[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 357
อรรถกถาสูตรที่ ๕
ประวัติพระเรวตเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 357
อรรถกถาสูตรที่ ๕
ประวัติพระเรวตเถระ
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้.
บทว่า อารญฺกานํ ได้แก่ ผู้มีปกติอยู่ป่าเป็นวัตร บทว่า เรวโต ขทิรวนิโย ได้แก่ น้องชายคนเล็กของพระธรรมเสนาบดีเถระ ท่านมิได้อยู่เหมือนอย่างพระเถระเหล่าอื่น เมื่อจะอยู่ในป่าก็ต้องเลือกป่า น้ำ และที่ภิกขาจารที่ถูกใจจึงอยู่ในป่า แต่ท่านไม่ยึดถือของที่ถูกใจเหล่านี้ อาศัยอยู่ในป่าตะเคียน ที่ขรุขระด้วยก้อนกรวด และก้อนหินบนที่ดอน ฉะนั้น ท่านจึงชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า ในอดีตกาลครั้งพระปทุมุตตระพุทธเจ้า พระเรวตะนี้บังเกิดในหงสวดี อาศัยกระทำการงานทางเรือ ที่ท่าปยาคประดิษฐาน ในแม่น้ำคงคา สมัยนั้น พระศาสดามีภิกษุแสนหนึ่งเป็นบริวาร เสด็จจาริกไปจนถึงท่าปยาคประดิษฐาน เขาเห็นพระทศพลแล้วคิดว่า เราไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งคราว ขณะนี้เป็นขณะที่เราจะได้ขวนขวายกัลยาณกรรมไว้ จึงให้ผูกเรือขนานต่อกัน ดาดเพดานผ้าข้างบน ห้อยพวงมาลาของหอม เป็นต้น ลาดเครื่องลาดอันวิจิตร ประกอบด้วยผ้าเปลือกไม้ นิมนต์พระศาสดาพร้อมทั้งบริวาร เสด็จข้ามฟาก ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุ ผู้อยู่ป่าเป็นวัตรองค์หนึ่ง ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ นายเรือนั้นเห็นภิกษุนั้น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 358
จึงคิดว่า แม้เราก็ควรเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ดังนี้เหมือนกัน จึงนิมนต์พระศาสดาถวายมหาทาน ๗ วัน หมอบ ณ แทบบาทมูลของพระศาสดา กระทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคต เหมือนอย่างภิกษุ ที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะเถิด พระศาสดาทรงเห็นว่า หาอันตรายมิได้ ทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคต ท่านจักเป็นผู้ยอดในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า แล้วเสด็จกลับไป แต่มิได้กล่าวถึงกรรมในระหว่างไว้.
ท่านกระทำกัลยาณกรรมจนตลอดชีพ เวียนว่ายอยู่ในเทวโลก และมนุษย์ในพุทธุปบาทกาลนี้ จึงมาถือปฏิสนธิ ในท้องแห่งนางสารีพราหมณี ในตำบลบ้านพราหมณ์ ชื่อ นาลกะ เขตมคธ เกิดเป็นน้องสุดท้อง ของพี่ชาย ๓ คน พี่สาว ๓ คน มารดาบิดาชื่อว่า เรวตะ คราวนั้น มารดาบิดาของท่านคิดว่า เมื่อลูกของเราเจริญโตแล้ว เหล่าพระสมณศากยะบุตรก็มานำเอาไปบวชเสีย เราจักผูกเรวตะลูกคนเล็กของเราไว้ ด้วยเครื่องผูกคือเรือน ดังนี้แล้ว นำนางทาริกาจากสกุลที่เสมอกัน มาให้ไหว้ย่าของเรวตะแล้วกล่าวว่า แน่ะแม่ เจ้าจงเป็นคนแก่ยิ่งกว่าย่าของเจ้า เรวตะฟังถ้อยคำของตนเหล่านั้น แล้วคิดว่า นางทาริกานี้ยังอยู่ในปฐมวัย เขาว่ารูปมีอย่างนี้ ของนางทาริกานี้ จักเป็นเหมือนรูปย่าของเรา เราจักถามความประสงค์ของคนเหล่านั้นก่อน แล้วจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะกระทำอย่างไร มารดาบิดาตอบว่า "เราบอกว่า พ่อเอ๋ย หญิงนี้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 359
จะถึงความชราเหมือนอย่างย่าของเจ้า". เรวตะนั้นถามว่า รูปของหญิงนี้จักเป็นเหมือนอย่างนี้หรือ. มารดาบิดาตอบว่า พ่อเอ๋ย เจ้าพูดอะไร ผู้มีบุญมากก็จะเป็นอย่างนี้ เรวตะนั้นคิดว่า ได้ยินว่า รูปนี้ก็จักมีหนังเหี่ยวโดยทำนองนี้ จักมีผมหงอก ฟันหักโดยทำนองนี้ เรายินดีในรูปเช่นนี้ จะทำอะไรได้ เราจักไปตามทางที่พี่ชายของเราไปแล้ว นั่นแหละ. จึงทำเป็นเหมือนยืนพูดกะเด็กหนุ่มๆ รุ่นๆ กันว่า มาเถอะพวกเรา เราไปวิ่งกันแล้วออกไปเสีย มารดาบิดากล่าวว่า พ่อในวันมงคล เจ้าอย่าไปข้างนอกเลย.
เรวตะนั้นทำเป็นเหมือนเล่นกับเด็กทั้งหลายอยู่ พอถึงวาระตนวิ่งก็ไปหน่อยหนึ่ง แล้วกลับเดินกลับช้าๆ พอถึงวาระอีกก็ไปให้เหมือนไกลกว่านั้น แล้วกลับมา ครั้งถึงวาระที่สามก็รู้ว่า คราวนี้เป็นเวลาของเราจะหนีไปในที่ต่อหน้า นั่นเอง ไปจนถึงป่า ซึ่งเป็นที่อยู่ของภิกษุผู้ถือบังสุกุลเป็นวัตร อภิวาทพระเถระแล้ว ขอบรรพชาพระเถระกล่าวว่า สัปบุรุษ เราไม่รู้จักเธอ เธอเป็นลูกของใคร และเธอก็มาโดยทั้งที่แต่งตัวอยู่เช่นนี้ ใครจะสามารถให้เธอบวชได้เล่า เขายกแขนทั้ง ๒ ขึ้นร้องเสียงดังว่า เขาปล้นฉัน เขาปล้นฉัน ดังนี้ พวกภิกษุก็มามุงทั้งข้างโน้นข้างนี้ กล่าวว่า สัปบุรุษ ในที่นี้ไม่มีใครที่ชื่อว่า ปล้นผ้า หรือเครื่องประดับของเธอเลย เธอจะพูดว่า เขาปล้นอย่างไร เรวตะกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ผมมิได้กล่าวหมายถึงผ้า และเครื่องประดับ แต่กล่าวหมายถึง พวกท่านยังปล้นสมบัติข้างใน ไม่ต้องบวชผมก่อน โปรดบอกให้พี่ชายของข้าพเจ้าทราบก่อน ภิกษุถามว่า ก็พี่ชายของเธอชื่อไร ร.ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ชื่อ อุปติสสะ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 360
แต่ในเวลานี้ คนทั้งหลายเรียกว่า สารีบุตร ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า อาวุโส เมื่อเป็นอย่างนั้น กุลบุตรผู้นี้ ก็เป็นน้องชายคนเล็กของพวกเรา พระธรรมเสนาบดีพี่ชายใหญ่ของเรา พูดไว้ก่อนเทียวว่า พวกญาติของเราล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ญาติของเราคนใดคนหนึ่งมา ก็จงให้เขาบวช ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งเถิด ดังนั้น จึงกล่าวว่า กุลบุตรนี้ เป็นน้องตัวของพระเถระ ท่านทั้งหลายจงให้เธอบวชเถิด ดังนี้แล้ว บอกตจปัญจกกัมมัฏฐานแล้ว พระเถระเรียนกัมมัฏฐานแล้ว เข้าไปสู่ป่าไม้ตะเคียน ซึ่งมีประการดังกล่าว ไว้ในที่ไม่ไกลอุปัชฌาย์อาจารย์บำเพ็ญสมณธรรม เมื่อท่านเพียรพยายามอยู่ด้วยตั้งใจว่า เรายังไม่บรรลุพระอรหัต ก็จักไม่ไปเฝ้าพระทศพล หรือพระเถระพี่ชาย ล่วงไป ๓ เดือน เป็นสัตว์ผู้สุขุมาลชาติบริโภคโภชนะอันปอนจิต ก็ไม่ประณีต ไม่มุ่งหน้าอยู่ในพระกัมมัฏฐาน โดยล่วงไป ๓ เดือนปวารณาออกพรรษาแล้ว จึงบำเพ็ญสมณธรรมในที่นั้น นั่นแหละ เมื่อท่านบำเพ็ญสมณธรรมอยู่จิตก็มีอารมณ์เป็นอันเดียวแล้ว ท่านเจริญวิปัสสนาแล้ว บรรลุพระอรหัต
ครั้งนี้ ท่านพระสารีบุตรทูลพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า เรวตะน้องคนเล็กของข้าพระองค์ออกบวช เธอจะยินดีหรือไม่ยินดี ข้าพระองค์จักไปเยี่ยมเธอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พระเรวตะเริ่มวิปัสสนาแล้ว จึงทรงห้ามเสีย ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ ท่านทูลวิงวอนอีก ทรงทราบว่าบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงตรัสว่า สารีบุตร แม้เราก็จักไปด้วย เธอจงบอกภิกษุทั้งหลายเถิด พระเถระประชุมภิกษุสงฆ์แล้ว แจ้งแก่พระภิกษุทั้งปวงว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 361
อาวุโส พระศาสดามีพระประสงค์จะเสด็จจาริก รูปใดประสงค์จะไปด้วยก็จงมาเถิด ในเวลาที่พระทศพลเสด็จจาริก ชื่อว่า ภิกษุผู้ล้าหลังอยู่มีน้อย โดยมากภิกษุเป็นอันมากประสงค์จะไป เพราะคิดว่าจะเห็นพระสรีระของพระศาสดา ที่มีวรรณะเพียงดังทอง หรือจักฟังธรรมกถาอันไพเราะ ด้วยประการฉะนี้ พระศาสดามีภิกษุหมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกไปด้วยหมายจะเยือนพระเรวตะ พระอานนทเถระ ถึงทาง ๒ แพร่งในที่แห่งหนึ่ง ครั้งนั้น จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตรงนี้ทางเป็น ๒ แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า อานนท์ทางไหนละเป็นทางตรง พระเถระทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทางตรงมีระยะทาง ๓๐ โยชน์ เป็นทางของอมนุษย์ (เดิน) ส่วนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ เป็นทางปลอดภัยหาภิกษาได้ง่าย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ พระสีวลีมากับเราแล้วหรือ พระเถระมาด้วยพระเจ้าข้า ศ.ถ้าอย่างนั้น พระสงฆ์จงไปทางตรง เราจักทดลองบุญของพระสีวลี พระศาสดา มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวารเสด็จทางดง เพื่อทดลองบุญของพระสีวลีเถระ ตั้งต้นแต่ที่พระศาสดาเสด็จดำเนินขึ้นทาง หมู่เทพเนรมิตนครในที่ทุกๆ โยชน์ ตกแต่งวิหาร เพื่อเป็นที่อยู่ถวายภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เหล่าเทวบุตร เป็นเหมือนพวกกรรมกรที่พระราชาส่งไป ถือข้าวยาคู และของเคี้ยวเป็นต้น ไปถามว่า พระคุณเจ้าสีวลีอยู่ไหน พระคุณเจ้าสีวลีอยู่ไหน พระเถระให้รับเครื่องสักการะ สัมมานะไปยังสำนักพระศาสดา พระศาสดาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ทรงชื่นชมเครื่องสักการะและสัมมานะ โดยทำนองนี้แหละ เสด็จดำเนินไปสิ้นระยะทางวันละ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 362
โยชน์เป็นอย่างยิ่ง ล่วงทางกันดารถึง ๓๐ โยชน์ จนถึงที่พักอาศัยของพระขทิรวนิยเถระ.
พระเถระทราบว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงเนรมิตวิหารสถานที่อยู่ของตน ให้พอแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และพระคันธกุฏีที่พักกลางคืน ที่พักกลางวันเป็นต้น ถวายพระทศพลด้วยฤทธิ์ ออกไปรับเสด็จพระตถาคตแล้ว พระศาสดาเสด็จเข้าสู่วิหาร โดยทางที่ประดับแล้ว ตกแต่งแล้ว. คราวนั้น เมื่อพระตถาคตเสด็จเข้าพระคันธกุฏี ภิกษุทั้งหลายก็เข้าไปสู่เสนาสนะที่ถึงแล้ว โดยควรแก่พรรษา เทวดาคิดว่า เวลานี้มิใช่เวลาอาหาร จึงนำนำอัฏฐบานมาถวาย พระศาสดาทรงดื่มน้ำอัฏฐบานพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ โดยทำนองนี้ เมื่อพระตถาคตทรงชื่นชม สักการะสัมมานะล่วงไปกึ่งเดือน. ครั้งนั้น ภิกษุที่กระสันขึ้นบางพวก นั่งอยู่ในที่เดียวกัน สนทนากันขึ้นว่า พระศาสดาผู้ทศพลตรัสว่า "น้องชายคนเล็กของพระอัครสาวกของเรา" เสด็จมาเยือนภิกษุผู้นวกัมมิกะผู้ก่อสร้างเห็นปานนี้ คิดว่าเชตวันมหาวิหาร หรือเวฬุวันมหาวิหารเป็นต้น จักทำอะไรในสำนักแห่งวิหารนี้ได้ ภิกษุแม้นี้เป็นผู้กระทำนวกรรมเห็นปานนี้ จักกระทำสมณธรรมชื่ออะไรได้ ดังนี้.
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงดำริว่า เมื่อเราอยู่นานไป ที่นี้ก็จักเกลื่อนกล่น ธรรมดาภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ย่อมมีความต้องการความสงัด เรวตะจักอยู่ไม่ผาสุก แต่นั้นจึงเสด็จไปยังที่พักกลางวันของพระเรวตะ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 363
พระเถระนั่งบนแผ่นหินพิงแผ่นกระดานที่ห้อยลงไป ณ ท้ายที่จงกรมแต่ลำพังองค์เดียว เห็นพระศาสดาเสด็จมาแต่ที่ไกล จึงต้อนรับถวายบังคม, ที่นั้น พระศาสดาตรัสถามท่านว่า เรวตะ ที่นี้เป็นที่ประกอบด้วยพาลมฤค (สัตว์ร้าย) เธอได้ยินเสียงช้าง และม้าเป็นต้น ที่ดุร้าย ทำอย่างไรกะเสียงนั้น. พระเรวตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ได้ยินเสียงของสัตว์เหล่านั้น ย่อมเกิดความปีติอยู่ในป่า พระศาสดาตรัสพระดำรัสชื่อ อรัญญปัสสกถา ด้วยคาถา ๕๐๐ คาถา แด่พระเรวตะเถระ. วันรุ่งขึ้นเสด็จไปเพื่อบิณฑบาต ในที่ไม่ไกล แล้วเรียกพระเรวตะมา ทรงกระทำให้พวกภิกษุที่กล่าวติเตียนพระเถระ ให้หลงลืมไม้เท้า รองเท้า ทะนานน้ำมันและร่มไว้ ภิกษุเหล่านั้น ต้องกลับมาเพื่อเอาบริขารของตน เดินไปตามทางที่ตนมาแล้ว นั่นเอง ก็กำหนดสถานที่ที่ตนวางไว้ไม่ได้. ก็ทีแรกภิกษุเหล่านั้นเดินไปตามทางที่เขาประดับแล้ว แต่งแล้ว แต่ในวันนั้น กลับเดินไปตามทางขรุขระ ต้องนั่งกระหย่ง ต้องเดินไปด้วยเข่าในที่นั้นๆ ภิกษุเหล่านั้น ต่างเหยียบย่ำพุ่มไม้ กอไม้และหนามไปถึงที่ๆ ต้องอัธยาศัยที่ตนเคยอยู่ ก็พบร่มของตน บนตอไม้ตะเคียนนั้นๆ ได้ จำรองเท้า ไม้เท้า และทะนานน้ำมันได้ ในตอนนั้น พวกเธอจึงรู้ว่า ภิกษุนี้เป็นผู้มีฤทธิ์ ครั้นถือเอาบริขารของตนๆ แล้วพูดว่า ชื่อว่า สักการะที่ตกแต่งถวายพระทศพล ย่อมเป็นถึงเพียงนี้ พากันไปแล้ว.
นางวิสาขามหาอุบาสิกา ถามพวกภิกษุที่ไปข้างหน้า ในเวลาที่ท่านนั่งในเรือนของตนว่า ท่านผู้เจริญ ที่อยู่ของพระเรวตเถระ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 364
น่าพอใจหรือไม่ล่ะ ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า น่าพอใจอุบาสิกา เสนาสนะนั้น เปรียบด้วยสวนนันทวัน และสวนจิตลดาเป็นต้น ทีนั้น จึงถามภิกษุ ที่มาถึงภายหลังสุดของภิกษุเหล่านั้นว่า พระคุณเจ้า ที่อยู่ของพระเรวตเถระน่าพอใจไหม ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า อย่าถามเลยอุบาสิกา ที่นั้นเป็นที่ๆ ไม่สมควรจะพูดถึง ที่ดอนมีก้อนกรวด ก้อนหิน ป่าไม้ตะเคียนอย่างนี้ ภิกษุนั้นยังอยู่ในที่นั้นได้ มหาอุบาสิกาวิสาขา ฟังถ้อยคำของภิกษุที่มาก่อน และที่มาทีหลังแล้วคิดว่า ถ้อยคำของภิกษุพวกไหนหนอเป็นคำจริง ภายหลังภัตรถือเอาของหอมและดอกไม้ไปกระทำบำรุงพระทศพล ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง จึงทูลถามพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระคุณเจ้าบางพวกสรรเสริญที่อยู่ของพระเรวตเถระ บางพวกติ ข้อนี้เป็นอย่างไร พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนวิสาขามหาอุบาสิกา ที่ของพระอริยะจะเป็นที่น่ารื่นรมย์หรือไม่ เป็นที่น่ารื่นรมย์จงยกไว้ จิตของพระอริยะย่อมยินดีทั้งนั้น ที่นั้นชื่อว่า เป็นที่น่ารื่นรมย์แท้จริง ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า.
คาเม วา ยทิ วารญฺเญ นินฺเน วา ยทิ วา ถเล
ยตฺถ อรหนฺโต วิหรนฺติ ตํ ภูมิรามเณยฺยกนฺติ.
พระอรหันต์ทั้งหลาย อยู่ในที่ใด ไม่ว่าเป็นบ้าน ป่า ที่ลุ่ม หรือที่ดอนก็ตาม ที่นั้นเป็นภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ทั้งนั้น ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 365
ต่อมาในภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ในท่ามกลางหมู่พระอริยะ ในเชตวันมหาวิหาร ทรงสถาปนาพระเถระไว้ ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีปกติอยู่ในป่าเป็นวัตรแล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๕