ขอเรียนถามความหมายของคำว่า (เป็นผู้มี) ปกติ ในทางธรรม ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปกติ คือ เกิดแล้ว อะไรเกิด สภาพธรรมเกิดขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกุศล อกุศล เมื่อเกิดแล้ว ชื่อว่าเป็นปกติ ส่วนคำว่า เป็นผู้มีปกติ ก็มาจากคำเต็มๆ ว่า เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ความละเอียดมีดังนี้
เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน คำว่าปกติ และ ผิดปกติในที่นี้ มุ่งหมายถึง ข้อปฏิบัติที่เป็นการเจริญสติปัฏฐานสำหรับคฤหัสถ์ ก็มีชีวิตปกติในชีวิตประจำวันที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพศพระภิกษุ ไม่ได้หลีกเร้น หรือ กระทำตัวให้เหมือนเพศบรรพชิตที่ออกจากเรือน สละทุกอย่างแล้ว ดังนั้น คำว่า เป็นผู้ปกติเจริญสติปัฏฐาน ก็คือ สติและปัญญาสามารถเกิดได้แม้ขณะที่ดำเนินชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์ในชีวิตประจำวัน จึงเป็นผู้มีปกติ เจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันคือ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งก็มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การปฏิบัติธรรม หรือ การเจริญสติปัฏฐานที่เป็นปกติ ก็คือระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปกติในขณะนี้ที่มีธรรมเป็นปกติ แต่การปฏิบัติธรรม มิใช่ว่าจะต้องทำอะไรให้ผิดไปจากปกติ คือ ไปพยายามปฏิบัติให้รู้ธรรม ที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน คือ ทำผิดปกติ คือ ไปเข้าห้องกรรมฐาน ไปพยายามเดินจงกรม นั่งสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติของคฤหัสถ์ที่กระทำในชีวิตประจำวันเพราะว่าธรรมไม่ได้รู้และมีที่ห้องกรรมฐาน หรือจะรู้ธรรมด้วยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม แต่ ความเป็นผู้มีปกติคือ รู้ธรรมที่มีปกติด้วยการศึกษาฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธรรม เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม สติปัฏฐานก็เกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังมีปกติ และก็เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานแล้วในขณะนั้นโดยไม่ต้องไปทำอะไรผิดปกติ คือ ไปปฏิบัติที่ไม่ใช่หนทางรู้ธรรมที่มีในขณะนี้ นั่นชื่อว่าผิดปกติในขณะนั้นครับ เพราะผิดปกติด้วยความเห็นผิด และด้วยข้อปฏิบัติที่ผิดครับแต่ถ้ามีปัญญา ย่อมเป็นปกติ เพราะเข้าใจว่าธรรมมีปกติในชีวิตประจำวัน และสติ ปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานก็สามารถเกิดเป็นปกติได้ในชีวิตประจำวันนั่นเองครับ ขออนุโมทนา
เป็นผู้ที่มีปกติในชีวิตประจำวัน และขาดการฟังพระธรรมไม่ได้ ยกตัวอย่างปกติเป็นผู้มีจิตแส่วุ่นวายกับสิ่งที่เพียงแต่เกิด กระทบ แล้วดับไป แต่ผู้ที่ขาดการฟังพระธรรม ก็ยึดติดมั่นว่าเราเป็นผู้ถูกกระทบ หวั่นไหวไปต่างๆ นานา แต่ถ้ามีการฟังหรืออบรม สติค่อยๆ เกิด แล้วระลึกบ้างเป็นเพียงแต่สภาพธรรมะที่เกิด ตั้งอยู่ แล้วดับไม่กลับมาอีก จะค่อยๆ คลายความเป็นตัวตน เป็นแค่ธรรมะเท่านั้นจริงๆ นี่ขั้นการฟังนะ ระลึกทันทีบ่อยๆ ที่มีให้ระลึก จับด้ามมีดไปอีกนาน มีทางเดียวจริงๆ ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเป็นธรรมดา ตามความเป็นไปของสภาพธรรมนั้นๆ นี้คือ ความเป็นปกติของสภาพธรรม เห็น เป็นปกติ ได้ยินเป็นปกติ ติดข้องเป็นปกติ เป็นต้น ปัญญาสามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ปกติ คือ เดี๋ยวนี้ขณะนี้จะหาปกติในกาลที่ล่วงแล้วไม่มี จะหาปกติในกาลที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่มี เกิดขึ้น ดับไป ตามที่เป็นไปเป็นปกติ ได้ลาภเป็นปกติ เสื่อมลาภเป็นปกติ ได้สรรเสริญตามปกติ ถูกนินทาเป็นปกติ คือเป็นไปและตามที่เป็นไปตามธรรมะที่ต้องเป็นไม่ไช่ใครไม่ไช่ของใคร แม้สุข ทุกข์ มากหรือน้อยก็ตามแต่เหตุและคุณธรรมของบุคคลนั้นเป็นปกติ เป็นธรรมดา (การเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมะ) แม้ต้องประสบเหตุเภทภัยก็เป็นไปโดยปกติ ปกติในธรรมก็คือเดี๋ยวนี้ที่เป็นไปนั่นเอง
ขออนุโมทนาท่านผู้ตั้งกระทู้ครับ
ธรรมมีจริงเป็นปกติ ไม่ต้องไปทำอะไรผิดปกติ เช่น เห็นมีจริงเป็นธรรม ได้ยินมีจริง เป็นธรรม ฯลฯ ไม่ต้องไปจดจ้องเห็นหนอ ได้ยินหนอ แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างแต่ละหนึ่ง เห็นไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ตัวตนรู้ค่ะ
ปัจจุบันการศึกษาของไทย ปฏิบัติตรงกันข้าม คือ ให้มีการเข้าค่ายธรรมะ (นั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม) สอบนักธรรมให้ได้ทุกคน ถือเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดก็เพียงพอแล้ว แต่ขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ โดยเฉพาะครูและบุคลากรทางการศึกษาก็ขาดความรู้ทางด้านศาสนาพุทธอย่างแท้จริง ไม่สามารถให้ความรู้แก่นักเรียนได้
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
กว่าจะเข้าใจคำว่า “ปกติ“ ทั้งๆ ที่ชื่อปกติ ก็ทำอะไรหลายอย่างที่ผ่านมา อย่างผิดปกติ ขออนุโมทนา สาธุครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ