เท่าที่ผมใช้ชีวิตมาสภาพแวดล้อมแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่ที่สงสัยอย่างหนึ่งคือบางคนครอบครัวมีพร้อมทุกอย่างอบรมบ่มนิสัยตั้งแต่เล็กอย่างดีแต่ก็ออกนอกลู่ นอกทางที่ไม่ดี กับบางคนครอบครัวไม่เคยสนใจเลยแต่ประพฤติตนเป็นคนดีได้
ผมสงสัยอย่างหนึ่งว่าเวลาเราขาดสติจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างมาเตือนสติไว้ว่าไม่ควรทำ และคนเราเกิดมาตามหลักวิทยาศาสตร์สมองคนเรามีแต่ความว่างเปล่า กรรมเก่ามีจริงหรือไม่ ที่ผมรู้คือปัจจุบัน ถ้ามีจริงว่ากรรมเก่ามาเตือนว่าห้ามทำสิ่งไม่ดีเหล่านั้น เราควรทำบุญด้วยอะไรถึงทำให้กรรมเราเหล่านี้ไปเตือนเราในอนาคตชาติหน้า ชาติต่อๆ ไปอีก
* * * พูดตรงๆ ว่าตอนเด็กๆ เรียนพระพุทธศาสนาไม่เก่งมากๆ เรียนไปความรู้ไม่เคยเข้าสมองสอบตก จะเข้าวัดแต่ละทีต้องถามคุณแม่เอาว่าวันไหนทำอะไรบ้างเตรียมอะไรไปบ้าง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตของสัตว์โลกแบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนของการสะสมมา ที่เป็นในฝ่ายกุศล มีปัญญา เป็นต้น และฝ่ายอกุศลที่เป็น ความไม่รู้ อกุศลต่างๆ อีกส่วนหนึ่ง คือ วิบาก ที่เป็นส่วนของผลของกรรม
เพราะฉะนั้น สัตว์โลกก็สะสม กุศล และอกุศลมาแตกต่างกันไป ผู้ที่ไม่ได้สะสมปัญญา ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็ย่อมไม่สนใจ ไม่เรียน ไม่ศึกษาธรรมเป็นธรรมดา ส่วนผู้ที่สะสมปัญญา สะสมศรัทธามา ก็ย่อมสนใจธรรม เมื่อได้ยินได้ฟัง ซึ่งการที่แต่ละคนสะสมมาไม่เท่ากันในทางธรรม เพราะ ปุพพเพกตปุญญตา คือ การได้ทำบุญมาในปางก่อน หรือ ไม่ได้ทำบุญมาในปางก่อน ก็ทำให้มีการสะสมมาในทางธรรม ที่แตกต่างกันไปครับ การได้ฟัง ศึกษาพระธรรมในชาตินี้ ก็เป็นต้นทุน เป็นการสะสมการมีปัญญา สนใจพระธรรมต่อไปในชาติหน้าต่อไป ผู้ที่ไม่สะสม ไม่ได้ฟัง ศึกษาพระธรรรม ก็ไม่ได้สะสมต้นทุน ที่จะทำให้สนใจ เข้าใจพระธรรมในชาติต่อไปครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ต้องเป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นการยากมากกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ละคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น กล่าวได้ว่ามีความเสมอกันในความเป็นธรรม คือ จิต เจตสิก รูป แต่ที่แตกต่างกัน คือ การได้รับผลของกรรมและการสะสม ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลยจริงๆ
สำหรับผู้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ ได้ศึกษาพระธรรม กับ ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม ก็จะไม่ละเลยโอกาสของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ตนเองมีความเข้าใจธรรม เข้าใจสิ่งที่มีจริงเพิ่มขึ้น จะทำให้เป็นผู้ได้สะสมปัญญาต่อไป เป็นผู้ไม่ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ เพราะได้สะสมปัญญานั่นเอง ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมนั้น มีเยอะมากทีเดียว ควรที่จะได้พิจารณาว่าแม้ผู้ที่จะได้ฟังพระธรรมบ้าง กิเลสอกุศลก็เกิดขึ้นมาก คงไม่ต้องพูดถึงเลยว่าถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมแล้ว กิเลสอกุศลจะมากสักแค่ไหน และจะสะสมต่อไปอีกมากมายสักเท่าใด
ชีวิตเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ควรที่จะได้ตระหนักถึงคุณค่าของความเข้าใจพระธรรมว่ามีคุณค่ามหาศาล เพราะธรรมเป็นการตรัสรู้และทรงแสดงโดยบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เริ่มที่การฟัง การศึกษาในครั้งแรกๆ ก็จะไม่มีการฟัง การศึกษาในครั้งต่อๆ ไปอย่างแน่นอน ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต ดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งจะได้มีโอกาสฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ชาติก่อนสนใจศึกษาธรรมะ ชาตินี้ก็สนใจศึกษาธรรมะ ชาติหน้าก็สนใจศึกษาธรรมะ เพราะฉะนั้นชาติปัจจุบันทำเหตุอะไรดีหรือไม่ดี ก็จะเป็นเหตุดีหรือไม่ดีของชาติหน้าค่ะ
ขออนุโมทนา
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
เรื่องของกรรมนั้น ในพระไตรปิฎก กล่าวไว้ว่า เป็นเรื่อง อจินไตย คือ เรื่องที่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา ไม่สามารถรู้ได้ เพราะเรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก กรรมดีหรือกรรมชั่วไม่รู้ว่าอะไรจะให้ผลกรรมก่อน แต่พระพุทธองค์ก็ทรงสั่งสอนไว้ว่า อย่าคิดถึงอดีต พะวงอนาคต ทำปัจจุบันให้ดี กรรมชั่วควรละเสีย แล้วเริ่มกระทำกรรมดีไว้ นี่คือการแก้กรรมตามหลักศาสนาพุทธ ฉะนั้น ไม่ควรไปคิดถึงเรื่องว่า เราหรือใครทำอะไรมาถึงได้เป็นเช่นนั้น แต่นั่นคือ กฏแห่งกรรม ผิดถูกอย่างไรช่วยกันพิจารณาด้วยนะครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาสาธุในธรรมด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ