ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๐๘๗
บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
... ธรรมไม่เหมือนยาในร้านขายยา ...
มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังถึงเพื่อนท่านคนหนึ่ง เวลาที่ได้ฟังวิทยุเรื่องแนวทางเจริญวิปัสสนา ก็รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ตรงกับใจที่กำลังต้องการฟังธรรมบางประการ เช่น อยากจะฟังเรื่องเมตตา แต่ในวันที่เปิดวิทยุ ก็ไม่ได้รับฟังเรื่องเมตตา เป็นเรื่องอื่นก็ไม่ตรงกับใจของท่าน เพราะท่านคงอยากจะเป็นผู้ที่เจริญเมตตา
แต่อย่าลืมว่า ถึงแม้จะรู้ว่า เมตตาคืออะไร มีลักษณะอย่างไร เกิดขึ้นในขณะไหนก็ตาม ถึงอย่างนั้นอกุศลจิตก็ยังเกิดอยู่ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีใครรู้เรื่องของเมตตาแล้ว จะมีเมตตาอยู่ได้ตลอดเวลา โดยที่อกุศลจิตไม่เกิดเลย เพราะอกุศลธรรมเป็นพืชเชื้อที่ตายยาก ดับยาก ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม โดยถ่องแท้โดยละเอียด ถูกต้องจริงๆ อกุศลธรรมทั้งหลายไม่สามารถที่จะดับได้ ถึงแม้ว่าจะได้ฟังเรื่องของเมตตา หรือเรื่องของกุศลนานาประการก็ตาม อกุศลก็ยังเกิดอยู่
แต่ข้อสำคัญที่สุด ก็คือจะต้องรู้ว่า ขณะใดเป็นกุศลขณะใดเป็นอกุศล ในขณะนี้ อย่าลืมนะคะ นี่เป็นเหตุที่จะต้องศึกษาธรรมโดยละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ เพราะมิฉะนั้น จะเข้าใจ (ผิด) ว่า อกุศลเป็นกุศลได้ อย่างท่านที่ต้องการจะมีเมตตา เป็นเพราะท่านไม่ต้องการที่จะมีโทสะ เพราะฉะนั้นท่านจึงปรารถนาที่จะมีเมตตา แต่เวลาที่โทสะไม่เกิดขึ้นไม่ทราบว่าท่านจะเห็นโทษของโลภมูลจิต และโมหมูลจิตหรือเปล่า ว่าแท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมที่เป็นอกุศลนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่เวลาที่เป็นโทสะ แม้ในขณะที่เป็นโลภะหรือโมหะ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลแล้ว
และข้อสำคัญก็คือว่า ลักษณะของอกุศลที่ละเอียดซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าเป็นอกุศล ก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นกุศล ด้วยเหตุนี้ ถ้าสามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏกับตัวท่านโดยละเอียด ก็ยิ่งจะมีปัจจัยที่จะทำให้รู้ได้ถูกต้องว่า จิตในขณะนี้ เป็นกุศลหรืออกุศล เพื่อที่จะได้อบรมเจริญกุศลได้ยิ่งขึ้น มิฉะนั้นก็จะมีแต่ความต้องการธรรมบางประการ เหมือนกับยาบางชนิดในร้านขายยา เวลาที่เป็นโรคชนิดหนึ่งชนิดใด ก็อยากจะซื้อยาชนิดนั้นมาบำบัดโรค แต่ธรรมไม่ใช่อย่างนั้น เพราะจะต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ซึ่งเมื่อได้ศึกษาธรรมยิ่งขึ้น ก็จะเห็นได้ว่า ต้องอาศัยการพิจารณา การไตร่ตรอง จนกว่าจะเป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการท่องจำแต่เป็นเรื่องของการพิจารณาในเหตุผล จนกว่าจะเข้าใจ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมที่บรรเทาได้ยากไว้ ดังนี้
[๑๖๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรม ๕ ประการนี้เกิดขึ้นแล้วบรรเทาได้ยากธรรม ๕ ประการเป็นไฉน? คือ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ปฏิภาณ ๑ จิตคิดจะไป ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรม ๕ ประการนี้ เกิดขึ้นแล้วบรรเทาได้ยาก.
๑๐. ทุพพิโนทยสูตร ว่าด้วยธรรมที่บรรเทาได้ยาก
[เล่มที่ 36] อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๓๓๕
ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ที่พึ่งอันเกษมสูงสุดของข้าพเจ้า
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
หากทุกคนสามารถเลือกสภาพธรรมะได้ คงไม่มีใครเลือกที่จะได้รับทุกขเวทนากายใจ คงยินดีรับแต่สุขเวทนา
แต่ความจริงคือความจริง
แต่ละคนสร้างเหตุต่างๆ ไว้อย่างมากมายในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานไม่มีที่สุด ทั้งกุศลเหตุและอกุศลเหตุ มีเหตุ แล้วผลจะไปที่ไหนได้ ผล...ย่อมไหลมาสู่ผู้นั้นเอง
ขออนุโมทนาคุณสารธรรม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาคะ
ไม่ว่าเราจะป่วยด้วยโรคอะไร โรคกาย โรคใจ โรคกิเลส แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาด ได้ด้วยธรรมโอสถ คือการอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งถึงอรหัตตมรรคดับกิเลสหมดค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชา ก็ยังต้องมีการเกิดอยู่ร่ำไป สังสารวัฏฏ์ยังดำเนินต่อไป มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นโรคทั้งทางกายบ้าง เป็นโรคใจ (โรคกิเลส) บ้าง ประสบกับความเดือดร้อนประการต่างๆ อันเนื่องมาจากภพชาติที่ยังเหลืออยู่ ในแต่ละวันมีอกุศลมาก ถูกกิเลสครอบงำอย่างมาก ดังนั้น เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ย่อมไม่สามารถที่จะรู้จักอกุศลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง การที่จะขัดเกลาหรือละอกุศลให้หมดไปนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงต้องสั่งสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ด้วยการฟัง การพิจารณา น้อมประพฤติปฏิบัติตาม แต่ไม่ใช่ว่าได้ฟังธรรมวันนี้แล้ว กิเลสจะหมดภายในวันนี้หรือภายในวันพรุ่งนี้ เรื่องดับกิเลสให้หมดไปนั้น เป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่ในแต่ละวันย่อมสามารถที่จะเริ่มต้นได้ โดยเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่ขาดการฟัง ซึ่งจะทำให้ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกเจริญขึ้นได้ มั่นคงในเหตุในผลของธรรม ธรรมไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ฟังให้เข้าใจจนกว่าจะประจักษ์แจ้งได้จริงๆ ว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ