ผมเคยได้อ่านและที่มูลนิธิก็เคยนำมาสาธยายแล้ว แต่จำไม่ได้ครับว่าอยู่ในส่วนของพระสูตรใดครับ มีเนื้อหาบางส่วนกล่าวถึงสิ่งที่เป็นมูลเหตุแห่งความเสียมิตร ที่เป็นมลทินของความเป็นมิตรครับ รบกวนผู้มีความรู้ครับ ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ข้อความที่คุณสามารถ กล่าวถึง คือ การแกล้งกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความจริงเป็นธรรมที่กระทำอันตรายแก่มิตร การไม่แกล้งกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นเหตุนำมาซึ่งมิตร ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต อิฎฐสูตร ขอเชิญคลิกอ่านข้อความดังกล่าวได้ที่นี่ ครับ อิฏฐสูตร .. ธรรม ๑๐ ประการที่น่าปรารถนา หาได้ยากในโลก ข้อความที่ว่า "การไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง เป็นอาหารของมิตรทั้งหลาย” นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับมิตร คือ กัลยาณมิตร ซึ่งแต่ละบุคคลจะขาดไม่ได้เลย ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ก็จะต้องมีมิตร จะต้องมีเพื่อน แต่ก็ควรที่จะได้ทราบด้วยว่า ผู้ที่เป็นมิตรนั้นควรจะกระทำประการใด ควรอย่างยิ่งที่จะกล่าวเฉพาะคำจริงไม่ควรพูดให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แม้แต่ในความเป็นกัลยาณมิตรในธรรมคือ การไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง ธรรมเป็นอย่างไร มีเหตุ มีผลอย่างไรก็ไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริงนั้น แต่ถ้าพูดเท็จ ไม่พูดตามความเป็นจริง ย่อมไม่ใครเชื่อถือ ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย เพราะบางนัยแสดงว่า ความเป็นผู้ทุศีล เป็นเหตุแตกจากมิตร และบางนัยแสดงว่า เพราะเคยได้พูดส่อเสียดมุ่งให้ผู้อื่นแตกกัน (ปิสุณวาจา) ผลของกรรมดังกล่าวเป็นเหตุให้เป็นผู้แตกจากมิตร จะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน การแกล้งกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ได้ทำลายประโยชน์ของผู้อื่นมากมายทีเดียว ควรที่จะได้พิจารณาว่าตามความเป็นจริงแล้ว คำจริง หรือ ความจริง น่าจะพูดได้ง่ายกว่าคำเท็จ แต่บุคคลผู้สะสมมาอย่างนี้กลับไม่พูดความจริง พูดแต่คำเท็จ คนพูดเท็จ จึงน่ากลัวมาก เพราะเขาสามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง เป็นอันตรายทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่นโดยแท้ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนที่ดีสำหรับทุกชีวิตเพราะธรรมดาของปุถุชน มักไหลไปตามอำนาจของกิเลส เมื่อมีเหตุปัจจัย ย่อมล่วงศีลได้ ทำอกุศลกรรมประการต่างๆ ได้ ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยจริงๆ ดังนั้น อกุศลแม้เล็กน้อย ก็พึงเห็นว่าเป็นโทษเป็นภัย ควรที่จะมีความละอาย มีความเกรงกลัวต่ออกุศล และถอยกลับจากอกุศลให้เร็วที่สุด แม้แต่การแกล้งกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความจริง ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นไปเพื่อทำลายประโยชน์ของผู้อื่น ก็ไม่ควรทำ (เพราะเป็นการสะสมอุปนิสัยที่ไม่ดี) และถ้าถึงขั้นที่ทำลายหรือหักรานประโยชน์ของผู้อื่นแล้ว ยิ่งไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ เหตุที่ทำให้มิตรแหนงหน่ายกันมี 3 ข้อ คือ 1. ขอของรักจากเพื่อน เช่น ยืมเงิน ฯลฯ 2. คลุกคลีกันมากเกินไป 3. ห่างเหินกันเกินไป
ขอบพระคุณมากครับ
หรือก็คือการไม่จริงใจต่อกัน การไม่รักกันจริงนี่เองใช่ไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียน ความคิดเห็นที่ ๕ ครับ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความหวังดี ไม่หวังร้าย เป็นสภาพธรรมที่ดีงามผู้ที่เป็นเพื่อนทีี่ดีของเพื่อน ก็จะต้องทำหน้าที่ของเพื่อนให้ดีที่สุด มีการช่วยเหลือเท่าที่จะเป็นไปได้ มีความจริงใจ ให้แต่ความจริง ที่สำคัญจะต้องไม่เจือปนด้วยโลภะเลย เพราะเมตตา กับ โลภะ ต่างกัน ชีวิตของแต่ละบุคคล ก็ดำเนินไปตามการสะสม โดยปกติของปุถุชนแล้ว อกุศลจิตเกิดขึ้นมาก ถ้าเขาไม่เป็นเพื่อนกับเรา ไม่จริงใจกับเรา มีความหวังร้ายต่อเรา ก็เป็นเรื่องของเขา เป็นอกุศลของเขา ไม่ใช่ของเรา แต่สิ่งที่เราควรทำ คือ ไม่ทำให้ตนเองเสียซึ่งความดี กล่าวคือ พร้อมที่จะให้อภัย มีเมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลเขาได้ (แต่ไม่คลุกคลี) ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณสามารถ และ ทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณครับ ดังข้อความข้างต้นนี้ได้ฟังแล้ว ทำให้เห็นว่ามิตรภาพ (เมตตา) ไม่มีขอบเขตจริงๆ ครับ และไม่มีสิ่งใดจะขีดกั้นได้ด้วย ด้วยอำนาจแห่งความเป็นอนัตตา