[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 199
๑. อิตถิวิมานวัตถุ
จิตตลดาวรรคที่ ๒
๗. อุโบสถาวิมาน
ว่าด้วยอุโบสถาวิมาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 199
๗. อุโบสถาวิมาน
ว่าด้วยอุโบสถาวิมาน
[๒๔] ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามถึงบุรพกรรมของเทพธิดานั้นว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม มีรัศมีส่องสว่างไสวไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯลฯ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
นางเทพธิดานั้นถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้วดีใจ ก็ได้พยากรณ์ปัญหาแห่งกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ประชาชนรู้จักดิฉันว่าแม่อุโบสถา ดีฉันเป็นอุบาสิกาอยู่ในเมืองสาเกต เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธา และศีล ... ได้เป็นอุบาสิกาของพระโคดมผู้มีพระจักษุ สมบูรณ์ด้วยพระเกียรติยศ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 200
มีวรรณะเช่นนี้ ฯลฯ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เมื่อจะแสดงโทษอย่างหนึ่งของตน เทพธิดานั้นจึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาอีกว่า
ฉันทะความพอใจเกิดแก่ดีฉัน เพราะฟังเรื่องนันทนวันอยู่เนื่องๆ เพราะเหตุที่ตั้งใจไปในนันทนวันนั้น ดีฉันจึงเข้าถึงนันทนวันชั้นดาวดึงสพิภพ ดีฉันมิได้ทำตามพระวาจาของพระศาสดาพุทธเจ้าเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ตั้งจิตไว้ในภพอันเลว จึงมีความร้อนใจในภายหลัง.
เพื่อจะปลุกใจนางเทพธิดานั้น พระมหาโมคคัลลานเถระจึงกล่าวคาถานี้ว่า
ดูก่อนอุโบสถาเทพธิดา ท่านจะอยู่ในวิมานนี้นานเท่าไร ท่านถูกอาตมาถามแล้ว โปรดบอกเถิดถ้าท่านรู้อายุ.
เทพธิดานั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านมหาปราชญ์ ดีฉันจักดำรงอยู่ในวิมานนี้สามโกฏิหกหมื่นปี จุติจากที่นี้แล้ว จึงจักไปบังเกิดเป็นมนุษย์.
พระมหาโมคคัลลานเถระปลุกเทพธิดานั้นให้อาจหาญด้วยคาถานี้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 201
ดูก่อนอุโบสถาเทพธิดา ท่านอย่ากลับไปเลย ท่านเป็นผู้อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้แล้วว่า ท่านจักถึงคุณวิเศษเป็นพระโสดาบัน ทุคติท่านก็ละได้แล้วนี่.
จบอุโบสถาวิมาน
อรรถกถาอุโบสถาวิมาน
อุโบสถาวิมานมีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน ดังนี้เป็นต้น. อุโบสถาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
อัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่องในข้อนี้มีแปลกกันเท่านี้ว่า อุบาสิกาคนหนึ่งชื่ออุโบสถาในเมืองสาเกต. คำที่เหลือเช่นเดียวกับวิมานติดๆ กัน. ด้วยเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ฯลฯ รัศมีของท่านจึงส่องสว่างไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้นถูกพระโมคัลลานเถระถามแล้วดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ดีฉันเป็นอุบาสิกาอยู่ในเมืองสาเกต ประชาชนรู้จักดิฉันว่า อุโบสถา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาและศีล ยินดีแล้วในจำแนกทานเสมอ มีจิตผ่องใส ได้ถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร เสนาสนะ และเครื่องประทีปในพระอริยะผู้ปฏิบัติตรง ดีฉันได้เข้ารักษาอุโบสถศีล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 202
อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ตลอดวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และวัน ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ด้วย เป็นผู้สำรวมด้วยดีในศีลเสมอ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต เว้นห่างไกลจากอทินนาทาน จากการประพฤติผิดในกาม สำรวมจากมุสาวาท และจากการดื่มน้ำเมา ดีฉันเป็นผู้ยินดีในสิกขาบททั้ง ๕ มีปัญญาเฉลียวฉลาดในอริยสัจ เป็นอุบาสิกาของพระโคดมผู้มีพระจักษุ และพระเกียรติยศ เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึงเป็นผู้มีรัศมีเช่นนี้ ฯลฯ และ รัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้นเมื่อจะแสดงโทษอย่างหนึ่งของตน จึงได้กล่าวคาถา ๗ คาถาอีกว่า
ฉันทะความพอใจเกิดขึ้นแก่ดีฉัน เพราะได้ฟังเรื่องสวนนันทนวันอยู่เนืองๆ ดีฉันจึงตั้งจิตไปในสวนนันทนวันนั้น ก็เข้าถึงสวนนันทนวันได้จริงๆ ดีฉันมิได้ทำตามพระวาจาของพระศาสดาพุทธเจ้าเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ดีฉันนั้นตั้งจิตใจไว้ในภพอันเลว จึงร้อนใจในภายหลัง.
ในบทเหล่านั้น บาทคาถาว่า อุโปสถาติ มํ อญฺึสุ ความว่า คนทั้งหลายรู้จักดีฉันโดยชื่อนี้ว่า อุโบสถา. บทว่า สาเกตายํ แปลว่า ในเมืองสาเกต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 203
บทว่า อภิกฺขณํ แปลว่าเนืองๆ. บทว่า นนฺทนํ สุตฺวา ความว่า เพราะได้ทราบทิพยสมบัติมีอย่างต่างๆ ในภพดาวดึงส์นั้นว่า ชื่อว่า นันทนวัน ในภพดาวดึงส์เป็นเช่นนี้และเป็นเช่นนี้. บทว่า ฉนฺโท ได้แก่ ความพอใจในกุศลเป็นเหตุแห่งบุญกรรมที่จะให้บังเกิดในภพดาวดึงส์นั้น หรือความพอใจด้วยอำนาจตัณหาอันเป็นความปรารถนาที่จะเกิดในภพดาวดึงส์นั้น. บทว่า อุปปชฺชถ แปลว่า เกิดขึ้นแล้ว. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในภพดาวดึงส์. จริงอยู่ เทพธิดากล่าวถึงเทวโลกนั้น แม้ด้วยการอ้างถึงสวนนันทนวัน. บทว่า อุปปนฺนามฺหิ ความว่า ดีฉันเกิดแล้ว คือได้บังเกิดแล้ว.
บาทคาถาว่า นากาสึ สตฺถุ วจนํ ความว่า ดีฉันไม่ได้ทำตามพระดำรัสที่พระศาสดาได้ตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราสรรเสริญภพแม้มีประมาณน้อยก็หามิได้. อธิบายว่า ไม่ละฉันทราคะในภพทั้งหลาย. พระอาทิตย์เป็นโคดมโคตร แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นโคดมโคตร เพราะเหตุนั้น เทพธิดาจึงกล่าวว่า พุทฺธสฺสาทิจฺจพนฺธุโน เพราะทรงมีพระโคตร. อีกอย่างหนึ่ง เผ่าพันธุ์ของพระอาทิตย์ ชื่อว่า อาทิจฺจพนฺธุ คือพระผู้มีพระภาคเจ้า. อีกอย่างหนึ่ง เผ่าพันธุ์ชื่อว่าพระอาทิตย์ เพราะทรงอาศัยพระอาทิตย์นั้นแล้วเกิดในอริยชาติ หรือชื่อว่า อาทิจจพันธุ์ เพราะทรงเป็นบุตรเกิดแต่อกของพระอาทิตย์นั้น คือพระผู้มีพระภาคเจ้า. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วว่า
พระอาทิตย์ใดส่องแสงสว่าง กำจัดความมืดในยามมืด รุ่งโรจน์เป็นมณฑลดวงกลม มีอำนาจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 204
ความร้อนสูง ดูก่อนราหู ท่านอย่ากลืนพระอาทิตย์นั้นซึ่งกำลังโคจรอยู่ในอากาศเลย ดูก่อนราหู ท่านจงปล่อยพระอาทิตย์ประชา [บุตร] ของเราเถิด.
บทว่า หีเน คือต่ำทราม เทพธิดากล่าวถึงความยินดีในภพของตน. บทว่า สามฺหิ ตัดบทเป็น สา อมฺหิ แปลว่าดีฉันนั้น.
เมื่อเทพธิดานั้นประกาศความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นอันความยินดีในภพ สร้างไว้อย่างนี้แล้ว พระเถระเพื่อจะปลอบใจด้วยมุข คือชี้แจงอายุของภพที่กำหนดไว้ว่า การตั้งอยู่ในอัตภาพมนุษย์ต่อไปแล้วก้าวล่วงทุกข์ในวัฏฏะเสีย จะทำก็ทำได้ง่าย และว่าความเป็นผู้สิ้นอาสวะทุกประการ มีอานิสงส์มาก จึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนอุโบสถาเทพธิดา ท่านจะอยู่ในวิมานนี้นานเท่าไร ท่านถูกอาตมาถามแล้วโปรดบอกด้วย ถ้าท่านทราบอายุ.
นางเทพธิดานั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านมหาปราชญ์ ดีฉันดำรงอยู่ในวิมานนี้ ประมาณสามโกฏิหกหมื่นปี จุติจากที่นี้แล้ว จักไปบังเกิดเป็นมนุษย์.
พระมหาโมคคัลลานเถระ ทำนางเทพธิดานั้นให้อาจหาญด้วยคาถานี้อีกว่า
ดูก่อนอุโบสถาเทพธิดา ท่านอย่ากลัวเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์ไว้แล้วว่า ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 205
บรรลุคุณพิเศษเป็นโสดาบัน ทุคติท่านก็ละได้แล้วนี่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กีวจิรํ แปลว่านานเท่าไร. บทว่า อิธ คือในเทวโลกนี้ หรือในวิมานนี้. บทว่า อายุโน แปลว่า อายุ. บทว่า โน เป็นเพียงนิบาต. หรือรู้ว่าอายุนานหรือไม่นาน. อนึ่ง อธิบายว่า ถ้าทราบอายุ. ด้วยบทว่า มหามุนิ เทพธิดาเรียกพระเถระ.
บาทคาถาว่า มา ตฺวํ อุโปสเถ ภายิ ความว่า ดูก่อนอุโบสถาผู้เจริญ ท่านอย่ากลัวเลย เพราะอะไร? เพราะท่านถูกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้แล้ว. พยากรณ์ว่าอย่างไร. พยากรณ์ว่าบรรลุคุณวิเศษเป็นโสดาบัน. ท่านถึงคือบรรลุคุณวิเศษที่เข้าใจว่าเป็นมรรคผล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าวิเสสยิ เพราะถึงคุณวิเศษแม้นี้ว่า ทุคติแม้ทั้งปวง ท่านละได้แล้ว. คำที่เหลือเหมือนนัยที่กล่าวมาแล้ว.
จบอรรถกถาอุโบสถาวิมาน