ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่เวลเนสซิตี้ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา
วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๑
~ ไม่มีอะไรที่จะสุขเท่ากับได้ฟังคำจริง ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ที่เปิดเผย ว่า ทุกคำจริง เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะให้คนได้มีโอกาสได้เข้าใจถูกต้องในสิ่งซึ่งไม่เคยได้เข้าใจถูกต้องเลยในสังสารวัฏฏ์
~ ต่างคนต่างคิดมานานในสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าไม่มีผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี (ความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) เพื่อที่จะรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง สัตว์โลกไม่มีโอกาสรู้เลย ว่า ตั้งแต่เกิดจนตายไม่รู้อะไรบ้าง คิดว่ารู้ทุกอย่าง ... แต่ว่าเมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็จะรู้ได้เลย ว่า ไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับความรู้ที่ถูกต้องซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยในความจริงของสิ่งที่มี
~ ธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกิดจากการทรงตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ทุกคนสามารถที่จะเข้าใจได้ในภาษาของตน
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่พิสูจน์ได้ ทุกกาลสมัย ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ในพระไตรปิฎกจะใช้คำว่าธรรมเตชะ (ธรรมเดช) เหมือนปาฏิหาริย์ จากคำที่เราพูดทุกวันและไม่เข้าใจเลยเข้าใจผิด แต่พอได้ฟังคำจริงที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มี ก็เปิดเผยให้สามารถที่จะรู้ได้ ว่า ทุกคำที่ได้ฟัง เหมือนอีกโลกหนึ่ง เพราะว่า โลกเก่าเป็นโลกของความไม่รู้ ใครจะรู้ก่อนการฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม? ถ้ารู้ได้ก็ไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังคำของคนอื่น แต่ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ พิสูจน์ได้และสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นซึ่งจะทำให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ได้ฟังคำของพระองค์
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ไม่ว่าใครทั้งหมดจะเป็นพระราชาในครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน เศรษฐี มหาเศรษฐี พ่อค้าคฤหบดีที่ได้กราบไหว้บูชาใครก็ตาม ทุกคนที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่บูชาใครเกินกว่าพระองค์ ไม่ว่าเช้า สาย บ่าย เย็น ก่อนนอนหรือว่าตื่นนอน ก็สามารถที่จะระลึกถึงพระคุณได้ แต่เท่านั้นไม่พอ เพราะเหตุว่าเพียงกราบไหว้พระพุทธรูปหรือว่าพระบรมมสารีริกธาตุ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจในพระคุณเลยว่า ทำไมพระองค์จึงได้ทรงตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยปัญญา ทำให้บริสุทธิ์คือหมดจดจากกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ไม่เหลือเลยสักนิดเดียว
~ ทุกวัน เป็นกิเลสทั้งนั้น เมื่อไม่รู้กิเลส แล้วจะละกิเลสได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะรู้ได้ว่ามีชีวิตอยู่ที่ประเสริฐ คือ เพื่อเข้าใจความจริงตามที่ได้ฟัง
~ ทุกคน ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน จะช้าหรือจะเร็ว แต่ว่าก่อนจากไป บางคนก็ไม่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เมื่อมีโอกาสได้รู้ว่าผู้ที่ทุกคนกราบไหว้บูชาสูงสุดตรัสไว้ว่าอย่างไร ก็จะเริ่มค่อยๆ ฟังคำซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ แม้ว่าละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่เริ่ม (ฟัง) ก็ไม่มีวันไม่มีเวลาที่จะเข้าใจได้เลย
~ ฟังธรรมด้วยความเคารพคืออย่างไร? ก่อนฟังธรรม ไม่รู้ว่าละเอียดลึกซึ้ง ได้แต่กราบไหว้บูชา แต่พอฟังแล้ว แต่ละคำต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเอง
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลก ปัญญาประเสริฐที่สุดเพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะยากไร้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้ามีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้น ไม่เดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าจะมั่งมีมากมาย มีชื่อเสียง มีคำสรรเสริญ มีคำยกย่อง มีลาภยศ แต่ถ้าขณะนั้นไม่เข้าใจ จิตใจก็เป็นทุกข์ได้
~ แม้จะพูดคำว่าจิต ก็ยังไม่เข้าใจจิต ทั้งๆ ที่มี แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีให้ค่อยๆ เข้าใจความจริง
~ ส่วนใหญ่ชาวโลก พากเพียรในเรื่องอื่น ในเรื่องสมบัติ ในเรื่องเงินทอง ในเรื่องวงศาคณาญาติ.... แต่ไม่ได้เพียรเพื่อที่จะฟังธรรมให้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ก็มีแต่สิ่งซึ่งมีเมื่อยังอยู่ในโลกนี้ แต่พอจากโลกนี้ไปก็ไม่มี คนนี้ ที่เคยนั่งอยู่ตรงนี้ ก็ไม่มี แต่คนอื่นที่จะเกิดต่อไป ก็มาจากคนนี้แหละที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ดี ชั่วทั้งหลาย ก็ติดตามไป
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงต้องการดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีให้ใครยกย่องบูชาโดยไม่รู้เพียงแต่กราบไหว้เฉยๆ แต่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้พระองค์เมื่อได้ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วทรงมีพระมหากรุณา ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติได้ ด้วยเหตุนี้ ฟังด้วยความเคารพ คือ เข้าใจเมื่อไหร่ นั่นคือ การบูชาสูงสุดที่จะมีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่การบูชาอย่างอื่น
~ การฟังธรรมเป็นมงคล ฟังสิ่งที่เป็นความจริง จะไม่เป็นมงคลได้อย่างไร และแม้ฟังแล้ว มีสิ่งใดที่จะสนทนากันเพื่อที่จะทำให้เข้าใจยิ่งขึ้น ก็มีการสนทนาธรรม เพราะฉะนั้น สนทนาธรรม ก็เป็นอีกหนึ่งมงคล ที่จะทำให้เมื่อฟังแล้วก็จะเข้าใจ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก สามารถที่จะเข้าใจคำอื่นๆ ต่อไปจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งความจริงได้
~ อธิษฐาน ไม่ใช่ขอ ไม่ใช่ขอให้ฝนหยุดขอให้ฝนตก ไม่ใช่เลย และไม่ใช่ขอลาภขอยศ แต่อธิฐาน หมายถึง ความมั่นคงที่จะเข้าใจความจริงซึ่งมาจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เห็น เป็นธรรมที่มีจริง ไม่มีใครสามารถทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ หรือ เห็น ก็เกิดขึ้นเองไม่ได้ แต่ว่ามีปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น เห็นจึงเกิดขึ้นได้
~ ได้ยินคำว่า "ธรรม" ขอให้ทราบว่า หมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้น แต่ละหนึ่ง ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง
~ อุบาสกอุบาสิกา คือใคร? คือ ผู้เข้าไปนั่งใกล้พระธรรม นั่งใกล้ทำไม? ฟังคำที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
~ ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาซึ่งความเบาสบาย พ้นจากการที่จะเป็นทาสของความติดข้องและความไม่รู้ เพราะมีความเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วรูปร่างกายและจิตใจทั้งหมดในชาตินี้ เป็นคนนี้ได้เพียงชาติเดียว ชาติก่อนเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะฉะนั้น พอถึงคราวที่จากโลกนี้ไป ชาติหน้าจำไม่ได้เลยว่าเราเป็นใครอยู่ที่ไหนทำอะไรบ้าง แต่เดี๋ยวนี้กำลังรู้หมดเลย ดี ชั่ว ที่ทำ มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นคนนี้ ซึ่งพอตายจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นคนนี้อีกไม่ได้ แต่สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีชีวิตใหม่ มาจากคนในชาตินี้ เพราะฉะนั้น เป็นเราคนนี้ชั่วคราว แล้วคนใหม่ก็มาจากเราชั่วคราวนี่แหละ เพราะฉะนั้น จะทำดีหรือทำชั่ว?
~ อะไรดีที่สุด? มีปัญญาเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นว่าอะไรดีที่สุด ก็ไม่ละเลยที่จะฟัง เพราะว่า ถ้าฟังบ่อยๆ จะเข้าใจกว่านี้มาก และเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น
~ รักอะไรที่สุด ตั้งแต่เกิด? ทุกคนต้องตอบว่ารักตัวเอง ถึงจะรักใครมากสักเท่าไหร่ แต่ตัวนี้ต่างหากที่รักที่สุด เพราะว่า ต้องการให้ตัวนี้มีความสุข อย่างไรก็ตามก็พยายามแสวงหา ได้มาในทางสุจริตก็เป็นกุศลกรรม แต่ถ้าได้มาในทางทุจริตการกระทำที่ไม่ดี ก็เบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อน หารู้ไม่ว่า นั่นคือ สิ่งที่จะให้เกิดผลตั้งแต่เกิด เกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่กรรมที่ทำไว้ ท่านพระเทวทัตเกิดในนรก ภิกษุที่ล่วงละเมิดพระวินัย ไม่ปลงอาบัติ (คือ ไม่แก้ไขให้ถูกต้องตามพระวินัย) ตายจากโลกนี้แล้ว ไปเกิดในนรก ทั้งๆ ที่ในขณะที่เป็นภิกษุ เราก็กราบไหว้ แต่พอท่านจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านก็อยู่ในนรก เพราะฉะนั้น ไม่มีใครที่จะไปดลบันดาลอะไรได้เลย แต่ทุกอย่างต้องมีเหตุและผล
~ ไม่มีเรา แต่มีธรรม เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีละคำ พระสัมมาสัมพระเจ้า ตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) เปลี่ยนได้ไหม?
~ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับไป เราอยู่ไหน? เพราะฉะนั้น ประโยชน์ ก็คือ ได้รู้ความจริงถึงที่สุด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
~ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส เป็นประโยชน์ที่จะทำให้ผู้ที่ได้เริ่มเข้าใจค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงตรงตามที่ได้ฟัง
~ คนที่ตรงต่อความจริง ก็รู้ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม ที่เป็นจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการู้แจ้งอารมณ์ [อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้]) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) แต่ละคน ก็เป็นจิต เจตสิก รูป เราอยู่ไหน ในเมื่อจิต เป็นจิต รูปเป็นรูป เจตสิกเป็นเจตสิก แม้แต่ในขั้นการฟัง ก็เริ่มไตร่ตรอง ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม
~ ทางสายกลาง เป็นทางที่เป็นกุศล นำไปสู่การรู้ความจริงของสภาพธรรม เป็นหนทางที่ถูก เพราะไม่ผิดที่จะไปทางอื่นที่ไม่ตรง แต่ไปสู่ความถูกต้อง จนสามารถที่จะรู้ความจริงได้
~ ความหวังดีของเรา ไม่จำกัดเฉพาะวงศาคณาญาติ แต่ใครก็ได้ที่ไม่เคยเข้าใจธรรม แล้วเข้าใจธรรม เราก็ยินดีด้วยทั้งหมดเลย
~ ถ้าเราทำสิ่งที่ดี ที่เป็นกุศล แล้วอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ ถ้าเขาสามารถรู้และอนุโมทนา (ชื่นชมยินดีในความดีของผู้อื่น) ได้ ก็เป็นกุศลของเขาเอง เพราะฉะนั้น การกระทำความดีทุกขณะ คนที่รู้ ก็ยินดีด้วย แต่ถ้าไปสิ่งที่ไม่ดี ใครจะไปชื่นชมอนุโมทนา?
~ กว่าจะตรงและจริงใจ ก็จะต้องรู้ตัวเอง ว่า กิเลสมีกำลัง เพราะฉะนั้น ไม่มีหนทางอื่นเลยที่จะเอาตัวตนไปต่อสู้กับกิเลส แต่มีหนทางเดียว คือ เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจธรรมมากขึ้นแม้ทีละเล็กทีละน้อย นั่น เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้กิเลสในขณะนั้นเกิดไม่ได้
~ มั่นคงที่จะเข้าใจธรรม ที่จะละอกุศล [นั่นเป็นอธิษฐานบารมี]
~ ผู้ที่มักน้อยสันโดษ อยากจะให้คนอื่นรู้ไหม ว่า เราขัดเกลากิเลส ต้องบอกใครหรือเปล่า บอกเพื่ออะไร บอกทำไม?
~ ขณะนี้ วิกฤตพระพุทธศาสนา เพราะไม่ได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะแก้ไขวิกฤตที่คนอื่นคงยาก แต่แก้ไขวิกฤตที่ตัวเองที่เข้าใจผิดในพระพุทธศาสนาเพราะไม่ได้ศึกษา เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่คิดว่าเป็นการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา กลับเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เช่น ภิกษุรับเงินและทอง เห็นง่ายๆ ชาวบ้านไม่รู้เลย ก็พากันให้เงินทองแก่พระภิกษุซึ่งแทนที่จะรู้ว่าภิกษุคือใคร ก็ไม่รู้ เพราะคฤหัสถ์ก็ไม่รู้พระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีความเข้าใจ เพื่อที่จะดำรงพระพุทธศาสนา และสำนักปฎิบัติ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะเหตุว่า ไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจเลย แต่ก็บอกว่าสำนักวิปัสสนา แต่ความจริงแล้ว ปัญญา ไม่มีสำนัก เพราะที่ไหนก็ได้เมื่อได้สะสม (มาพร้อม) แล้ว ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่ กะเกณฑ์ก็ไม่ได้.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนากุศลจิตทุกขณะที่เข้าใจพระธรรมค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับผู้เริ่มศึกษา การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ