[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 393
สุตตนิบาต
มหาวรรคที่ ๓
ปธานสูตรที่ ๒
ว่าด้วยความเพียรใหญ่
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 393
ปธานสูตรที่ ๒
ว่าด้วยความเพียรใหญ่
[๓๕๕] มารได้เข้ามาหาเรา ผู้มีตนส่งไปแล้วเพื่อความเพียร บากบั่นอย่างยิ่งเพ่งอยู่ ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อบรรลุนิพพานอันเกษมจากโยคะ กล่าววาจาด้วยเอ็นดูว่า ท่านผู้ซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมอง ความตายของท่านอยู่ในที่ใกล้.
เหตุแห่งความตายของท่านมีตั้งพันส่วน ความเป็นอยู่ของท่านมีส่วนเดียว ชีวิตของท่านผู้ยังเป็นอยู่ประเสริฐกว่า เพราะว่าท่านเป็นอยู่ จักกระทำบุญได้.
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ และบูชาไฟอยู่ ย่อมสั่งสมบุญได้มาก ท่านจักทำประโยชน์อะไรด้วยความเพียร ทางเพื่อความเพียรพึงดำเนินไปได้ยาก กระทำได้ยาก ให้เกิดความยินดีได้ยาก มารได้ยืนกล่าวคาถาเหล่านี้ในสำนักของพระพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 394
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์นี้กะมารผู้กล่าวอย่างนั้นว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของคนประมาท ท่านมาในที่นี้ด้วยความต้องการอันใด ความต้องการอันนั้นด้วยบุญ แม้มีประมาณน้อย ก็ไม่มีแก่เรา ส่วนผู้ใด ยังมีความต้องการบุญ มารควรจะกล่าวกะผู้นั้น.
เรามีศรัทธา ตบะ วิริยะ และปัญญา ท่านถามเราแม้ผู้มีตนส่งไปแล้ว ผู้เป็นอยู่อย่างนี้เพราะเหตุไร ลมนี้พึงพัดกระแสแม่น้ำทั้งหลายให้เหือดแห้งไปได้ เลือดน้อยหนึ่งของเราผู้มีใจเด็ดเดี่ยวไม่พึงเหือดแห้ง.
เมื่อโลหิตเหือดแห้งไปอยู่ดีและเสลดย่อมเหือดแห้งไป เมื่อเนื้อสิ้นไปอยู่ จิตย่อมเลื่อมใสโดยยิ่ง.
สติ ปัญญา และสมาธิของเรา ย่อมตั้งมั่นโดยยิ่ง เรานั้นถึงจะได้รับเวทนาอันแรงกล้าอยู่อย่างนี้ จิตย่อมไม่เพ่งเล็งกามทั้งหลาย ท่านจงดูความที่สัตว์เป็นผู้บริสุทธิ์.
กามทั้งหลาย เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๑ ของท่าน ความไม่ยินดี เรากล่าวว่า เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 395
เสนาที่ ๒ ของท่าน ความหิวและความกระหาย เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๓ ของท่าน ตัณหา เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๔ ของท่าน ถีนมิทธะ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๕ ของท่าน ความขลาดกลัว เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๖ ของท่าน ความสงสัย เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๗ ของท่าน ความลบหลู่ ความหัวดื้อ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๘ ของท่าน ลาภ สรรเสริญ สักการะ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๙ ของท่าน และยศที่ได้มาผิดซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลยกตน และดูหมิ่นผู้อื่น เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๑๐ ของท่าน ดูก่อนมาร เสนาของท่านนี้มีปกติ กำจัดซึ่งคนผู้มีธรรมดำ คนผู้ไม่กล้าย่อมไม่ชนะซึ่งเสนาของท่านนั้น ส่วนคนผู้กล้าย่อมชนะได้ ครั้นชนะแล้วย่อมได้ความสุข.
ก็เพราะเหตุที่ได้ความสุขนั้น แม้เรานี้ก็พึงรักษาหญ้ามุงกระต่ายไว้ น่าติเตียน ชีวิตของเรา เราตายเสียในสงครามประเสริฐกว่า แพ้แล้วเป็นอยู่จะประเสริฐอะไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 396
สมณพราหมณ์บางพวกหยั่งลงแล้วในเสนาของท่านนี้ ย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้ที่มีวัตรงาม ย่อมไปโดยหนทางที่ชนทั้งหลาย ไม่รู้.
เราเห็นมารพร้อมด้วยพาหนะยกออกแล้วโดยรอบ จึงมุ่งหน้าไปเพื่อรบ มารอย่าได้ยังเราให้เคลื่อนจากที่.
โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมครอบงำเสนาของท่านไม่ได้ เราจะทำลายเสนาของท่านเสียด้วยปัญญา เหมือนบุคคลทำลายภาชนะดินทั้งดิบทั้งสุก ด้วยก้อนหิน ฉะนั้น.
เราจักกระทำสัมมาสังกัปปะให้ชำนาญและดำรงสติให้ตั้งมั่นเป็นอันดีแล้ว จักเที่ยวจากแคว้นนี้ไปยังแคว้นโน้น แนะนำสาวกเป็นอันมาก.
สาวกผู้ไม่ประมาทเหล่านั้นมีใจเด็ดเดี่ยว กระทำตามคำสั่งสอนของเรา จักถึงที่ซึ่งไม่มีความใคร่ ที่ชนทั้งหลายไปถึงแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก.
มารกล่าวคาถาว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 397
เราได้ติดตามรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าสิ้น ๗ ปี ไม่ได้ประสบช่องของพระสัมพุทธเจ้าผู้มีสิริ.
มารได้ไปตามลมรอบๆ ก้อนหินซึ่งมีสีคล้ายก้อนมันข้น ด้วยคิดว่า เราจะประสบความอ่อนแอในพระโคดมนี้บ้าง ความสำเร็จประโยชน์พึงมีบ้าง.
มารไม่ได้ความพอใจในพระสัมพุทธเจ้า ได้กลายเป็นลมหลีกไป ด้วยคิดว่า เราถึงพระโคดมแล้ว จะทำให้ทรงเบื่อพระทัยหลีกไป เหมือนกาถึงไสลบรรพตแล้วบินหลีกไป ฉะนั้น.
พิณของมารผู้ถูกความโศกครอบงำแล้ว ได้ตกจากรักแร้ ลำดับนั้น มารนั้นเสียใจ ได้หายไปในที่นั่นแล.
จบปธานสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 398
อรรถกถาปธานสูตรที่ ๒
ปธานสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ตํ มํ ปธานปหิตตฺตํ มารเข้ามาหาเรา ผู้มีตนส่งไปแล้วด้วยความเพียร ดังนี้.
ถามว่า เรื่องนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร?
ตอบว่า มีการเกิดขึ้นดังต่อไปนี้.
ท่านพระอานนท์ ยังบรรพชาสูตรให้จบลง ด้วยบทว่า ปธานาย คมิสฺสามิ เอตฺถ เม รญฺชติ มโน อาตมภาพจักไปเพื่อความเพียร ใจของอาตมภาพยินดีในความเพียรนี้ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ พระคันธกุฎี ทรงดำริว่า เราปรารถนาความเพียรตลอด ๖ ปี กระทำทุกรกิริยา วันนี้เราจักกล่าวถึงความเพียรนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ประทับนั่ง ณ พุทธาสนะทรงปรารภว่า ตํ มํ ปธานปหิตตฺตํ ดังนี้ แล้วตรัสพระสูตรนี้.
ในบทเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอ้างถึงพระองค์ ด้วยคำสองคำ ว่า ตํ มํ ดังนี้. บทว่า ปธานปหิตตฺตํ ได้แก่ มีจิตส่งไปแล้วหรือสละอัตภาพเพื่อประโยชน์แก่พระนิพพาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงลักษณะด้วยบทว่า นทึ เนรญฺชรํ ปติ ความว่า แสดงลักษณะ. เพราะ ลักษณะชื่อว่า แม่น้ำเนรัญชรา เพราะมีตนส่งไปแล้วเพื่อความเพียร. โดยเหตุที่ในบทว่า นทึ เนรญฺชรํ เป็นทุติยาวิภัตติ แต่มีความเป็น สัตตมีวิภัตติว่า นทิยา เนรญฺชราย อธิบายว่า ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา. บทว่า วิปรกฺกมฺม คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 399
บากบั่นอย่างยิ่ง. บทว่า ฌายนฺตํ คือ บำเพ็ญฌานโดยหายใจแต่น้อย. บทว่า โยคกฺเขมสฺส ปตฺติยา คือ เพื่อบรรลุนิพพานอันเกษมจากโยคะ ๔.
บทว่า นมุจิ ได้แก่มาร. เพราะมารนั้นไม่ยอมปล่อยเทวดาและมนุษย์ผู้ประสงค์จะออกจากวิสัยของตน จะทำอันตรายแก่พวกเขา ฉะนั้นท่านจึง เรียกว่า นมุจิ. บทว่า กรุณํ ได้แก่ ประกอบด้วยความเอ็นดู. บทว่า ภาสมาโน อุปาคมิ นี้ง่ายอยู่แล้ว. เพราะเหตุไรมารจึงเข้าไปใกล้. ได้ยินว่า วันหนึ่งพระมหาบุรุษดำริว่า ผู้แสวงหาอาหารทุกเมื่อ เป็นผู้หวังในความเป็นอยู่ อันผู้หวังในความเป็นอยู่ ไม่สามารถบรรลุอมตธรรมได้. แต่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปฏิบัติโดยตัดอาหาร ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงทรงซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมอง.
ครั้งนั้น มารไม่รู้ว่า นี้เป็นทางแห่งการตรัสรู้หรือมิใช่ กลัวไปว่าพระองค์บำเพ็ญความเพียรอันแรงกล้า บางครั้งจะพึงพ้นวิสัยของเรา จึงมาด้วยคิดว่า เราพึงกล่าวห้ามอย่างนี้ๆ ดังนี้. ด้วยเหตุนั้น มารจึงกล่าวว่า ท่านซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมอง ความตายของท่านอยู่ในที่ใกล้. ก็และครั้นมารกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงประกาศความที่พระองค์ใกล้ความตาย กล่าวว่า ส่วนแห่งความตายของท่านมีตั้งพันส่วน ความเป็นอยู่ของท่านมีเพียงส่วนเดียว. ใจความของบทนั้นมีว่า ชื่อว่า สหสฺสภาโค เพราะมีพันส่วน. ปาฐะที่เหลือว่า อะไรเป็นปัจจัยแห่งความตาย. ส่วนเดียวชื่อว่า เอกํโส. ท่านอธิบายไว้ว่า พันส่วนมีการเพ่งลมหายใจน้อยเป็นต้นนี้ เป็นปัจจัยแห่งความตายของท่าน ความเป็นอยู่ของท่านมีส่วนเดียวเท่านั้น จากที่ท่านทำความเพียร ความตาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 400
ของท่านอยู่ในที่ใกล้อย่างนี้ ดังนี้. ครั้นมารประกาศความที่พระองค์ใกล้ความตายอย่างนี้แล้ว เมื่อจะเร่งเร้าพระองค์ในความเป็นอยู่ จึงกล่าวว่า ชีวิตของท่านผู้เป็นอยู่ประเสริฐกว่า เมื่อเป็นอยู่ท่านจักทำบุญได้. ลำดับนั้น มารเมื่อจะแสดงบุญที่ตนเห็นด้วย จึงกล่าวว่า จรโต จ เต พฺรหฺมจริยํ ท่านประพฤติพรหมจรรย์ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺมจริยํ มารกล่าวหมายถึงการเว้นเมถุนเป็นครั้งคราว. บทว่า ชูหโต ได้แก่ บูชาไฟ. บทที่เหลือในที่นี้มีความปรากฏชัดแล้ว.
มารเมื่อจะให้พระองค์เลิกความเพียร จึงกล่าวกึ่งคาถานี้ว่า ทุคฺโค มคฺโค ทางเพื่อความเพียรดำเนินไปได้ยาก. ในบทนั้นพึงทราบความอย่างนี้ว่า ชื่อว่า ดำเนินไปได้ยาก เพราะนำไปสู่การเพ่งลมหายใจน้อยเป็นต้น ชื่อว่า ทำได้ยาก เพราะต้องทำด้วยกายและจิตที่เป็นทุกข์ ชื่อว่า ให้เกิดความยินดีได้ยาก เพราะไม่สามารถจะบรรลุเช่นนั้นได้ด้วยความตายใกล้เข้ามา. เบื้องหน้าแต่นี้ พระสังคีติกาจารย์กล่าวคาถากึ่งหนึ่งนี้ว่า อิมา คาถา ภณํ มาโร อฏฺา พุทฺธสฺส สนฺติเก มารได้ยืนกล่าวคาถานี้ ในสำนักของพระพุทธเจ้า. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า คาถาทั้งหมดบ้าง. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอ้างพระองค์ดุจคนอื่น ตรัสถึงความเกิดอย่างนี้ ทั้งหมดในบทนี้เพราะเหตุนั้น นี้คือความอดทนของเรา. ในบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺา แปลว่า ได้ยืนอยู่แล้ว. บทที่เหลือง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๖ ในบทว่า เยนตฺเถน นี้มีอธิบาย ดังนี้ ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านมาในที่นี้ด้วยประโยชน์ของตนอันจะทำอันตราย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 401
แก่ผู้อื่น. บทที่เหลือง่ายทั้งนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคัดค้านคำนี้ว่า เมื่อเป็นอยู่ท่านจักทำบุญได้ดังนี้ ตรัสคาถานี้ว่า อณุมตฺโตปิ แม้มีประมาณน้อย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุญฺเน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึง บุญอันไปสู่วัฏฏะซึ่งมารกล่าว. บทที่เหลือง่ายทั้งนั้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าคุกคามมารปรารภคำนี้ว่า ความเป็นอยู่ของท่านมีส่วนเดียว ตรัสคาถานี้ว่า อตฺถิ สทฺธา ศรัทธามีอยู่ดังนี้. ในคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคุกคามมารอย่างนี้ว่า ดูก่อนมารใจร้าย ท่านไม่เชื่อในสันติวรบท (ทางแห่งความสงบอันประเสริฐ) อันยอดเยี่ยม หรือแม้มีศรัทธาก็เกียจคร้าน หรือมีศรัทธา แม้ปรารภความเพียร ก็มีปัญญาทราม ตามถามความเป็นอยู่ แต่เรามีศรัทธาหยั่งลงในสันติวรบทอันยอดเยี่ยม เรามีความเพียรกล่าวคือ ความพยายามไม่ย่อหย่อนทางกายและทางจิต และเรามีปัญญาเปรียบดังวชิระ ท่านถามเราผู้มีตนส่งไปแล้ว คือมีอัธยาศัยเลิศ มีความเป็นอยู่อย่างนี้ เพราะเหตุไรท่านจึงถาม. ควรประกอบสติและสมาธิด้วย จ ศัพท์ในบทนี้ว่า ปญฺา จ มม ดังนี้. ผู้ประกอบด้วยอินทรีย์ ๕ เหล่าใดย่อมถึงนิพพาน ในอินทรีย์ ๕ เหล่านั้นแม้อย่างเดียวก็เว้นไม่ได้ ท่านถามเราผู้มีตนส่งไปแล้ว มีความเป็นอยู่อย่างไรมิใช่หรือ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงข่มมารอย่างนี้ว่า
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วิริยมารภโต ทฬฺหํ ปญฺวนฺตสฺส ฌายิโน ปสฺสโต อุทยพฺพยํ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 402
เป็นอยู่วันเดียวของผู้ปรารภความเพียรมั่น มีปัญญา มีความเพ่ง เห็นความเกิดและความเสื่อมประเสริฐ ดังนี้.
เมื่อจะทรงแสดงความเป็นไปของร่างกายและจิตของพระองค์ จึงตรัสสองคาถาว่า นทีนมฺปิ ดังนี้เป็นต้น. สองคาถานั้นโดยความปรากฏชัดดีแล้ว แต่อรรถกถาอธิบายไว้ว่า ลมใดที่ตั้งขึ้นจากความเพียรในการเพ่งลมหายใจแต่น้อย ปั่นป่วนในสรีระของเรา ลมนี้พึงพัดกระแสแม่น้ำคงคาและยมุนาเป็นต้น ให้เหือดแห้งไปได้ เลือดประมาณ ๔ ทะนานของเราผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่พึงเหือด แห้ง มิใช่เพียงโลหิตของเราเท่านั้นเหือดแห้งไป ก็เมื่อโลหิตเหือดแห้งไป ดีที่อยู่ในร่างกายทั้งประเภทที่เกี่ยวพันและไม่เกี่ยวพัน ย่อมเหือดแห้งไป เสมหะประมาน ๔ ทะนาน ปกปิดการกินการดื่มเป็นต้น ทั้งอะไรอื่นอีก ย่อมเหือดแห้งไป เพราะฉะนั้น น้ำมูตรและอาหารมีรสย่อมเหือดแห้งไป ก็เมื่อน้ำมูตรและอาหาร มีรสเหือดแห้งไป แม้เนื้อก็สิ้นไป เมื่อเนื้อของเราสิ้นไปโดยลำดับอย่างนี้ จิตย่อมเลื่อมใสโดยยิ่ง จิตมิได้จมลงเพราะสิ่งนั้นเป็นปัจจัย ท่านนั้นไม่รู้จิตเช่นนี้ เห็นเพียงสรีระเท่านั้นก็พูดว่า ท่านซูบผอมมีผิวพรรณเศร้าหมอง ความตายของท่านอยู่ในที่ใกล้ ดังนี้ เพราะเหตุนั้นมิใช่จิตของเราอย่างเดียวเท่านั้น เลื่อมใส แม้สติ ปัญญาและสมาธิของเราย่อมตั้งมั่นโดยยิ่ง ความประมาทก็ดี ความลุ่มหลงก็ดี ความฟุ้งซ่านของจิตก็ดี แม้เพียงน้อยหนึ่งก็มิได้มี เมื่อเราอยู่อย่างนี้ สมณะและพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ย่อมเสวยเวทนาอันเจ็บปวดตลอดกาล ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน จิตของผู้ได้รับเวทนาอัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 403
แรงกล้า อันเป็นตัวอย่างของเวทนาเหล่านั้น ย่อมเพ่งเล็งถึงความสุขของผู้อื่น ผู้อันทุกข์ถูกต้องแล้ว เพ่งเล็งถึงความร้อน เมื่อได้รับความหนาว เพ่งเล็งถึงความหนาว เมื่อได้รับความร้อน เพ่งเล็งถึงโภชนะ เมื่อได้รับความหิว เพ่งเล็งถึงน้ำ เมื่อได้รับความกระหาย ฉันใด จิตย่อมไม่เพ่งเล็งในกามคุณ ๕ แม้กามอย่างหนึ่งฉันนั้น จิตองเราไม่เกิดด้วยอาการเช่นนี้ว่าไฉนหนอ เราพึงบริโภคอาหารดี ที่นอนสบาย ที่นั่งสบาย ดูก่อนมาร ท่านจงดูความที่สัตว์เป็นผู้บริสุทธิ์.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ เพื่อหักร้างความปรารถนาของมารผู้มาแล้ว ด้วยหวังว่า จักห้ามพระองค์ เมื่อจะทรงประกาศกะมารและเสนามาร แล้วทรงแสดงความที่พระองค์เป็นผู้อันมาร และเสนามารให้แพ้ไม่ได้ด้วยอาการอย่างนี้ จึงกล่าวคาถา ๖ คาถามีอาทิว่า กามา เต ปมา เสนา กามทั้งหลายเป็นเสนาที่หนึ่งของท่าน.
เพราะกิเลสกามทั้งหลาย ย่อมยังสัตว์ผู้รองเรือนให้ลุ่มหลงในวัตถุกามทั้งหลายแต่ต้นทีเดียว เมื่อสัตว์ทั้งหลายถูกกิเลสกามครอบงำเข้าไปบวชแล้ว ก็จะเกิดความไม่ยินดีในเสนาสนะอันสงัด หรือในธรรมอันเป็นอธิกุสลอย่างใดอย่างหนึ่ง. สมดังที่ท่านกล่าวว่า ปพฺพชิเตน โข อาวุโส อภิรติ ทุกฺกรา ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ความยินดียิ่งอันบรรพชิตทำได้ยากดังนี้. แต่นั้นความหิวกระหายย่อมเบียดเบียน เพราะมีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น เพราะถูกความหิวกระหายเบียดเบียน ความอยากในการแสวงหา ย่อมทำให้จิตเหนื่อยหน่าย เมื่อเป็นเช่นนั้น ถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอน) ย่อมครอบงำผู้มีจิต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 404
เหนื่อยหน่ายเหล่านั้น. แต่นั้นเมื่อบรรลุคุณวิเศษ อยู่ในเสนาสนะอันสงัดในราวป่า อันยินดีได้ยาก เกิดความกลัวรู้สึกหวาดสะดุ้ง เมื่อชนเหล่านั้นเกิดความกลัวความระแวง ไม่พอใจในรสของวิเวกอยู่ตลอดกาลนาน เกิดความสงสัยในการปฏิบัติว่า นี้คงไม่ใช่ทางแน่ เมื่อบรรเทาความสงสัยนั้นอยู่ เกิดมานะ (ถือตัว) มักขะ (ลบหลู่) ถัมภะ (หัวดื้อ) เพราะบรรลุคุณวิเศษเพียงเล็กน้อย เมื่อบรรเทามานะ มักขะ ถัมภะอยู่ ย่อมเกิด ลาภ สักการะ และความสรรเสริญ เพราะอาศัยการบรรลุคุณวิเศษยิ่งไปกว่านั้น. ผู้หมกมุ่นอยู่ในลาภ ประกาศธรรมปฏิรูป (ธรรมเทียม) บรรลุทางผิด ตั้งอยู่ในทางผิดนั้น ย่อมยกตนข่มผู้อื่นด้วยชาติเป็นต้น ฉะนั้นพึงทราบความที่กามเป็นต้น เป็นเสนาที่ ๑.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงเสนา ๑๐ อย่างอย่างนี้แล้ว เพราะเสนานั้นย่อมเป็นไปเพื่อความอุปการะมารผู้ใจดำ เพราะประกอบด้วยธรรมดำ ฉะนั้น เมื่อจะทรงอ้างกะมารนั้นว่า ตว เสนา เสนาของท่าน จึงตรัสว่า เอสา นมุจิ เต เสนา กณฺหสฺสาภิปฺปหารินี ดูก่อนมาร เสนาของท่านนี้มีปรกติกำจัดคนผู้มีธรรมคำ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิปฺปหารินี ได้แก่ กำจัด ทำร้าย ทำอันตรายแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย. บทว่า น นํ อสูโร ชินาติ เชตฺวา จ ลภเต สุขํ คนผู้ไม่กล้าย่อมไม่ชนะเสนาของท่านนั้น ครั้นชนะแล้วย่อมได้ความสุข ดังนี้ ความว่า คนผู้ไม่กล้าคือคนที่ไม่มีความเพ่งเล็งในกายและในชีวิต ย่อมไม่ชนะเสนาของท่าน แต่คนกล้าย่อมชนะได้ ครั้นชนะแล้วย่อม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 405
บรรลุมรรคสุข และผลสุข. ก็เพราะได้ความสุข ฉะนั้นแม้เราปรารถนาความสุข นั้นก็พึงรักษาหญ้ามุงกระต่ายไว้ บุรุษผู้เข้าสงครามไม่ยอมถอย เพื่อจะให้รู้ว่าตนไม่ถอย จึงผูกหญ้ามุงกระต่ายไว้บนศีรษะที่ธงหรือที่อาวุธ ท่านจงจำเราว่ามารนี้ยังนำไปอยู่ น่าติเตียน ชีวิตของเราผู้แพ้ เสนาของท่าน เพราะฉะนั้น ท่านจงจำไว้อย่างนี้ว่า สงฺคาเม เม มตํ เสยฺโย ยญฺเจ ชีเว ปราชิโต เราตายเสียในสงความยังดีกว่า แพ้แล้วเป็นอยู่จะดีได้อย่างไร อธิบายว่า เราตายเสียในสงครามกับท่านผู้ทำอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติชอบ ดีกว่าแพ้แล้วมีชีวิตอยู่.
หากมีคำถามว่า เพราะเหตุไร จึงว่าตายดีกว่า. ตอบว่า เพราะสมณพราหมณ์บางพวกหยั่งลงไปแล้วในเสนาของท่านย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้มีวัตรงามย่อมไปโดยหนทางที่ชนทั้งหลายไม่รู้. อธิบายว่า สมณพราหมณ์บางพวกหยั่งลงไปแล้ว คือ จมลงไปแล้ว เข้าไปแล้วในเสนาของท่านอันมีวัตถุกามเป็นเบื้องต้น มีการยกตนข่มผู้อื่นเป็นที่สุดย่อมไม่ปรากฏ คือย่อมไม่ประกาศด้วยคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ดุจเข้าไปสู่ที่มืด สมณพราหมณ์เหล่านี้ หยั่งลงไปแล้วอย่างนี้ บางครั้งก็โผล่ขึ้นโดยนัยมีอาทิว่า สาหุ สทฺธา ดุจบุรุษโผล่ขึ้นในบางครั้งแล้วจมลงฉะนั้น. อนึ่ง ผู้มีวัตรงามมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้นแม้ทั้งปวง ย่อมไปโดยหนทางที่ชนทั้งหลายไม่รู้ เพราะถูกเสนานั้นครอบงำไว้ อันได้แก่ไปสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษม.
ฝ่ายมารฟังคาถานี้แล้ว ไม่พูดอะไรๆ แล้วก็หลีกไป. ก็เมื่อมารนั้นหลีกไปแล้ว พระมหาสัตว์ยังไม่บรรลุธรรมวิเศษอย่างใด เพราะบำเพ็ญทุกรกิริยานั้น ทรงดำริต่อไปว่า จะพึงมีทางอื่นเพื่อการตรัสรู้หรือหนอ ทรงให้นำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 406
อาหารหยาบมาเพิ่มกำลัง ในวันเพ็ญเดือน ๖ เสวยข้าวปุายาสของนางสุชาดาเป็นครั้งแรก ประทับนั่งพักกลางวัน ณ ไพรสณฑ์อันเจริญ ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิด ณ ที่นั้น กลางวันผ่าน ไป ในตอนเย็นเสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังควงมหาโพธิ ทรงเกลี่ยกำหญ้า ๘ กำที่โสตถิยพราหมณ์ถวาย ณ โคนโพธิ เป็นผู้ที่เทวดาในหมื่นโลกธาตุกระทำการบูชาสักการะมาก ทรงอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ว่า แม้เลือดเนื้อในร่างกายของเราจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนังเอ็นกระดูกก็ตาม แล้วทรงทำปฏิญญาว่า บัดนี้เรายังไม่บรรลุความเป็นพุทธะแล้ว จักไม่ทำลายบัลลังก์ ดังนี้. เสด็จประทับนั่ง ณ อปราชิตบัลลังก์ (บัลลังก์ที่ไม่มีผู้ทำให้แพ้ได้).
มารผู้ใจบาปรู้ดังนั้นแล้ว จึงคิดว่า วันนี้สิทธัตถะนั่งทำปฏิญญา วันนี้ เดี๋ยวนี้ เราจะต้องห้ามปฎิญญาของสิทธัตถะนั้น จึงประชุมมารเสนาตั้งแต่โพธิมณฑลถึงสุดจักรวาล กว้างยาว ๑๒ โยชน์ เบื้องบน ๙ โยชน์ ขี่พญาช้างศิริเมขล์ประมาณ ๑๕๐ โยชน์ เนรมิตแขนพันหนึ่ง ถืออาวุธนานาชนิด ประกาศว่า จงจับ จงฆ่า จงประหาร บันดาลฝนดังที่กล่าวแล้วในอาฬวกสูตรให้ตกลง ฝนตกถึงพระมหาบุรุษมีประการดังได้กล่าวแล้วในอาฬวกสูตรนั้น. แต่นั้นมารเอาขอวชิระสับที่กระพองช้าง ไสเข้าไปใกล้พระมหาบุรุษแล้วกล่าวว่า ดูก่อนสิทธัตถะผู้เจริญ จงลุกขึ้นจากบัลลังก์. พระมหาบุรุษตรัสว่า ดูก่อนมาร เราไม่ลุก ทรงตรวจดูเสนานั้นโดยรอบ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า สมนฺตา ธชินึ เสนาโดยรอบ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ธชินึ คือเสนา. บทว่า ยุตฺตํ ได้แก่ ขวนขวายแล้ว. บทว่า สวาหนํ คือ ร่วมกับพญาช้างคิรีเมขล์. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 407
ปจฺจุคจฺฉามิ คือ มุ่งหน้าไปเบื้องบน. มารนั้นไปด้วยเดชไม่ใช่ด้วยกาย เพราะเหตุไร เพราะมารไม่ทำให้เราเคลื่อนจากที่ได้. ท่านอธิบายว่า มารอย่าทําให้เราเคลื่อนจากที่อปราชิตบัลลังก์นั้น. บทว่า นปฺปสหติ คือไม่สามารถอดกลั้นหรือครอบงำได้. บทว่า อามปกฺกํ ได้แก่ ภาชนะดินทั้งดิบทั้งสุก. บทว่า อมฺหนา ได้แก่ ด้วยหิน. บทที่เหลือในสูตรนี้ปรากฏชัดแล้ว.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงว่า ดูก่อนมาร เราจักทำลายเสนาของท่านนั้น ต่อจากนั้นเราเป็นผู้ชนะสงความแล้ว บรรลุธรรมราชาภิเษก จักกระทำสัมมาสังกัปปะนี้ ดังนี้ จึงตรัสว่า วสึ กริตฺวา ทำสัมมาสังกัปปะให้ชำนาญดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วสึ กริตฺวา สงฺกปฺปํ ความว่า ละมิจฉาสังกัปปะทั้งหมดด้วยมรรคภาวนา แล้วทำสังกัปปะให้ชํานาญโดยให้สัมมาสังกัปปะเท่านั้นเป็นไป. บทว่า สติญฺจ สุปติฏิตํ ดำรงสติให้ตั้งมั่นเป็นอันดี ความว่า เราจักทำสติของตนในฐานะ ๔ มีกายเป็นต้นให้ตั้งมั่นด้วยดี ทำสังกัปปะให้ชำนาญอย่างนี้แล้ว มีสติตั้งมั่นด้วยดีจักเที่ยวไปจากแคว้นนี้ไปยังแคว้นโน้น แนะนำสาวกเป็นอันมากทั้งที่เป็นเทวดาและมนุษย์ เมื่อเป็นเช่นนั้น สาวกผู้ไม่ประมาทเหล่านั้นอันเราแนะนำแล้ว มีใจเด็ดเดี่ยวกระทำตามคำสั่งสอนของเรา จักถึงที่ซึ่งไม่มีความใคร่ ที่ชนทั้งหลายไปถึงแล้วย่อมไม่เศร้าโศก อธิบายว่า ที่นั้นได้แก่อมตมหานิพพานนั้นเอง.
ลำดับนั้น มารกล่าวว่า ดูก่อนภิกษุ ท่านเห็นเราเป็นยักษ์ฉะนี้แล้ว ไม่กลัวดอกหรือ. พระผู้มืพระภาคเจ้าตรัสว่า เออ มารเราไม่กลัวดอก. มารทูล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 408
ถามว่า ทำไมไม่กลัว. ทรงตอบว่า เพราะเราได้ทำบุญบารมีมีทานบารมีเป็นต้น. มารทูลถามว่า ใครรู้ว่าท่านได้ทำบารมีมีทานบารมีเป็นต้น. ตรัสว่า ดูก่อนมารผู้ ใจบาป ประโยชน์อะไรด้วยหาพยานในภพนี้ ก็เมื่อเราเป็นเวสสันดรในภพหนึ่ง ได้ทำทานอันใดไว้ ด้วยอานุภาพของทานนั้น มหาปฐพีนี้แหละเป็นพยาน ได้เกิดไหวโดยประการ ๖ อย่างถึง ๗ ครั้ง. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว มหาปฐพีได้ไหวลงไปถึงที่สุดน้ำคำรามเสียงน่ากลัว มารได้ยินดุจสายฟ้า ตกใจกลัว ขับไล่เสนาหนีไปพร้อมด้วยบริษัท.
ลำดับนั้น พระมหาบุรุษทรงตรัสรู้วิชา ๓ โดย ๓ ยาม พออรุณขึ้น ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า อเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ความว่า เราแสวงหานายช่างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่พบได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารนับชาติไม่น้อย ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนช่างทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านทำเรือนอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ซี่โครงของท่านเราหักเสียแล้ว เรือนยอดเรารื้อออกแล้ว จิตของเราถึงวิสังขาร เพราะถึงความสิ้นตัณหาแล้ว ดังนี้.
มารกลับมาด้วยได้ยินเสียงอุทานว่า สิทธัตถะนี้ปฏิญาณณว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงคิดว่า เอาเถิด เราจะติดตามเพื่อดูความประพฤติ หากพระพุทธเจ้าผู้นี้จักมีความผิดพลาดทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี เราจักทำลายเสีย จึงติดตามไปตลอด ๖ ปี ณ ที่ประทับของพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน แล้วติดตามพระองค์ผู้ถึงความเป็นพุทธะแล้วอีก ๑ ปี. ถึงกระนั้นมารก็ไม่เห็นความผิดพลาดไรๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคาถาด้วยความท้อใจว่า สตฺต วสฺสานิ ตลอด ๗ ปี ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โอตารํ ได้ช่อง. บทว่า นาธิคจฺฉิสฺสํ คือเราไม่ประสบ. บทว่า เมทวณฺณํ ได้แก่ คล้ายก้อนมันข้น. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 409
อนุปริยคา คือได้ไปรอบๆ. บทว่า มุทุ คือความอ่อนโยน. บทว่า วินฺเทม ได้แก่ เราจะประสบ. บทว่า อสฺสาทนํ ได้แก่ ความดี. บทว่า วายเสตฺโต ตัดบทเป็น วายโส เอตฺโต ได้แก่ กาหลีกไปข้างโน้น. บทที่เหลือในสูตรนี้ปรากฏชัดดีแล้ว. แต่โยชนาแก้ว่า มารคิดว่าเรามองหาช่องติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๗ ปี ไม่ละทางและมิใช่ทางในที่ไหนๆ แม้ติดตามอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ประสบช่องเหมือนกาสำคัญว่าหินมีสีคล้ายมันข้น ว่าเป็นมันข้น เอาจะงอยปากจิกที่ข้างหนึ่ง ไม่ประสบความพอใจจึงจิกไปรอบๆ ด้วยหวังว่า ถ้ากระไรเราจะประสบความอ่อนที่ตรงนี้ ความพอใจจะพึงมีข้างนี้บ้าง ดังนี้ จึงจิกไปรอบๆ ก็ไม่ได้ความพอใจตรงไหน เลยท้อแท้ว่า นี้ต้องเป็นหินแน่ๆ แล้วหลีกไป ฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะค่าที่ตนมีปัญญาเล็กน้อยเอาจะงอยปากทิ่มแทงพระผู้มีพระภาคเจ้า ในกายกรรมเป็นต้นติดตามไปโดยรอบคิดว่า ไฉนหนอเราจะประสบความอ่อนมีกายสมาจาร อันไม่บริสุทธิ์เป็นต้นในที่ไหนๆ บ้าง ความพอใจจะพึงมีจากที่นั้นบ้าง บัดนี้ เราไม่ได้ความพอใจ เหมือนกามาถึงไศลบรรพตแล้วท้อแท้ คือเรามาถึงพระโคดมแล้วหลีกไป.
นัยว่า เมื่อมารกล่าวอย่างนี้เกิดความเศร้าโศกอย่างแรงกล้าอาศัยความดิ้นรนอันไร้ผลมาตลอด ๗ ปี ด้วยเหตุนั้นพิณน้ำเต้าของมารผู้มีอังคาพยพน้อยใหญ่ทรุดลงได้ตกจากรักแร้. ด้วยว่าพิณนั้นอันผู้ฉลาดดีดครั้งเดียวเปล่งเสียงไพเราะไปถึง ๔ เดือน ท้าวสักกะรับพิณนั้นมอบให้ปัญจสิขเทพบุตร. มารนั้น แม้พิณตกก็ไม่รู้สึก. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 410
ตสฺส โสกปเรตสฺส วีณา กจฺฉา อภสฺสถ ตโต โส ทุมฺมโน ยกฺโข ตตฺเถว อนฺตรธายถ.
พิณของมารผู้ถูกความโศกครอบงำแล้ว ได้ตกลงจากรักแร้ ลำดับนั้นมารนั้นเสียใจ ได้หายไปในที่นั้นนั่นแล ดังนี้.
อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า พระสังคีติกาจารย์กล่าว. แต่คำนั้นไม่ถูกใจพวกเรา.
จบการพรรณนาปธานสูตรที่ ๒ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา