ดิฉันชอบมีอารมณ์อยากด่าพระด่าเจ้าด้วยคำหยาบ กล่าวร้ายบ้าง ชอบคิดประทุษร้าย ชอบนึกภาพการทำร้ายท่าน บางทีก็ชอบสาปแช่งต่างๆ นานา โดยเฉพาะพระอริยเจ้า เหมือนจิตมันควบคุมไม่ได้ จิตมันอยากคิดชั่วตลอดเวลา เวลาจิตที่คิดชั่วออกไป ดิฉันจะคอยห้ามจิตตัวเอง หรือคอยเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า “มันไม่ดีนะ อย่าไปคิดแบบนั้น บาปหนัก” จะคอยเตือนตัวเองตลอด บางทีก็เจตนาคิดชั่วไปเลย คิดว่ามันจะจบแต่มันไม่จบให้ บางครั้งก็เผลอออกมาทางกายแบบไม่ค่อยรู้ตัว คือแสดงสีหน้า
เหมือนนางร้าย บางทีดูหนังตลกแล้วเผลอพูดคำหยาบออกมาตามหนัง จิตมันนึกถึงพระพุทธเจ้าพอดีเหมือนว่าเราไปด่าทานค่ะ รู้สึกกลัวมาก บางเวลาได้ยินเสียงพระสวดมนต์ จิตมันก็จะหาเรื่องกล่าวร้าย และมีครั้งหนึ่งค่ะเป็นหนักมาก อ่านเรื่องนรกโดยเฉพาะนรกขุมอเวจีและโลกันต์ อ่านเพื่อให้เกิดความกลัว จะได้ไม่ทำบาป อยู่ดีๆ จิตมันก็หาเรื่อง มันอยากแช่งพระอริยเจ้าลงไปในนรกนั้น ดิฉันพยายามห้ามจิตไม่ให้คิด ต่อสู้กับมันเพื่อไม่ให้คิดชั่วๆ แบบนั้น แต่มันห้ามไม่ได้ ทรมานมาก กลัวมาก เครียดมาก และก็ไม่แน่ใจว่าที่ชอบคิดแบบนี้มีเจตนาด้วยกี่ครั้ง ดิฉันงงตัวเองมาก รู้สึกกลัวตลอดเวลา จะทำอย่างไรดีคะ กลัวตกนรกสองขุมนี้มาก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังมี กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ซึ่งสิ่งที่ศึกษานั้นไม่พ้นจากขณะนี้เลย ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ถึงแม้จะมีสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แต่เพราะไม่รู้ จึงต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ก่อนอื่น เมื่อกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องเข้าใจให้ชัดเจน ในคำที่กล่าวถึงด้วย จึงจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาอย่างแท้จริง แม้กระทั่งคำว่า ความคิดนึก
ขณะที่คิด เป็นธรรมที่มีจริงเป็น จิต ที่คิด คิดถึงเรื่องราวต่างๆ จากการได้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง รวมไปถึงในขณะที่ฝันด้วย ดังนั้น ขณะที่คิด อะไรที่มีจริง ก็ต้องเป็น จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง (และเมื่อจิตเกิดขึ้น ก็ต้อง มีสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย) ส่วนเรื่องราวที่ จิต คิดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่รูปธรรมและนามธรรม แต่เป็นบัญญัติเรื่องราวต่างๆ เรื่องราวต่างๆ นั้น เป็นสิ่งที่จิตรู้ เรื่องราวจึงเป็น อารมณ์ของจิต ที่กำลังคิดในขณะนั้น ซึ่งก็จะเข้าใจไปถึงคำว่า อารมณ์ ด้วย เพราะสิ่งใดก็ตามที่จิตรู้สิ่งนั้นเป็น อารมณ์ ของจิต
เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ความเข้าใจถูก เห็นถูก ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงยิ่งขึ้น ว่ามีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นได้เลย แม้แต่ในขณะที่คิด ก็ไม่ใช่ตัวเราที่คิด แต่เป็นธรรม คือจิต เกิดขึ้นคิดในขณะนั้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะ เหตุ ปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
การคิดดี คิดไม่ดี ก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา แม้แต่ความคิดที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นได้ เพราะยังมีกิเลสที่เป็นปุถุชนที่ยังหนาด้วยกิเลส ซึ่งไม่สามารถจะบังคับไม่ให้คิดอย่างนั้นได้เลย แต่ต้องสะสมเหตุที่ถูกต้อง เพราะความคิดที่ดี และ ความคิดไม่ดีก็อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ความคิดที่ดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยความเห็นถูก คือ ปัญญา เป็นเหตุ สมดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด สัมมาสัมกัปปะ คือ ความคิดที่ถูก เพราะฉะนั้น ก็ควรเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดความคิดไม่ดีได้แน่ แม้แต่ที่ผู้ถามกล่าวมา แต่ที่สำคัญ ควรสะสมเหตุที่จะเกิดความคิดที่ดี คือ สะสมความเห็นถูก สะสมสัมมาทิฏฐิ ซึ่งจะมีได้ ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม บ่อยๆ เนืองๆ เพราะ ถ้าไม่สะสมเหตุนี้ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดได้เลย เพราะไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิดความคิดที่ดี ครับ
ดังนั้น ก็สะสม อบรมปัญญาด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรมต่อไป ความคิดที่ถูก ที่ดี ก็จะเกิดเพิ่มขึ้น และ ความคิดที่ไม่ดี ก็จะน้อยลง ตามกำลังปัญญาที่เกิดจากการฟัง ศึกษาพระธรรม ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อกุศล เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นธรรมฝ่ายดำ เป็นธรรมที่เป็นพิษ ไม่นำประโยชน์อะไรมาให้เลย ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น และอกุศล ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ อกุศลจิต และ เจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ทั้งหมดเป็นอกุศล เนื่องจากแต่ละคนแต่ละท่านได้สะสมอกุศลมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์นับชาติไม่ถ้วน เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย อกุศลก็เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น เวลาโกรธ ไม่สบายใจ ไม่พอใจ ถ้าโกรธมาก ก็อาจจะไปทำร้ายเบียดเบียนคนอื่นได้ ทั้งนี้เพราะเคยสะสมโทสะมาแล้ว เวลาโลภะเกิด ก็มีความติดข้องต้องการ เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็เกิดโทสะ เกิดความไม่พอใจ และทุกขณะที่จิตเป็นอกุศล จะมีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ในชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติหน้าต่อไป ก็สะสมเป็นบุคคลอย่างนี้ ทำให้เป็นผู้เต็มไปด้วยอกุศลมากยิ่งขึ้น และถ้าสะสมมีกำลังมากขึ้นถึงขั้นกระทำอกุศลกรรม มีการเบียดเบียนบุคคลอื่น ด้วยกาย วาจา เป็นต้น
การกระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ นั้น ก็เป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ คือ ภูมิที่ไม่มีความเจริญในธรรม อันได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และ สัตว์ดิรัจฉาน ได้ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากอกุศล ทั้งหมด ซึ่งจะต่างกันกับขณะที่เป็นกุศลอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้เข้าใจได้ว่า อกุศล ทุกประการ น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรประมาทในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แต่ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม การศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ไม่ขาดการฟังพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลาอกุศลของตนเองต่อไป ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะขจัดอกุศลให้ห่างไกลจากจิตได้ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อกุศลจิตเกิดบ่อย เพราะ ยังเป็นปุถุชน แต่ สามารถศึกษาธรรมให้อกุศลน้อยลงได้ ค่ะ
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจตามความต้องการคะ
ขออนุโมทนาคะที่คิดจะไม่เป็นแบบนี้
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ