ไม่มีใครทราบได้ว่าใครเป็นติเหตุกบุคคลใช่มั้ยครับ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น?
ปฏิสนธิจิตที่ประกอบด้วยปัญญา มีลักษณะเป็นอย่างไร จิตขณะที่เป็นปฏิสนธิจิตไม่ได้มีโลภะ โทสะ โมหะ นั่นก็จะหมายความว่า "เป็นจิตที่รู้ว่ากำลังปฏิสนธิและรู้ว่าไม่มีเราในขณะนั้น เพราะเห็นจิตโดยความเป็นธัมมะ" อย่างนี้ใช่มั้ยครับ?
ขอความกรุณาชี้แจงเพื่อความกระจ่างแจ้งโดยละเอียดด้วยครับ ขอบพระคุณมากครับ
ถ้าเป็นอย่างนั้น จะหมายความว่าในครั้งที่พระพุทธองค์ตรัส "มหาสมัยสูตร" มีเทวดาจำนวนแสนโกฏิบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เทวดาผู้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันนั้นมีมากจนประมาณมิได้ เทวดาอันหาประมาณมิได้เหล่านั้นทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องเป็น "ติเหตุกบุคคล" ใช่มั้ยครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ที่ปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา และปฏิสนธิจิตมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยนั้น เป็นติเหตุกบุคคล เพราะมีเหตุ ๓ คือ มีอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญา (อโมห) เจตสิกเกิดร่วมด้วย บุคคลนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมก็สามารถพิจารณาเข้าใจพระธรรม และสามารถอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุฌานจิต หรือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ๔ บรรลุมรรค ผล นิพพานเป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้ได้ตามควรแก่การสะสมของเหตุปัจจัย แต่ก็ไม่ควรประมาทเพราะบางท่านเป็นผู้ที่มีสติปัญญา ปฏิสนธิจิตเป็นติเหตุกะก็จริง แต่ถ้าประมาทการเจริญกุศล ประมาทการฟังพระธรรม ก็จะเป็นผู้ที่ฉลาดแต่ในทางโลก ในวิชาการต่างๆ แต่ไม่อบรมเจริญปัญญาในทางธรรมจึงไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อจุติจิตเกิด ตายจากโลกนี้ ปฏิสนธิจิตย่อมเป็น ติเหตุกบุคคล ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การได้ฟังพระธรรมเป็นเรื่องของการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งมีเป็นส่วนน้อยมากที่จะได้ฟังพระธรรม ถ้าไม่ได้มีบุญที่กระทำไว้แล้วในชาติปางก่อน จะไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเลย และถ้าไม่ได้สะสมศรัทธาและความเห็นที่ถูกต้องว่าฟังเพื่อเข้าใจความจริง คนนั้นก็จะได้ยินได้ฟังแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่กำลังได้ฟังนั้นเป็นความจริงซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย จึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ ซึ่งสะสมมาแตกต่างกัน
บุคคลผู้ที่ปฏิสนธิโดยที่ไม่มีเหตุใดๆ เกิดร่วมด้วยเลยนั้น และ ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๒ ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ส่วนติเหตุกบุคคล คือ ผู้ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และ อโมหเหตุคือ ปัญญา บุคคลประเภทนี้สามารถอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินั้นได้ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ได้บรรลุธรรม ต้องปฏิสนธิจิตประกอบด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ (ปัญญา) แต่ประเด็นที่น่าพิจารณา ต่อ คือ แม้จะปฏิสนธิประกอบด้วยเหตุ ๓ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องบรรลุธรรมเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น ท่านพระเทวทัต ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ แต่เป็นผู้ถูกลาภสักการะครอบงำ กระทำอนันตริยกรรม ไปเกิดในอเวจีมหานรก
เราไม่สามารถทราบได้ว่าเราปฏิสนธิประกอบด้วยเหตุ ๒ หรือ เหตุ ๓ แต่เมื่อมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ก็ไม่ควรจะปล่อยโอกาสนั้นให้ล่วงเลยไป ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมปัญญาต่อไป เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เวลาของการฟังพระธรรม ในชาตินี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ