ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นในขณะที่ได้ยิน มีเสียงปรากฏตอนหนึ่ง แล้วก็คิดถึงความหมายของเสียงที่ได้ยินอีกตอนหนึ่ง นี่คือการจะไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ บุคคล ไมใช่เพียงนึกๆ เอาว่าไม่ใช่ ตัวตน สัตว์ บุคคล แต่เป็นการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมทางตา ซึ่งไม่ใช่ทางหู......ทางกาย ทางใจ ทางหูก็ไม่ใช่ทางตา...กาย ใจ คือ การสามารถที่ จะแยกรู้ลักษณะที่ต่างกันจริงๆ โดยอาศัยการอบรม คือ การฟังจนเข้าใจ
เพราะฉะนั้นในชาติหนึ่งๆ ที่ทุกท่านอบรมเพื่อที่จะให้ถึงพระนิพพาน ก็จะไม่พ้นจากฟังให้เข้าใจ พร้อมกับเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน แม้ทีละเล็กทีละน้อย วันละนิดวันละหน่อย หรือว่าชาติละนิดชาติละหน่อยก็ตามแต่ แต่นี่คือการอบรมเจริญปัญญา เราจะไม่เอาอย่างอื่นเลย ไม่ได้ต้องการสติมากๆ เอามาทำไม เอาสมาธิมามากๆ เอามาทำไม ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องอบรมด้วยการฟัง ซึ่งในขณะนี้กำลังเป็นการภาวนาอยู่ คือ อบรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น สติปัฏฐานเกิดระลึกขึ้น พิจารณาจนกระทั่งรู้ จนกระทั่งแจ่มแจ้งขึ้น จนกระทั่งชัดขึ้น
เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ต้องอดทนมากทีเดียวค่ะ ที่จะไม่อยาก เพราะว่าเรื่องของความอยากเป็นเรื่่องที่ธรรมดา อยากไปหมดเสียทุกอย่าง จนกระทั่งแม้จะอยากรู้แจ้งนิพพาน อยากที่จะให้ วิปัสสนาญาณเกิด อยากจะรู้ว่า นามธรรมเป็นอย่างไร รูปธรรมเป็นอย่างไร แต่อะไรจะละคลายความอยากซึ่งเป็นโลภะได้ เพราะว่าในขณะนั้นเป็นเพียงความอยาก ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ด้วยว่า หนทางที่จะละคลายความอยาก แม้อยากอย่างนี้ ก็ต้องละด้วยสติที่ระลึกศึกษาลักษณะ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันทีเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่น แต่ก็ต้องอาศัยการฟัง ไปจนกระทั่งมีปัจจัย พอทีจะให้ สติระลึกทางตา ทางกาย ทางใจ โดยไม่บังคับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
นี่เป็นวิริยารัมพกถาให้เกิดความอาจหาญ ร่าเริงจริงๆ ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
หนทางมีครับ คือการฟังพระธรรมที่ถูกต้องให้เข้าใจ อย่างแจ่มแจ้ง และประพฤติปฏิบัติตาม แต่เป็นจิรกาลภาวนา นะครับ
ขออนุโมทนาครับ