามและรูปไม่ได้แบ่งเป็นชาติหรือศาสนาใด ความดีความถูกต้องที่ตรงตามความจริงย่อมไม่แยกชาติหรือศาสนาเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้พระองค์มิได้เรียกร้องให้ใครมาเคารพนับถือ แต่พระองค์แสดงเหตุและผลตามความเป็นจริง คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ หนทางเพื่อการดับทุกข์ ผู้ที่ปฏิบัติตามหนทางเพื่อการดับทุกข์ ย่อมถึงความดับทุกข์
ขออนุโมทนาครับ
การอบรมเจริญปัญญาอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือสติปัฏฐาน ไม่มีในศาสนาอื่น (มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น) คนที่ไม่ได้นับถือพุทธไม่ผิดหรอก แต่เขาไม่ได้สะสมบุญมาแต่ปางก่อนและคนที่ไม่ได้นับถือพุทธ นามธรรม รูปธรรม มีอยู่แล้วแต่เขาไม่รู้ เพราะไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้ฟังธรรม
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
คำว่า นับถือ คืออะไร นับถือ ตามๆ กัน นับถือเพราะเขานับถือกัน หรือนับถือเพราะเป็นความเห็นถูกจึงนับถือ แม้เราชาวพุทธที่นับถือพุทธ นับถือเพราะอะไร ดังนั้นการนับถือที่ถูกต้อง คือเกิดจากความเห็นถูกที่ได้ฟังธรรม ดังนั้น จากกระทู้ข้างต้น ขณะที่ผิด ขณะนั้นเป็นอกุศล ขณะที่ถูกขณะนั้นเป็นกุศล ไม่ว่าใครก็ตาม ที่มีความเห็นผิดไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร จิตขณะใดที่มีความเห็นผิด เช่น บุญไม่มี บาปไม่มี ก็ผิดครับ แต่ขณะใดที่มีความเห็นถูก (ปัญญา) เช่น บุญมี บาปมี เป็นต้น ก็ชื่อว่าถูกไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดครับ แต่ต้องไม่ลืมว่า ปัญญาความเห็นถูกก็มีหลายระดับ ปัญญา ความเห็นถูกที่เชื่อกรรม ผลของกรรม แต่ก็ยังไม่รู้หนทางดับกิเลส และไม่รู้ความจริงที่แท้จริงๆ ว่าคืออะไรดังนั้น ผู้ที่จะพบหนทางนี้ ต้องเป็นบุคคลที่เคยสะสมความเห็นถูกมาและเคยทำบุญไว้กับสิ่งที่สอนในความเห็นถูกอย่างแท้จริง ส่วนในประเด็นเรื่อง ศาสนาอื่นจะมีรูปธรรมหรือนามธรรมไหม นามธรรมและรูปธรรม เป็นธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ถ้าไม่มีนามธรรม รูปธรรม ก็ไม่มีอะไรเลย แต่เพราะมีนามธรรม รูปธรรม จึงบัญญัติ เรียกขึ้นมาว่า เป็นคน เป็นสัตว์ นามธรรม ก็เช่น จิตเห็น เป็นต้น ไม่ว่าชนชาติใด ก็มีการเห็น การเห็นเป็นจิต เป็นนามธรรม ที่กายแต่ละชนชาติหรือบุคคลที่นับถือศาสนาใด ก็มีลักษณะ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะของรูปธรรม คือ ไม่รู้อะไรเย็น ร้อน ไม่รู้อะไร ใครจะไปว่า เย็น ร้อน ก็ไม่รู้อะไร เพราะเป็นรูปธรรม (ไม่รู้อะไร) ดังนั้น ไม่ว่าศาสนาใดหรือบุคคลใดก็มีนามธรรมและรูปธรรม แต่ต่างตรงที่ว่า มีนามธรรมและรูปธรรมแล้ว มีปัญญาที่จะรู้ว่าเป็นเพียงนามธรรมหรือรูปธรรมไหม หรือเป็นเพียงธรรม ซึ่งถ้าไม่ใช่พุทธ (ผู้รู้) แล้วก็ไม่มีใครทราบเลยเพราะยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นเรา เช่น เป็นเราที่เห็น ไม่รู้ว่าเป็น จิตที่เห็น เป็นต้นครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ศาสนาไม่ผิด บุคคลก็ไม่ผิด ศาสนาและบุคคลเป็นเพียงบัญญัติที่สมมติกันขึ้น จะหาความผิดในตัวศาสนา หรือ ตัวบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่ควรครับ เพราะไม่ใช่สิ่งที่มีจริงๆ คือ มีสภาพปรากฏ แต่สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ คือธรรมะ มีจริง เพราะมีสภาพที่ปรากฏ จะ ไม่ใช้ชื่อ หรือไม่เรียกว่า "ธรรมะ" ก็ได้ แต่สิ่งที่มีจริงนั้นก็ย่อมต้องมีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ดำรงสภาพนั้นและก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่การเกิดขึ้นลอยๆ หรือมีผู้สร้างขึ้นเองตามใจชอบ ถึงอย่างนั้น ความผิดที่มีอยู่ในบุคคล เกิดมาจากไหน ทำไมถึงยังทำอะไร พูดอะไร คิดอะไรไม่ดี ไม่สมควรเบียดเบียน นี้ก็เพราะมาจากการไม่เข้าใจหนทางที่ถูก โดยไม่รู้ว่ากิเลสมีที่เกิดมาจากนามธรรมชนิดหนึ่ง คือ ความเห็นผิด ความไม่รู้ ความยืดถือว่ามีตัวตน ความหลงความติดข้อง เป็นต้น (อกุศลเจตสิก) เกิดกับนามธรรมอีกชนิดหนึ่งที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ คือ จิต ด้วยเหตุที่จิตยังมีกิเลสขั้นลึกนอนเนื่องอยู่แม้ผู้ที่ชื่อว่า ชาวพุทธ ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลถึงขั้นพระอรหันต์ล้วนมีโอกาสเกิดสภาพนามธรรมที่เป็นอกุศลเหล่านี้ได้ในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ต่างกันตรงที่ชาวพุทธบางท่านมีโอกาส (บุญ) ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม แล้วเห็นประโยชน์เกิดศรัทธา ความเพียร ที่จะอบรมเจริญสติสมาธิ ปัญญาเพื่อละคลายความเห็นผิด ดำริความเห็นในทางที่ถูกจากพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
"ธรรม" คือ สภาพสิ่งทั้งหลายที่มีจริง "พระธรรม" คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแสดงเรื่องทุกข์ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมที่ดับทุกข์และหนทางปฏิบัติไปสู่ธรรมที่ดับทุกข์ พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงสัจจะ ๒ ระดับ คือ ความจริงระดับสมมติ ความจริงระดับปรมัตถ์ ขออนุโมทนาค่ะ
ผิด หรือถูก อยู่ที่คำสอน
ดิฉันมีเพื่อนเป็นสตรีชาวอเมริกัน ก่อนที่จะเข้ามาศึกษาธรรมะ ท่านเป็นชาวยิว ปัจจุบันท่านหันมาศึกษาธรรมะเต็มตัว ส่วนสามีดิฉันเป็นชาวต่างชาติ เติบโตมาในครอบครัวที่นับถือ คริสเตียน แต่มีปัญหา คือไม่ยอมเชื่อในคำสอนของศาสนาคริสต์ ก็เลยแสวงหาคำตอบในชีวิตที่มีหลักคำสอนคือความจริง ที่มีพร้อมทั้งเหตุและผล จนได้มาพบกับคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากท่านอาจารย์สุจินต์ ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ท่านเชื่อว่าไม่มีใครสามารถที่จะแสดงธรรมได้เหมือนท่านอาจารย์สุจินต์ เพราะท่านยอมจำนนต่อทั้งเหตุและผลที่พระพุทธองค์ทรงแสดงทั้งรูปธรรมและนามธรรมไม่เกี่ยวกับการนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเลย ‘ธรรม’ ไม่มีชาวยิว ไม่มีชาวพุทธ ไม่มีชาวมุสลิม ไม่มีอะไรเลย นอกจากสภาพธรรมที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะตัว เกิดขึ้นปรากฏ ไม่เป็นของใคร บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม สภาพธรรมนั้นก็เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับไปเรื่อยๆ
นานแสนนานกว่าที่เราจะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่หากเราไม่ย่อท้อ เดินทางตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง และไม่เพี้ยน ไม่ไปแสวงหาหนทางอื่นๆ เราก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากโลกที่ยุ่งเหยิงนี้ไปได้ในวันหนึ่งอย่างแน่นอน ว่าแต่ว่า เราสามารถที่จะปลีกตัวจากคุณโลภะ เพื่อนซี้ได้มากมายแค่ไหน? คุณเท่านั้นที่จะถามตัวเองได้!
ปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ใครจะเรียกสภาพธรรมนั้นด้วยคำใด ภาษาใด หรือไม่เรียกสภาพธรรมนั้นด้วยคำใดๆ เลยก็ตาม สภาพธรรมนั้นก็เป็นสภาพที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เลย
ขออนุโมทนา
ยินดีในกุศลจิตค่ะ