พระภิกษุรับเงินทองไม่ได้
โดย khampan.a  18 พ.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 43125

หทเย นิเธตพฺพยุตฺตกํ
(ข้อความที่ควรเก็บไว้ในหทัย)
[๗๑๐]

พระภิกษุรับเงินทองไม่ได้


ต้องรู้จริงๆ ภิกษุไม่ได้ทำกิจของคฤหัสถ์ ไม่ได้มีทุกอย่างอย่างคฤหัสถ์ สละหมด รถยนต์มีไหม? จักรยานยนต์มีไหม ถ้าไม่มีรถยนต์ อะไรๆ ทั้งหมดที่คฤหัสถ์มี พระภิกษุมีไหม? มีได้อย่างไร มีทำไม? ในเมื่อสละแล้ว ละแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็เริ่มรู้ว่าภิกษุ คือ ใคร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้การขัดเกลากิเลสให้หมดจดอย่างยิ่ง ต้องอาศัยความมั่นคงที่จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เห็นภัยของกิเลสแม้เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงบัญญัติว่า กาย วาจา อย่างไร ความเห็นอย่างไร เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น พระวินัยทั้งหมด มีพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงบัญญัติ สาวกทั้งหมดแม้ท่านพระสารีบุตร ก็บัญญัติไม่ได้ เพราะว่าโทษแม้เพียงเล็กน้อย ถ้าไม่เห็นก็เป็นโทษใหญ่ในภายหน้า

เพราะฉะนั้น ต้องรู้จริงๆ พระภิกษุไม่ได้เป็นอย่างคฤหัสถ์เลยทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตประจำวันทั้งหมด เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส โดยต้องศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดขัดเกลากิเลส โดยเมื่อเข้าใจแล้วก็เป็นปัจจัยขัดเกลาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เป็นผู้ที่มั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่ใช่อย่างที่เราเห็น เดินบิณฑบาตเปิดบาตรแล้วมีเงินนั่น ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ขัดเกลาอะไร? รับได้อย่างไรเงินทอง เอาไปทำอะไร? เงินทองสำหรับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบกาย) ที่คฤหัสถ์ทั้งหลายพอใจแสวงหา แต่นี่สละหมด ไม่ต้องการเสื้อผ้าจะเอาเงินไปทำไม ไม่ต้องการอย่างอื่นเลยอย่างเพศคฤหัสถ์แล้วจะเอาเงินไปทำไม และในพระธรรมวินัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่าภิกษุในพระธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง ด้วยประการใดๆ ทั้งหมด ไม่ใช่ว่ารับมาแล้วก็ไปให้คนอื่นแสดงว่าไม่ยินดี นั่นไม่ใช่ ขณะรับก็ยินดีรับ ถ้าไม่ยินดีจะรับหรือ? เพราะฉะนั้น ถ้าพุทธบริษัทไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ก็ไม่สามารถที่จะพร้อมเพรียงกันที่จะช่วยกันทะนุบำรุงพระศาสนาให้ดำรงต่อไปได้ เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงมอบภาระให้ใครเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้ที่แทนพระองค์เลย แต่พระธรรมวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้ดีแล้วด้วยพระองค์เอง ก็เท่ากับว่าเป็นคำของพระองค์ทั้งหมดที่จะทำให้ระลึกได้ว่านี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสว่าภิกษุต้องประพฤติปฏิบัติอย่างนี้จึงจะเป็นการขัดเกลากิเลส เพราะถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ก็ขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ได้ เพราะเหตุว่าปัญญาเท่านั้นที่ขัดเกลากิเลส อย่างอื่น ธรรมอื่นขัดเกลากิเลสไม่ได้เลย ปัญญาเกิดเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วไตร่ตรอง ไม่ว่าเป็นใคร เป็นหญิง เป็นชาย เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ ได้ยินคำนั้นแล้วไม่ละเลยไม่เพิกเฉย แต่ว่าไตร่ตรองถึงความละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อเข้าใจประโยชน์ที่พระองค์ได้ตรัสคำนั้นเพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจถูกในธรรมซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่าใครเป็นภิกษุตามพระธรรมวินัย บุคคลนั้นรู้เอง นี่เป็นภิกษุหรือเปล่า?


กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อ่านหัวข้ออื่นๆ คลิกที่นี่ ... เก็บไว้ในหทัย



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 18 พ.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย เมตตา  วันที่ 19 พ.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีทุกท่านค่ะ