ผู้ถาม ถ้าพระไตรปิฏกมีความสำคัญจริง ทำไมพระผู้มีพระภาคไม่ทรงสั่งสอนให้บรรดาสาวกท่องพระไตรปิฏกไว้เลย ก่อนที่พระองค์จะดับขันธ์ปรินิพพาน เพราะว่าในสมัยพระพุทธองค์ก็ไม่ได้คิดที่จะทำพระไตรปิฏกไว้ เพื่อสอนให้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
สุ. ก่อนอื่นต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระไตรปิฏกคืออะไร มาจากไหน เมื่อ ศึกษาพิจารณาแหล่งที่มาของพระไตรปิฏกแล้ว ก็จะรู้ว่าพระไตรปิฏกคือ ธรรมที่ประมวลคำสอนของพระผู้มีพระภาคใน ๔๕ พรรษา และแยกออกเป็นพระวินัย ส่วนหนึ่ง พระธรรมส่วนหนึ่ง และพระธรรมนั้นก็แยกเป็นพระสุตตันตปิฏกส่วนหนึ่ง เป็นพระอภิธรรมส่วนหนึ่ง ท่านพระอานนท์และท่านพระเถระทรงจำพระธรรมวินัยสืบทอดต่อๆ กันมา จนกระทั่งจารึกไว้เป็นพระไตรปิฏกนั่นเอง
ความจำของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ลองอ่านพระสูตรสักสูตรหนึ่ง ตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ (ข้าพเจ้าคือท่านพระอานนท์) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ต่อจากนั้นก็ดำเนินเรื่องไปโดยละเอียดมาก
เริ่มตั้งแต่ในเวลาเช้าที่ยังไม่ถึงเวลาเสด็จบิณฑบาต พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่าควรที่จะได้สนทนากับพราหมณ์ชื่อนั้น ณ สถานที่นั้น จึงเสด็จไปยังสำนักของพราหมณ์นั้น ทรงปราศัย ทรงสนทนาโต้ตอบ เมื่ออ่านพระสูตรนั้นจบแล้ว มีใครบ้างที่จำพระสูตรนั้นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ท่านพระอานนท์เถระเป็นเอตทัคคะในทางทรงจำ ขณะที่ท่านฟังพระธรรมนั้น คติคือทางของปัญญาของท่านนั้นพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ สามารถที่จะไตร่ตรองธรรมนั้นเกี่ยวเนื่องกันไปถึง ๖ หมื่นข้อ
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าความสามารถของบุคคลในครั้งโน้น กับบุคคลในครั้งนี้ที่ผิดกันมาก ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วกับสมัยปัจจุบัน ซึ่งเมื่อจะเทียบเคียงสติปัญญากัน ก็ควรเทียบเคียงในเรื่องความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรม
ขณะที่สภาพธรรมกำลังเกิดดับนี้ ไม่ประจักษ์แจ้งเลย แล้วทำอย่างไรจึงจะประจักษ์แจ้งได้จริงๆ คำว่า อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา จริงหรือไม่จริง ถ้าไม่จริงก็ไม่ใช่สัจจธรรม แต่เมื่อเป็นสัจจธรรมก็ย่อมมีหนทางที่ปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งได้ ในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นสังขตธรรม ซึ่งมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิด ขึ้นแล้วก็ดับไป นี่คือความเห็นถูกขั้นต้นซึ่งยังดับกิเลสไม่ได้
ถ้าใครบอกว่าปัญญาดับกิเลสได้เร็ว ให้ทำอย่างนี้อย่างนั้น ก็ไม่ใช่ปัญญาเพราะเป็นความไม่รู้อยู่นั่นเอง และเป็นความไม่รู้ซึ่งทำไปด้วยความต้องการคือโลภะด้วย ขณะใดที่ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นโลภะทั้งนั้น โลภะไม่ได้ต้องการเพียงรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย การสัมผัสที่สบาย แต่โลภะต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง ลักษณะของโลภะเป็นลักษณะที่ติดข้อง ฉะนั้นโลภะจึงเป็นสมุทัย และเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ก็ตรัสอุทานว่า ได้ทำลายนายช่างเรือนคือโลภะได้แล้ว
ถึงมีโลภะ แต่เมื่อปัญญาไม่เกิดก็ไม่รู้ว่ามีโลภะเมื่อไร คนหนึ่งต้องการจะบรรลุนิพพานเร็วๆ แต่ไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเลย อีกคนหนึ่งไม่ต้องการถึงเร็ว แต่ต้องการอบรมปัญญาที่รู้สภาพธรรมจริงๆ ที่กำลังปรากฏ อย่างไหนจะถูกต้องกว่ากัน เร็วหรือช้าไม่สำคัญ เพราะต้องเป็นความรู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรม และผู้ที่อบรมปัญญามามากแล้วก็รู้ได้เร็ว ไม่ช้าเลย เช่นท่านพระสารีบุตรรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน เมื่อได้ฟังธรรมจากท่านพระอัสสชิเพียงสั้นๆ และหลังจากนั้นอีก ๑๕ วัน ท่านก็ดับกิเลสได้หมดสิ้นเป็นพระอรหันต์
แทนที่จะอยากเป็น ก็อบรมสติปัญญาระลึกรู้พิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที แทนที่จะเป็นโลภะก็อบรมเจริญปัญญาได้ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมได้ เพราะว่าเหตุสมควรแก่ผล แต่ถ้าเหตุไม่สมควรแก่ผล อยากสักเท่าไร ผลก็ย่อมเกิดไม่ได้ ฉะนั้นแทนที่จะอยาก ก็ขอให้เป็นปัญญาที่รู้ความจริงว่า ปัญญารู้อะไรและปัญญารู้ในขณะนี้ได้ไหม
ถ้าเป็นปัญญาย่อมสามารถเกิดขึ้นประจักษ์แจ้ง การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ก็ได้ ขณะนี้ สภาพธรรมกำลังเกิดดับ "เห็น" กำลังเกิดดับ เมื่อประจักษ์แจ้งการเกิดดับและปัญญาคมกล้าขึ้นก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ "คิดนึก"กำลังเกิดขึ้นแล้วดับไป เมื่อไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เลย ก็เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 9