[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ ๑๖๒
พระศาสดาทรงแสดงโทษปรทาริกกรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงกรรมของสัตว์นรกเหล่านั้น จึงตรัสว่า "ถ้ากระนั้น พระองค์จงทรงสดับ มหาบพิตร" แล้วทรงนำอดีตนิทานมา (ตรัส) ว่า :-
ในอดีตกาล เมื่อมนุษย์มีอายุ ๒ หมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะอุบัติขึ้นในโลก เสด็จเที่ยวจาริกไปกับด้วยพระขีณาสพ ๒ หมื่น ได้เสด็จถึงกรุงพาราณสี ชาวกรุงพาราณสี ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง มากกว่าบ้าง รวมเป็นพวกเดียวกัน ยังอาคันตุกทานให้เป็นไปแล้ว
ในกาลนั้น ในกรุงพาราณสีได้มีเศรษฐีบุตร ๔ คน มีสมบัติ ๔๐ โกฏิ เป็นสหายกัน เศรษฐีบุตรเหล่านั้นปรึกษากันว่า "ในเรือนของพวกเรามีทรัพย์มาก พวกเราจะกระทำอะไรด้วยทรัพย์นั้น"
เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น เสด็จเที่ยวจาริกไปอยู่ บรรดาเศรษฐีบุตรเหล่านั้น มิได้กล่าวว่า พวกเราจักถวายทาน จักกระทำบูชา จักรักษาศีล คนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ก่อนว่า "พวกเราดื่มสุราที่เข้ม เคี้ยวกินเนื้อมีที่รสอร่อย จักเที่ยวไป ชีวิตนี้ของพวกเราจักมีผล"
อีกคนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า "พวกเราจักบริโภคภัตแห่งข้าวสารแห่งข้าวสาลีมีกลิ่นหอมที่เก็บค้างไว้ ๓ ปี ด้วยรสเลิศต่างๆ เที่ยวไป"
อีกคนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า "พวกเราจักให้เขาทอดของควรเคี้ยวแปลกๆ มีประการต่างๆ เคี้ยวกินเที่ยวไป"
อีกคนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า "แน่ะเพื่อน พวกเราจักไม่กระทำกิจอะไรๆ แม้อย่างอื่น. หญิงทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวว่า ‘จักให้ทรัพย์’ ชื่อว่าไม่ปรารถนา ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น พวกเรารวบรวมทรัพย์ไว้แล้ว จักประเล้าประโลม (หญิง) ทำปรทาริกกรรม (การประพฤติผิดในภรรยาของชายอื่น) "
เศรษฐีบุตรทั้งหมด รับคำว่า "ดีละๆ " ได้ตั้งอยู่ในถ้อยคำของคนที่ ๔ นั้น จำเดิมแต่นั้นมา เศรษฐีบุตรเหล่านั้นส่งทรัพย์ไปเพื่อ (บำเรอ) หญิงที่มีรูปงาม กระทำปรทาริกกรรมตลอด ๒ หมื่นปี กระทำกาละแล้ว บังเกิดในอเวจีมหานรก เศรษฐีบุตรเหล่านั้นไหม้แล้วในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง กระทำกาละในนรกนั้น ด้วยเศษผลกรรม ก็เกิดในโลหกุมภีนรก (อันลึก) ๖๐ โยชน์ (จมลง) ถึงพื้นภายใต้ ๓ หมื่นปี (ลอยขึ้นมา) ถึงปากหม้อโดย ๓ หมื่นปีอีก เป็นผู้ใคร่จะกล่าวคาถาตนละคาถา (แต่) ไม่อาจจะกล่าวได้ กล่าวตนละอักษรแล้ว ก็หมุนกลับลงไปสู่ก้นหม้ออย่างเดิมอีก พระองค์จงบอก มหาบพิตร พระองค์ได้สดับเสียงชื่ออะไร ทีแรก"
พระราชา เสียงว่า ทุ. พระเจ้าข้า พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงคาถาที่สัตว์นรกนั้น กล่าวไม่เต็ม ทำให้เต็ม จึงตรัสอย่างนี้ว่า :- เราทั้งหลายเหล่าใด เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู่ ไม่ได้ถวายทาน ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน พวกเราเหล่านั้น จัดว่ามีชีวิตอยู่ชั่วช้าแล้ว
ลำดับนั้น พระศาสดา ครั้นทรงประกาศเนื้อความแห่งคาถานี้แก่พระราชาแล้ว จึงตรัสถามว่า "มหาบพิตร เสียงที่ ๒ เสียงที่ ๓ เสียงที่ ๔ พระองค์ได้สดับอย่างไร?"
เมื่อพระราชาทูลว่า "ชื่ออย่างนี้ พระเจ้าข้า"
เมื่อจะทรงยังอรรถที่เหลือให้บริบูรณ์ จึงตรัส (คาถา) ว่า : เมื่อเราทั้งหลาย ถูกไฟไหม้อยู่ในนรกครบ ๖ หมื่นปี โดยประการทั้งปวง เมื่อไร ที่สุดจักปรากฏ ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ที่สุดย่อมไม่มี ที่สุดจักมีแต่ที่ไหน ที่สุดจะไม่ปรากฏ เพราะว่ากรรมชั่ว อันเราและท่าน
ได้กระทำไว้แล้วในกาลนั้น เรานั้นไปจากที่นี่แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักเป็นผู้รู้
ถ้อยคำที่ยาจกกล่าว ถึงพร้อมด้วยศีล ทำกุศลให้มากแน่
พระศาสดา ครั้นตรัสคาถาเหล่านี้โดยลำดับ ประกาศเนื้อความแล้ว จึงตรัสว่า "มหาบพิตร ชนทั้ง ๔ นั้น ปรารถนาจะกล่าวคาถาตนละคาถา เมื่อไม่อาจจะกล่าวได้ กล่าวตนละอักษรเท่านั้น และลงไปสู่โลหกุมภีนั้นนั่นแลอีก ด้วยประการฉะนี้แล"
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น