ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในสากลจักรวาลความหมายของ "ตรัสรู้" ยิ่งใหญ่ระดับไหน ไม่ใช่เพียงฟัง คิด ไตร่ตรอง เข้าใจ แต่สามารถจะรู้ว่าทุกคำที่พระองค์ตรัสเป็นความจริงเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ เข้าใจว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏต่อเมื่อเกิดแล้ว และใครรู้ว่านี่เกิดตลอดเวลา ... ไม่มีใครรู้เลย
เพราะฉะนั้น ประมาทคุณที่หาประมาณไม่ได้เลยในสังสารวัฏ เพราะถ้าไม่เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ... ไม่มีทางที่จะเข้าใจความหมายของ "ตรัสรู้"
ห่างไกลเหลือเกินกับความเป็นจริงแต่เราจะไม่รู้สึกว่าห่างไกล ถ้าเราไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แต่ถ้าเข้าใจทีละคำ ก็รู้ว่าห่างไกลอีกมาก เพราะฉะนั้นชาตินี้ไม่มีใครหวังจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมโดยไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
ถ้าไม่เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจะไม่สามารถรู้ความจริง เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น อีกไกลกว่าจะหมดความเป็นเรา เพราะสามารถประจักษ์ลักษณะที่แท้จริงที่กำลังเป็นจริงขณะนี้ทีละหนึ่งไม่ปะปนกัน
แต่ขณะนี้ไม่ทราบว่ากี่ขณะมีสิ่งที่ปรากฏเป็นต้นไม้ เป็นทุกอย่าง เพราะฉะนั้น กว่าจะปรากฏเพียงหนึ่งเพราะความจริงต้องรู้ทีละหนึ่ง ... เริ่มเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเป็นสัจจบารมี
พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้อะไรนอกจากสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ เพราะถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ... แล้วจะรู้อะไร?! เพราะฉะนั้น ลองหาดูเพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพในแต่ละคำ แม้แต่คำว่า "ธรรมะ"
ถ้าเราพูดเฉยๆ ว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง โดยไม่คิดว่าแล้วเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะที่มีจริงใช่ไหม ... ไม่ต้องหาเลย ... มีแล้ว ... เป็นธรรมะที่มีจริง แต่กว่าจะได้ฟังความจริงของธรรมะที่มีจริงขณะนี้ จนสามารถที่จะเข้าใจทุกสิ่งที่กำลังมีจริงทุกขณะ ... จะอีกนานสักเท่าไหร่?! มีใครหวังไหมที่จะรู้?!
เดี๋ยวนี้แค่ฟังและค่อยๆ เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้นว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ... ฟังทีละคำ ... มีจริงแน่ ... เห็นมีจริงๆ แต่ใครรู้เห็น? เสียงมีจริงแต่ใครรู้สภาพที่รู้เสียงหรือได้ยินเสียง? เพราะฉะนั้น จึงต้องมีนามรูปปริเฉทญาณเพราะว่าแม้ว่าขณะนี้เราจะได้ยินคำว่านามธรรม ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ... สภาพรู้เดี๋ยวนี้มี ... มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้รู้ มีเสียงด้วย เสียงก็ปรากฏว่ามีให้รู้ แต่เสียงไม่ใช่สภาพรู้
ไม่เคยขาดสภาพรู้เลยตั้งแต่แสนโกฏกัป เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับสืบต่อจนถึงวันนี้ ถึงพรุ่งนี้และถึงต่อไปตลอดชีวิตทุกชาติแต่ไม่ปรากฏ ... ปรากฏแต่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินเสียงแต่สภาพได้ยินไม่ได้ปรากฏ ... แต่มี ... แล้วก็จะรู้ได้ยังไง ... ไม่มีรูปร่าง ไม่แดง ไม่ขาว ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสใดๆ ทั้งสิ้น ... ไม่มีอะไรเลยนอกจากรู้!!
เคยคิดไหม ... สภาพที่มีจริงไม่มีอะไรทั้งสิ้นที่จะปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เกิดขึ้นรู้ เพราะฉะนั้น ฟังทุกคำด้วยความเคารพสูงสุดว่าเป็นความจริงที่ลึกซึ้ง และทรงแสดงความจริงที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นให้เข้าใจความจริงมั่นคงในความจริงเป็นอริยสัจจธรรมรอบที่หนึ่ง
เดี๋ยวนี้ไม่มีคน แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา กว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นต้นไม้ เป็นคนเป็นอะไรๆ จะไม่เหลือ เพราะเฉพาะสิ่งที่กระทบตาเท่านั้นปรากฏ ไม่ใช่รูปร่างทั้งหมดที่เป็นต้นไม้ เป็นคน เป็นอะไรทั้งสิ้น เฉพาะสิ่งที่กระทบตา ... เพราะฉะนั้น เมื่อสิ่งนี้กระทบตา ... เห็นแล้วยังไม่สามารถจะรู้ว่าเป็นอะไร เพราะมโนทวารวิถีเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นต่อ ยังไม่เป็นอะไรเลย เป็นเฉพาะสิ่งเดียวที่กระทบตา และจักขุวิญญาณเห็นสิ่งนั้น มโนทวารเกิดขึ้นรับรู้ต่อหลายครั้งหลายครา
ขณะที่มโนทวารกำลังปรากฏเพราะสภาพรู้ปรากฏขณะนั้นต้องมืด เห็นไหมโลกไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง สิ่งที่กระทบตานิดเดียวที่ปรากฏในความมืดว่านี่คือเห็น และสิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นจะชัดเจนไหมว่าเห็นเพียงสิ่งที่กระทบตา
เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงต้องมีความมั่นคง ฟังแล้วไตร่ตรองเพื่อเข้าใจ เพื่อรู้ว่าธรรมะเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดและดับเร็วมาก พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สิ่งใดก็ตามที่จะปรากฏได้ต้องปรากฏโดยนิมิตของสิ่งหนึ่ง เช่นขณะนี้นิมิตของเห็น ถ้าเป็นธาตุรู้ก็เป็นนิมิตของเห็น ถ้าเป็นสิ่งที่กระทบตาก็เป็นนิมิตของสิ่งนั้น ยังไม่เป็นรูปร่างอะไรเลย และการเกิดดับรวดเร็วปานใด ... หลับตาหายไปหมดไม่มีอะไรเลย ... คนอยู่ไหน?! แต่ละหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงนี้หลับตาเท่านั้นไม่มีแล้ว
ใครไปทำให้หลับตาแล้วไม่ปรากฏได้ ... แต่ความจริงคือเมื่อกระทบตาปรากฏ ถ้าไม่กระทบตาปรากฏไม่ได้ ... จะเลือกเห็นก็ไม่ได้ สิ่งที่อยู่ข้างหลังไม่กระทบตาไม่มีใครสามารถเห็นได้ เป็นธรรมะซึ่งจะเกิดต่อเมื่อมีสิ่งกระทบตา แล้วก็ความจริงมโนทวารคี่นทางปัญจทวารรวดเร็วมากสืบต่อหลายขณะมากกว่าทางปัญจทวารหนึ่งขณะ
ถ้าศึกษาโดยละเอียดทางปัญจทวารที่เห็นเหมือนมีแต่จักขุทวาร แต่มีจิตที่เกิดก่อนและเกิดหลังซึ่งไม่เห็น ... เห็นความรวดเร็วไหม?! เห็นเท่านั้นนิดเดียวแค่ไหน?! ขณะต่อไปรับรู้สิ่งนั้นแต่ไม่ได้ทำหน้าที่เห็นเลย แต่สามารถที่จะรู้ได้เพราะรูปยังไม่ดับ
ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยทั้งหมดที่ทรงแสดงละเอียดอย่างยิ่งของความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเป็นสัจจะความจริงที่ไม่เปลี่ยน ซึ่งวันนึงอีกนานเท่าไหร่แสนโกฏกัปข้างหน้า มองยัอนกลับมาขณะนี้ ใครจะรู้ว่ากำลังฟังเรื่องเห็นแล้วเข้าใจแค่ไหน?!
เห็นไหมกว่าจะเข้าใจขึ้น ... เข้าใจขึ้น ... ทั้งๆ ที่ก็กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นธาตุรู้สิ่งที่กระทบตาเฉพาะสีสันวรีณะเล็กน้อยแค่ไหนเมื่อ มีมโนทวารคั่นแต่ละวาระกว่าจะเป็นรูปร่างสัณฐาน ... พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกินกว่าใครๆ จะสามารถคิดได้ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ตรัสรู้จะทรงแสดงความจริงโดยละเอียดของสิ่งที่มีจริงแต่ละทางได้ไหม?! ทางตา ไม่ใช่ทางหู ... ห่างกันด้วย ... แต่เป็นเราไปหมดทุกขณะ แสดงว่าความไม่รู้มากมายมหาศาลแค่ไหน?!
เพราะฉะนั้น ศาสนา ลัทธิต่างๆ ไม่สำคัญเลย สำคัญที่คำที่ได้ฟังสามารถที่จะรู้ความจริงที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้ได้ไหม?? แล้วจะเรียกว่าอะไร ถ้าไม่เรียกว่าปัญญาถึงระดับ "พุทธะ" สามารถที่จะรู้ความจริงเพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นขณะที่ประเสริฐที่สุดในอีกแสนโกฏกัปข้างหน้า เพราะมีขณะที่เริ่มต้น เคารพสูงสุดในความจริง และขณะที่รู้ว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง นั่นคือขณะที่ละทีละเล็กทีละน้อยทีละนิดทีละหน่อย เพราะมรรคมีองค์แปดเริ่มต้นด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ... เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ จะเป็นคนได้ยังไง ถ้าไม่มีสีสันวรีณะต่างๆ ปรากฏเป็นนิมิตให้จำ เป็นคิ้ว ... เป็นตา ... เป็นเสื้อ ... เป็นอะไร เร็วมากพิสูจน์ได้หลับตาหมด ... ลืมตาทำไมเร็วอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกระทบตาพร้อมกันและปรากฏ
เพราะฉะนั้น ฟังด้วยความเคารพจริงๆ ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังสิ่งซึ่งไม่สามารถจะได้ยินได้ฟังจากใครเลยทั้งสิ้น นอกจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือใครใดๆ ในสากลจักรวาล
www.facebook.com/share/v/1DY4xT2iLA/?mibextid=xfxF2i
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ