พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า วิธีแห่งการเจริญ (สมถะและวิปัสสนา) ต่อไป พระโยคาวจร
บางท่านเจริญวิปัสสนามีสมถะนำหน้า บางท่านเจริญสมถะมีวิปัสสนานำหน้า เจริญ
อย่างไร? (เจริญอย่างนี้คือ) พระโยคาวจรบางรูปในพระศาสนานี้ ทำสมถะอุปจารสมาธิ หรือ อัปปนาสมาธิให้
เกิดขึ้น นี้เป็นสมถะ (ต่อมา) พระโยคาวจนั้น พิจารณาเห็นซึ่งสมาธินั้น และธรรมที่
สัมปยุตด้วยสมาธินั้นโดยภาวะทั้งหลายมีความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น นี้เป็นวิปัสสนา
อย่างนี้สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลังอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะนำหน้า. เมื่อเธอเจริญวิปัสสนามีสมถะนำหน้าอยู่ มรรคย่อมเกิด เธอส้องเสพ เจริญ กระทำ
ให้มากซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยทั้งหลายย่อมหมดสิ้นไป อย่างนี้
พระโยคาวจร ชื่อว่า เจริญวิปัสสนาแบบมีสมถะนำหน้า. แต่ว่า พระโยคาวจรบางรูปในพระศาสนานี้ ไม่ยังสมถะมีประการดังกล่าวแล้วให้เกิด
ขึ้น พิจารณาเห็นอุปาทานขันธ์ ๕ โดยสภาวะมีความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น นี้เป็น
วิปัสสนา. เอกัคคตาแห่งจิตจะเกิดขึ้นจาก อารมณ์ คือการสลัดธรรมที่เกิดขึ้นใน
วิปัสสนานั้น เพราะความบริบูรณ์แห่งวิปัสสนาของเธอ นี้เป็นสมถะ อย่างนี้ วิปัสสนา
เกิดก่อน สมถะเกิดทีหลัง เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สมถะมีวิปัสสนา
นำหน้า เมื่อเธอเจริญสมถะมีวิปัสสนานำหน้าอยู่ มรรคย่อมเกิด เธอส้องเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอส้องเสพมรรคนั้นอยู่ ฯลฯ อนุสัยทั้งหลายย่อมหมด
สิ้นไป อย่างนี้แหละพระโยคาวจร ชื่อว่า สมถะมีวิปัสสนานำหน้า เจริญวิปัสสนาแบบ
มีสมถะนำหน้า ก็เมื่อเธอเจริญวิปัสสนาแบบมีสมถะนำหน้าอยู่ก็ดี สมถะแบบมีวิปัสสนา
นำหน้าอยู่ก็ดี ในขณะแห่งโลกุตตรมรรคแล้ว สมถะและวิปัสสนา ย่อมอยู่เป็นคู่กัน
(อย่างแยกไม่ออก) นักศึกษาพึงทราบนัยแห่งการเจริญ (สมถะและวิปัสสนา) ในที่นี้
อย่างนี้แล.
จบ อรรถกถาแห่งธรรมทายาทสูตร.