ภิกษุย่อมถือด้วยดี ทำไว้ใน ใจด้วยดี ใคร่ครวญด้วยดี แทงตลอดด้วยดี ซึ่งปัจจเวกขณนิมิตด้วยปัญญา เปรียบเหมือนคนอื่นพึงเห็นคนอื่น คนยืนพึงเห็นคนนั่ง หรือคนนั่งพึงเห็นคนนอน ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอย่อมถือด้วยดี ทำไว้ในใจด้วยดี ใคร่ครวญด้วยดี แทงตลอดด้วยดี ซึ่งปัจจเวกขณนิมิตด้วยปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นการ เจริญสัมมาสมาธิที่ประกอบด้วยองค์ ๕ อันประเสริฐ ข้อที่ ๕
จากข้อความนี้กระผมขอเรียนถามว่า ปัจจเวกขณนิมิตด้วยปัญญา หมายถึงอะไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความในอรรถกถา ได้อธิบายไว้ว่า ปัจจเวกขณนิมิต ก็คือ ปัจจเวกขณญาณ นั่นเอง ดังนี้
[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓- หน้าที่ ๕๓
บทว่า ปจฺจเวกฺขณนิมิตฺตํ ได้แก่ ปัจจเวกขณญาณนั่นเอง. บทว่า
สุคฺคหิตํ โหติ ความว่า ฌานวิปัสสนาและมรรคเป็นธรรม อันภิกษุนั้น
ถือเอาแล้วด้วยดี ฉันใด ปัจจเวกขณนิมิตก็เป็นข้ออันภิกษุนั้นถือเอาแล้ว
ด้วยดี ด้วยปัจจเวกขณนิมิตต่อๆ นั่นเอง ฉันนั้น.
ปัจจเวกขณญาณ เป็นวิปัสสนาญาณที่ ๑๖ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน แล้ว ก็จะมีปัจจเวกขณญาณเกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณสุดท้ายซึ่งเป็นโลกิยะ เกิดขึ้นหลังจากมรรคจิตผลจิตในมัคควิถีดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น แล้วปัจจเวกขณญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดกับมหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ หรือมหากิริยาจิตญาณสัมปยุตต์ทำกิจชวนะทางมโนทวาร เกิดขึ้นพิจารณามรรคจิตหนึ่งวาระ ผลจิตหนึ่งวาระ นิพพานหนึ่งวาระ กิเลสที่ละแล้วหนึ่งวาระ กิเลสที่เหลืออยู่หนึ่งวาระ พระอริยบุคคลเบื้องต้น ๓ จะมีปัจจเวกขณญาณท่านละ ๕ วาระ ส่วนพระอรหันต์จะมีปัจจเวกขณญาณเพียง ๔ วาระ เพราะไม่มีกิเลสที่เหลืออยู่ให้พิจารณา ดังนั้น ปัจจเวกขณญาณ ไม่ได้เกิดวาระเดียว แต่เกิดหลายวาระ ตามความเป็นไปของพระอริยบุคคลแต่ละประเภท ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ