การเกิดเป็นมนุษย์ที่มีความรอบคอบในการตัดสินใจ มีความเฉลียวฉลาดทางโลก เป็นถึงผู้นำของประเทศ จะเป็น ติเหตุกบุคคล (มีปัญญาเกิดร่วมกับปฏิสนธิจิต) ได้หรือไม่ เพราะปัญญาทางโลกไม่ใช่ปัญญาเจตสิก
การจะรู้ว่าใครปฏิสนธิเป็นติเหตุกะ หรือปฏิสนธิด้วยทวิเหตุกะ ไม่ใช่ฐานะของบุคคลทั่วไป คือ คนทั่วไปรู้ไม่ได้ว่าตนเองหรือผู้อื่นปฏิสนธิด้วยจิตประเภทใด นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น หรืออาจจะอนุมานได้ภายหลัง เช่น ถ้าผู้ใดเจริญสมถภาวนาจนบรรลุฌานอภิญญา หรือเจริญวิปัสสนาจนบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ผู้นั้นชื่อว่าปฏิสนธิด้วยติเหตุกะ แต่ถ้าไม่ได้บรรลุอะไร ย่อมไม่ทราบว่าปฏิสนธิด้วยกี่เหตุ ผู้ที่มีความฉลาดในวิชาการต่างๆ ในทางโลกนั่นไม่ได้หมายถึงผู้นั้นปฏิสนธิด้วยปัญญา
สาธุครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจจริงๆ ครับ ละเอียดลึกซึ้งมาก คงต้องฟังอีกหลายรอบเลยกว่าที่จะเข้าใจ
ปัญญาทางโลก ไม่สามารถทำให้เราออกจากสังสารวัฎฏ์ ไม่เหมือนปัญญาทางธรรม ที่รู้ว่านี้ทุกข์ นี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้เป็นหนทางแห่งความดับทุกข์
ปัญญาทางธรรมประเสริฐกว่า และถึงแม้ว่าเราไม่ได้ปฏิสนธิด้วยติเหตุกบุคคล ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็สามารถสะสมเหตุใหม่ด้วยการฟังธรรมะเป็นอุปนิสัยให้มีปัญญาในชาติต่อไปค่ะ
เคยฟังธรรมมาว่า แม้ว่าปัญญาทางโลก จะไม่สามารถบ่งถึงการที่เกิดมาเป็นติเหตุกบุคคลได้ แต่ปัญญาทางโลก ก็เป็นแววแห่งปัญญาในทางธรรมอย่างหนึ่งใช่ไหมครับ มันมีความสัมพันธ์กันอยู่เหมือนกัน
ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยปัญญาย่อมมีความฉลาดทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นผู้ฉลาดคือเห็นในโลกทั้งสอง
ใช่ครับ อย่างในชาติที่ พระโพธิสัตว์ เกิดเป็นมโหสถบัณฑิต ก็ได้แสดงถึงความเด่นชัดของปัญญาบารมี ในการสงคราม ที่ไม่ต้องเสียเลือดสักหยดในการต่อสู้กับพระเจ้าจุลลนี (อดีตชาติของท่านพระสารีบุตร)
ขออนุโมทนาครับ