[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 304
สูตรที่ ๙
ว่าด้วยโลกบัญญัติคําว่ามารดาเป็นต้น เพราะอาศัยธรรมฝ่ายขาว ๒ อย่าง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 33]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 304
สูตรที่ ๙
ว่าด้วยโลกบัญญัติคำว่ามารดาเป็นต้น เพราะอาศัยธรรมฝ่ายขาว ๒ อย่าง
[๒๕๕] ๙. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมฝ่ายขาว ๒ อย่างนี้ ย่อมคุ้มครองโลก ๒ อย่างเป็นไฉน คือ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมฝ่ายขาว ๒ อย่างนี้แล ถ้าธรรมฝ่ายขาว ๒ อย่างนี้ ไม่พึงคุ้มครองโลก ใครๆ ในโลกนี้จะไม่พึงบัญญัติ ว่ามารดา ว่าน้า ว่าป้า ว่าภรรยาของอาจารย์ หรือว่าภรรยาของครู โลกจักถึงความสำส่อนกัน เหมือนกับพวกแพะ พวกแกะ พวกไก่ พวกหนู พวกสุนัขบ้าน และพวกสุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมฝ่ายขาว ๒ อย่างนี้ ยังคุ้มครองโลกอยู่ ฉะนั้น โลกจึงบัญญัติคำว่ามารดา ว่าน้า ว่าป้า ว่าภรรยาของอาจารย์ หรือว่าภรรยาของครูอยู่.
จบสูตรที่ ๙
อรรถกถาสูตรที่ ๙
ในสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า โลกํ ปาเลนฺติ ความว่า ย่อมดำรงโลกไว้ คือ ให้อยู่ ได้แก่ รักษาไว้. บทว่า นยิธ ปฺญาเยถ มาตา ความว่า มารดาผู้ให้กำเนิดในโลกนี้ จะไม่พึงปรากฏเป็นที่เคารพนับถือว่า หญิงผู้นี้เป็นมารดาของเรา แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สมฺเภทํ ได้แก่ ความระคนกัน หรือความไม่มีขอบเขต. ในคำว่า ยถา อเชฬกา เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า ด้วยว่า สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่สำนึกด้วยความเคารพนับถือว่า หญิงผู้นี้เป็นมารดาของเรา หรือว่าเป็นป้าของเรา ย่อมปฏิบัติผิดใน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 305
วัตถุที่ตนได้อาศัยเกิดขึ้นนั่นเอง ฉะนั้น เมื่อทรงเปรียบเทียบ จึงตรัสพระพุทธพจน์ว่า ยถา อเชฬกา เป็นต้น.
จบสูตรที่ ๙