ขอคำชี้แนะด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การพิจารณากาย แยกธาตุขันธ์ เป็นเรื่องของสติและปัญญาที่จะทำหน้าที่รู้ความจริงของกาย ของขันธ์และธาตุ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
ดังนั้น หากยังไม่มีปัญญาเพียงพอแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ และ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางกาย คือ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ที่เป็นลักษณะเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวที่ปรากฏทางกายได้เลย ครับ
แต่หนทางการจะรู้ ว่าเป็นแต่เพียงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่สัตว์ บุคคลมี คือ ด้วยการเริ่มต้นจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง โดยเริ่มจากปัญญา ความเข้าใจขั้นการฟังเป็นสำคัญ ว่า ธรรมคืออะไร เมื่อมีความเข้าใจขั้นการฟังแล้ว ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ย่อมจะเป็นปัจจัยให้ สติและปัญญาเกิดรู้ความจริงในขณะนี้ ที่เป็นแต่เพียงธาตุ ขันธ์
ดังนั้น คำว่าพิจารณา ธาตุ ขันธ์ จึงไม่ใช่ตัวเราที่พิจารณา แต่เป็นปัญญาที่เกิดพิจารณาสภาพธรรมที่เป็น ขันธ์ ธาตุ ซึ่ง สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ ธาตุ ก็คือ สิ่งที่มีที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน ในขณะนี้นั่นเองครับ ไม่ว่าจะเป็น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น โลภ โกรธ ล้วนแล้วแต่ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ แต่ เพราะไม่มีปัญญา จึงยึดถือว่าป็นเราที่เห็น เป็นเราที่โกรธ แต่เมื่อปัญญาเกิดรู้ความจริง ย่อมรู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ เท่านั้น ครับ
หนทาง คือ เริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ แม้แต่คำว่า ธรรม ย่อมถึง ปัญญาที่รู้ความจริงของขันธ์ และ ธาตุได้ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธาตุ ก็ดี ขันธ์ ก็ดี ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ กล่าวได้ว่า ทุกขณะของชีวิต เป็นธาตุ เป็นขันธ์ เพราะไม่เคยปราศจากธรรมที่มีจริงเลย
เห็นก็เป็นธาตุ เป็นขันธ์ ได้ยิน ก็เป็นธาตุ เป็นขันธ์ เป็นต้น เมื่อเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ เป็นขันธ์แต่ละขันธ์ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ที่สำคัญ คือ ไม่มีตัวตนที่ไปแยกความเป็นธาตุ ความเป็นขันธ์ แต่เป็นปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่ค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณมากครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ