[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 32
๔. เอกาภิญญาสูตร
ความเป็นพระอริยบุคคลระดับต่างๆ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 31]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 32
๔. เอกาภิญญาสูตร
ความเป็นพระอริยบุคคลระดับต่างๆ
[๘๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้แล.
[๙๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นพระอรหันต์ เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้เต็มบริบูรณ์ เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี เป็นพระสกทาคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นพระโสดาบันผู้เอกพีชี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระสกทาคามี เป็นพระโสดาบันผู้โกลังโกละ เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบันผู้เอกพีชี เป็นพระโสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะ เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบันผู้โกลังโกละ เป็นพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะ เป็นพระโสดาบันผู้สัทธานุสารี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารี.
จบเอกาภิญญาสูตรที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 33
อรรถกถาเอกาภิญญาสูตร
สูตรที่ ๔.
พึงทราบความคละปนกันโดยวิปัสสนาด้วยคำว่า ตโต มุทุตเรหิ.
คือ อินทรีย์ทั้ง ๕ อย่างที่สมบูรณ์แล้ว ก็ย่อมชื่อว่าวิปัสสนินทรีย์ของอรหัตตมรรค. ที่อ่อนกว่านั้น ก็เป็นของอันตราปรินิพพายี ฯลฯ ชื่อว่าเป็นวิปัสสนินทรีย์ ของอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี.
แม้ในฐานะนี้ ก็พึงชักเอาแต่ความเจือปนกันทั้งห้าอย่างที่ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรคออกตามนัยก่อนเหมือนกัน.
และในที่นี้ต้องชักเอาความเจือปนห้าอย่างออกมาเหมือนที่ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค ต้องชักเอาความเจือปนสามอย่างออกมาตามนัยก่อนนั่นแหละ.
ก็วิปัสสนินทรีย์แห่งโสดาปัตติมรรคอ่อนกว่าวิปัสสนินทรีย์ของสกทาคามิมรรค และวิปัสสนินทรีย์ของมรรคของเอกพีชีเป็นต้น ก็อ่อนกว่าวิปัสสนินทรีย์เหล่านั้นของโสดาปัตติมรรค.
และก็พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เอกพีชี มีพืชเดียวนี้ต่อไป บุคคลใดได้เป็นพระโสดาบันแล้ว ละเพียงอัตภาพเดียวเท่านั้น แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ บุคคลนี้ ชื่อ เอกพีชี.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ก็แล เอกพีชีบุคคล เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดไปอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นพระโสดาบัน ซึ่งไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ มุ่งหน้าแต่จะตรัสรู้ ท่องเที่ยวไปสู่ภพมนุษย์อีกครั้งเดียวเท่านั้นแล้ว ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า เอกพีชี.
ส่วนบุคคลใด ท่องเที่ยวไปสองสามภพแล้ว จึงจะทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้ชื่อ โกลังโกละ ผู้ออกจากตระกูลไปสู่ตระกูล.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 34
ก็แล โกลังโกลบุคคล เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดไปอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นพระโสดาบัน ซึ่งไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดา แน่นอนมุ่งหน้าแต่จะตรัสรู้ เขาเที่ยววิ่งไปอีกสองหรือสามตระกูลแล้ว จึงจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า โกลังโกละ.
พึงทราบว่า ตระกูล ในพระพุทธดำรัสนั้น ได้แก่ ภพ.
และคำว่า สองหรือสาม นี้ สักว่าเป็นการแสดงในที่นี้เท่านั้น เพราะผู้ท่องเที่ยวไปจนถึงภพที่ ๖ ก็ยังเป็นโกลังโกละอยู่นั่นเอง.
ผู้ที่เกิดขึ้นอีกอย่างมากก็แค่เจ็ดครั้ง ไม่ถือเอาภพที่แปด นี้ชื่อ สัตตักขัตตุปรมะ มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ก็แล สัตตักขัตตุปรมบุคคล เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นพระโสดาบันที่ไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้แน่นอน มุ่งหน้าแต่จะตรัสรู้ เขาท่องเที่ยวไปสู่เทพและมนุษย์ อีก ๗ ครั้งแล้ว จึงจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมะ.
ก็แล ฐานะของท่านเหล่านั้น ย่อมมีได้ด้วยอำนาจชื่อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาแล้ว คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาชื่อของท่านเหล่านี้ว่า ผู้ถึงฐานะเท่านี้ เป็นเอกพีชี เท่านี้เป็นโกลังโกละ เท่านี้เป็นสัตตักขัตตุปรมะ ส่วนที่กำหนดตายตัวลงไปว่า นี้เป็นเอกพีชี นี้เป็นโกลังโกละ นี้เป็นสัตตักขัตตุปรมะ ไม่มี.
ถามว่า ก็ใครกำหนดประเภทเท่านั้นเท่านี้ของท่านเหล่านั้นลงไป.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 35
ตอบว่า ก็พระเถระบางท่านกล่าวว่า บุรพเหตุ กำหนดลงไป บ้างก็ว่า ปฐมมรรค บ้างก็ว่า มรรค ๓ ข้างบน บ้างก็ว่า วิปัสสนาแห่งมรรคทั้ง ๓ กำหนดลงไป ในวาทะที่ว่า บุรพเหตุ กำหนดลงไปนั้น อุปนิสัยแห่งปฐมมรรค ย่อมชื่อเป็นอันท่านได้กระทำไว้แล้ว ย่อมพ้องกับคำว่า มรรค ๓ ข้างบน ก็เป็นอุปนิสัยที่เกิดแล้ว.
ในวาทะที่ว่า ปฐมมรรค กำหนดลงไป ก็จะไปติดกับข้อที่ว่ามรรค ๓ ข้างบนหาประโยชน์อะไรไม่ได้.
ในวาทะที่ว่า มรรค ๓ ข้างบน กำหนดลงไป ก็จะไปพ้องกับข้อว่า เมื่อปฐมมรรคยังไม่เกิดขึ้นเลย มรรค ๔ ข้างบนก็เกิดขึ้นแล้ว.
ส่วนวาทะที่ว่า วิปัสสนาแห่งมรรคทั้งสาม ย่อมกำหนดลงไป ถูก. เพราะว่า หากวิปัสสนาแห่งสามมรรคข้างบนมีกำลังพอ ก็ย่อมชื่อว่าเป็นเอกพีชี. ที่อ่อนกว่านั้น ก็เป็นโกลังโกละ. ที่อ่อนกว่านั้นอีก ก็เป็นสัตตักขัตตุปรมะ ด้วยประการฉะนี้.
จริงอยู่ พระโสดาบันบางท่านยังมีอัธยาศัยในวัฏฏะ ชอบวัฏฏะจึงท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะนั่นแหละอยู่ร่ำไป.
อนาถปิณฑิกเศรษฐี วิสาขาอุบาสิกา จุลลรถเทพบุตร มหารถเทพบุตร อเนกวรรณเทพบุตร ท้าวสักกเทวราช นาคทัตตเทพบุตร ท่านเหล่านี้เท่านี้แหละ ยังมีอัธยาศัยในวัฏฏะ ชอบวัฏฏะ ต้องชำระเทวโลกหกชั้นตั้งแต่ต้น แล้วดำรงอยู่ในชั้นอกนิฏฐพรหมโลก จึงจะปรินิพพาน ท่านเหล่านี้ ไม่ถือเอาในกรณีนี้.
ไม่ใช่แต่ท่านเหล่านี้เท่านั้น ผู้ที่ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษย์เท่านั้น ครบเจ็ดครั้งแล้ว จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ดี ผู้ที่เกิดในเทวโลกแล้วเที่ยวไปเที่ยวมาแต่ในเทวโลกเท่านั้นจนครบเจ็ดครั้ง แล้วจึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ดี แม้ท่านพวกนี้ ก็ไม่ถือเอาในที่นี้ แต่ในที่นี้ถือเอาแต่ผู้ที่บางทีก็ท่องเที่ยวไปในมนุษย์ บางทีก็ในเทวดาแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะฉะนั้น คำว่า สัตตักขัตตุปรมะ นี้ พึงทราบว่า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 36
ในที่นี้ทรงแสดงชื่อของพระโสดาบันประเภทสุกขวิปัสสกที่ปะปนอยู่ในพระอริยบุคคลทั้ง ๘ หมวด.
สำหรับในบทว่า ธมฺมานุสารี ผู้ไปตามธรรม สทฺธานุสารี ผู้ไปตามความเชื่อถือ นี้ หมายความว่า ในศาสนานี้ มีธุระสองอย่างคือ ศรัทธาธุระ ปัญญาธุระ มีความตั้งมั่นสองอย่างคือ ตั้งมั่นในศรัทธา ตั้งมั่นในปัญญา สำหรับผู้ที่จะให้โลกุตรธรรมเกิดขึ้น.
ในธุระและความตั้งมั่นเหล่านั้น ภิกษุใด ถ้าอาจให้เกิดขึ้นด้วยศรัทธาได้ แล้วทำศรัทธาธุระว่า เราจะให้โลกุตรธรรมเกิดขึ้น แล้วยังโสดาปัตติมรรคให้เกิดขึ้นมาได้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สัทธานุสารี ผู้ไปตามความเชื่อถือในขณะแห่งมรรค.
ส่วนในขณะแห่งผลก็ชื่อว่า สัทธาวิมุต เป็นผู้หลุดพ้นด้วยความเชื่อถือ แบ่งเป็นสามพวกคือ เอกพีชี เป็นผู้มีพืช (การเกิด) ครั้งเดียว โกลังโกละ ผู้จากตระกูลสู่ตระกูล สัตตักขัตตุปรมะ ผู้อย่างมากก็เจ็ดครั้ง.
ในบุคคลเหล่านี้ บุคคลแต่ละคนย่อมถึงสี่พวกด้วยอำนาจแห่งทุกขาปฏิปทาเป็นต้น ฉะนั้น ด้วยศรัทธาธุระจึงมีอยู่ ๑๒ พวก.
ส่วนภิกษุใด ถ้าอาจให้เกิดด้วยปัญญาได้แล้วทำปัญญาธุระว่า เราจะให้โลกุตรธรรมเกิดขึ้น แล้วยังโสดาปัตติมรรคให้เกิดขึ้นมาได้ ภิกษุนั้น ในขณะแห่งมรรค ย่อมเป็นผู้ชื่อว่า ธัมมานุสารี ผู้ไปตามธรรม.
ส่วนในขณะแห่งผล ก็ชื่อว่า ปัญญาวิมุต เป็นผู้หลุดพ้นด้วยความรู้แจ่มชัด ซึ่งแบ่งเป็น ๑๒ พวกต่างด้วยพระอริยบุคคลมีเอกพีชีเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้ พระโสดาบันที่ดำรงอยู่ในมรรค ๒ ก็รวมเป็น ๒๔ พวก ไปในขณะแห่งผล.
เล่ากันมาว่า พระติสสเถระผู้ชำนาญพระไตรปิฎก คิดว่า เราจะชำระปิฎกทั้งสาม จึงไปสู่ฝั่งอื่น.
มีกุฏุมพีคนหนึ่ง บำรุงท่านด้วยปัจจัย ๔ พระเถระกล่าวว่า อุบาสก เราจะไปในเวลามา.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 37
กุฏุมพี. ที่ไหนครับ.
เถระ. สำนักอาจารย์และอุปัชฌาย์ ของอาตมา.
กุฏุมพี. กระผมไปด้วยไม่ได้หรอกครับ ก็แล กระผมรู้คุณพระศาสนาได้ ก็เพราะอาศัยพระคุณท่าน ลับหลังท่านแล้วกระผมจะเข้าไปหาภิกษุแบบไหนได้เล่า.
ลำดับนั้น พระเถระได้บอกเขาว่า ภิกษุใดที่สามารถเพื่อจะชี้พระโสดาบัน ๒๔ พวก พระสกทาคามี ๑๒ พวก พระอนาคามี ๔๘ พวก พระอรหันต์ ๑๒ พวก แล้วแสดงธรรมได้ ท่านควรบำรุงภิกษุเห็นปานนั้นเถิด ดังที่กล่าวมานี้ จึงเป็นอันว่าในพระสูตรนี้ พระองค์ได้ทรงแสดงวิปัสสนาไว้ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาเอกาภิญญาสูตรที่ ๔