ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรม ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ (ถอดเทปบันทึกเสียง โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล)
ทุกวันนี้ มีแต่เรื่องราวทั้งนั้นเลยพอมาสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ ก็รู้เรื่องราวไม่ปรากฏลักษณะแท้ๆ ของสภาพธรรมเลย ก็เป็นธรรมดา แล้วทำไมจึงเดือดร้อน ก็เป็นเรื่อง "ปกติ" ธรรมดา ที่ต้องเป็นไปอย่างนี้ ตามเหตุ ตามปัจจัยจนกว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ จะเป็นธรรมดาก็คือ เป็น "ธรรมะ" แต่ละประเภทๆ
แม้แต่ "ความเดือดร้อน" ก็เป็น สภาพธรรมประเภทหนึ่ง ใช่ไหม แล้วจะเดือดร้อนอะไร เมื่อเป็น "ความเข้าใจที่มั่นคง" ว่า ทุกอย่าง เป็น "ธรรมะ"ก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดแล้ว เพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้ว ดับไปแล้วด้วย
ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็น "ธรรมะ"คือ เข้าใจ ว่า ธรรมะ นั้น แม้ไม่มี ชื่อ แต่ก็มี "ลักษณะเฉพาะ" ของธรรมแต่ละประเภทๆ "ธรรมะทั้งหลาย"เมื่อเกิดปรากฏ ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วก็ต้องดับไปและไม่กลับมาอีกเลย
เพื่อที่จะ คลายการยึดถือสภาพธรรมทั้งหลายก็คือ เข้าใจ ว่า สภาพธรรมทั้งหลาย เพียงเกิด ปรากฏ ดับไปเมื่อหมดไปแล้ว จะยึดถือเพื่ออะไร ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ คือ เข้าใจ ว่า สิ่งใดก็ตาม ที่ปรากฏ ปรากฏ เพียง "ชั่วคราว" เมื่อมีเหตุ มีปัจจัย สภาพธรรมก็เกิด ตามเหตุ ตามปัจจัยเมื่อเกิดปรากฏแล้ว ก็ต้องดับไปดับหมดไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ คุณพุทธรักษา
คำสอนของท่านอาจารย์ตอนนี้น่าจะนำมาใช้ได้กับความเดือดร้อน ในหลายๆ เรื่อง เช่น
เดือดร้อนว่า ชีวิตชั่งวุ่นวายจริงๆ
ต้องทำงาน ต้องบริหาร ต้องรับผิดชอบ
ต้องหาเงิน ต้องเลี้ยงต้องดูแลครอบครัว
ต้องมีภาระต่อผู้อื่น ต้องเป็นภาระของผู้อื่น
ต้องผ่านสิ่งต่างๆ แต่ละวันที่ทั้งน่าพอใจ และ ไม่น่าพอใจ
"ไม่มีเวลาเป็น่ส่วนตัวที่จะศึกษาธรรมะเลย"
นี้ก็เดือดร้อนอีกแล้ว มีแต่เรื่องเดือดร้อน อึดอัด ขัดเคือง กลุ้มอก กลุ้มใจ เลยต้องย้ำคำสอนของท่านอาจารย์เสมอๆ ว่า
แม้แต่ "ความเดือดร้อน" ก็เป็น สภาพธรรมประเภทหนึ่ง ใช่ไหม แล้วจะเดือดร้อนอะไร เมื่อเป็น "ความเข้าใจที่มั่นคง" ว่า ทุกอย่าง เป็น "ธรรมะ"ก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดแล้ว เพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้ว ดับไปแล้วด้วย
ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ
จะเป็นประโยชน์ ถ้าคุณจักกฤษณ์ จะพิจารณาเพิ่มอีกสักนิด ว่า"ไม่มีเวลาเป็น่ส่วนตัวที่จะศึกษาธรรมะเลย" ตามเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น
จริงๆ แล้ว เคยได้ยินท่านอาจารย์สนทนากับท่านผู้ฟังท่านหนึ่งว่า ...ท่านผู้ฟังคิดว่า ไม่มีเวลาศึกษาพระธรรม แต่จริงๆ แล้ว เวลาที่ศึกษาพระธรรม มีอยู่ตลอดขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสทางกาย และ คิดนึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ ในชีวิตประจำวัน ตามปกติ ตามความเป็นจริง ของแต่ละบุคคล
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณจักรกฤษณ์ ค่ะ
สาธุ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ต้องไม่ลืมและมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เราและเป็นอนัตตา เมื่อปัญญายังไม่พอที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏ ก็ปรากฏไม่ได้ และที่สำคัญไม่ใช่ปรากฏกับเราด้วย แต่ปรากฏกับสติสัมปชัญญะ ต้องมั่นคงว่า ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง และไม่มีตัวเราที่ต้องการให้สภาพธรรม ปรากฏเร็วๆ
ขออนุโมทนา
ชีวิตประจำวันเป็นแบบฝึกหัดที่ดี เป็นบททดสอบความเข้าใจและปัญญาของเราได้อย่างดีเยี่ยม ต้องอาจหาญ ร่าเริงที่จะสู้กับกิเลสเพราะเกิดขึ้นได้...ทุกที่และทุกเวลาค่ะ
เรียน คุณพุทธรักษา ความเห็นที่ ๒
ขอบพระคุณมากครับที่กรุณาแนะนำเพิ่มเติมคำสอนที่มีค่า เป็นสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงและลืมอยู่เสมอ และเดือดร้อนเป็นประจำเลยครับ
ขออนุโมทนาอีกครั้งครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ