กราบเท้าอาจารย์ทุกท่านที่เคารพอย่างสูง
รบกวนกราบเรียนสอบถามดังนี้ครับ
๑. อรรถว่า "อินทรีย์สังวรศีล" หมายถึงอะไร
๒. มีความเกี่ยวพันกับการเจริญกุศลอย่างไร
(เนื่องจากค้นหาความหมายคำเฉพาะในเน็ตแล้ว ดูเหมือนเป็นการอธิบายตามความเข้าใจของผู้โพสต์ ไม่น่าใช่อ้างถึงเนื้ออรรถตามพระไตรปิฎกนะครับ)
ขอแสดงความเคารพอย่างสูง
ปีใหม่ ๒๕๕๕ นี้ ขอคุณพระศรีรัตนตรัย เป็นเหตุดีให้อาจารย์ และผู้สนใจในพระธรรม ที่ถูก ที่ตรง ตามคำสอนฯ จงมีความเจริญในธรรมยิ่งขึ้น จนถึงที่สุดครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. อรรถว่า "อินทรีย์สังวรศีล" หมายถึงอะไร
» ก่อนอื่นก็เข้าใจธรรม ในคำนั้นอย่างละเอียดก่อนครับ คำว่า อินทรีย์ สังวร และศีล อินทรีย์ ในส่วนของ อินทรียสังวรศีล
อินทรีย์ ในที่นี้ คือสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ในธรรม คืออินทรีย์นั้น คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นอินทรีย์ ๖ ประการ ที่เป็นใหญ่ ๖ ประการ คือเป็นใหญ่ในการรู้กระทบสิ่งที่ปรากฏทางตา กระทบเสียง กระทบกลิ่น กระทบรส กระทบสิ่งที่กระทบสัมผัส และเป็นใหญ่ในการคิดนึก และรู้สิ่งต่างๆ ครับ นี่คืออินทรีย์ ๖ ประการตามนัยของอินทรียสังวรศีล
ส่วนการสังวร การสำรวมนั้น เป็นการสังวรด้วยกุศลธรรม คือด้วยสติ ขันติ ปัญญา วิริยะเป็นต้น ดังนั้น การสำรวม การสังวร จึงไม่ใช่ด้วยการเดินดูภายนอกที่สำรวมจึงจะเป็นสังวร แต่การงดเว้นจากอกุศล คืออกุศลไม่เกิดเมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และกระทบสัมผัส คิดนึก ก็ไม่เป็นอกุศล เพราะกุศลธรรมเกิดขึ้น คือสติและปัญญาเกิดขึ้นในขณะนั้น ชื่อว่าสังวร สำรวม ในขณะนั้นครับ
อินทรีย์สังวร จึงเป็นการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ด้วยสติและปัญญา เกิดรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ขณะที่เห็น อกุศลไม่เกิด กุศลเกิดเพราะรู้ความจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราในสิ่งที่เห็น ขณะนั้นเป็นการสำรวมตา เป็นการสังวรทางตา ขณะที่ได้ยินเสียงก็รู้ความจริงว่าเสียงเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา อกุศลไม่เกิด แต่กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเกิด เป็นการสังวร สำรวม ทางหู ทางทวารอื่นๆ คือจมูก ลิ้น กาย และใจก็โดยนัยเดียวกันครับ
อินทรีย์สังวร จึงเป็นเรื่องของสติและปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖ ที่เป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจในชีวิตประจำวันโดยไม่เป็นอกุศลแต่เป็นกุศลเกิดแทนเพราะรู้ความจริงในสิ่งที่ปรากฏทั้งทางทวารทั้ง ๖ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราครับ
[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 319
อินทรีย์สังวร
[๑๒๒] มหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.
มหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่า รักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้มรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่า รักษามนินทรีย์ ชื่อว่า ถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน มหาบพิตร ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล.
๒. มีความเกี่ยวพันกับการเจริญกุศลอย่างไร
» อินทรีย์สังวรศีล ตามที่กล่าวมา คือการที่อกุศลไม่เกิดแต่กุศลเกิดแทนที่ รู้ความจริงของสภาพธรรมว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ซึ่งขณะที่สำรวมทางตาคือไม่เป็นอกุศลแต่กุศลก็เกิดขึ้นรู้ความจริงในขณะนั้น ชื่อว่า สำรวมทางตา กุศลเกิดแล้ว ในขณะนั้นก็เป็นการเจริญกุศลคือกุศลเจริญขึ้นแล้วในขณะนั้น ปกติในชีวิตประจำวันเมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส และคิดนึก ก็มักเป็นในอกุศลส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมในเรื่องสภาพธรรม เรื่องสติปัฏฐาน เมื่อสติและปัญญาเกิดในชีวิตประจำวันระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แทนที่จะเป็นอกุศลในชีวิตประจำวันตลอดเวลาก็เกิดกุศลสลับ เพราะงดเว้นจากอกุศล กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้นในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก ในขณะนั้นกุศลก็เจริญขึ้น มากขึ้นในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญที่สุด อินทรีย์สังวรเป็นเรื่องของปัญญาด้วยเพราะอินทรีย์สังวรก็คือการเจริญสติปัฏฐานนั่นเองครับ
ดังนั้น การเจริญสติปัฏฐานที่เป็นอินทรีย์สังวร เป็นหนทางดับกิเลสเพราะประกอบด้วยปัญญาที่รู้ความจริง เมื่อปัญญารู้ความจริง เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา มากขึ้น และละอกุศลมากขึ้น เพราะมีปัญญาที่เจริญขึ้นตามความเป็นจริง กุศลประการต่างๆ ก็น้อมไปตามกำลังปัญญาที่เพิ่มขึ้นจากการเจริญอินทรีย์สังวรหรือสติปัฏฐานที่รู้ความจริงในชีวิตประจำวัน ดังนั้น อินทรีย์สังวรจะเกื้อหนุนทำให้กุศลเจริญขึ้นในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทั้งกุศลขั้นทาน ศีล ความสงบ ที่เป็นกุศลในชีวิตประจำวันและเจริญวิปัสสนาที่เป็นสติปัฏฐานก็เจริญขึ้นมากขึ้นตามการเจริญอินทรีย์สังวรที่เป็นสติปัฏฐาน คือการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เราเพิ่มขึ้นด้วยครับ เพราะปัญญาที่เจริญขึ้น รู้ความจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ยกตัวอย่าง เช่น แทนที่จะโกรธผู้อื่น สำคัญว่ามีผู้อื่นทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อินทรีย์สังวรเกิดขึ้นรู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ก็เกิดกุศลจิตแทน กุศลต่างๆ ก็เจริญขึ้นทุกๆ ประการเพราะปัญญาที่เจริญขึ้นด้วยการเจริญอินทรีย์สังวรหรือสติปัฏฐานครับ นี่คือความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของอินทรีย์สังวรและการเจริญกุศลครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตในคำอวยพร และสวัสดีปีใหม่เช่นกัน
ขอให้ได้มีโอกาสเจริญกุศลเพิ่มขึ้น รวมทั้งมั่นคงในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเช่นนี้ต่อไปครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อินทรีย์ ในที่นี้หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปกติในชีวิตประจำวันเมื่อมีตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงมีการรู้อารมณ์ต่างๆ ทางทวารต่างๆ มีจิตเกิดขึ้นเป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้างตามการสะสมหลังเห็น หลังได้ยิน เป็นต้น และโดยภาวะของความเป็นปุถุชนแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใดก็ตาม อกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นมากกว่ากุศล เมื่อเป็นเช่นนี้ ขณะที่ไม่สำรวมหรือขณะที่ไม่สังวรจึงมีมาก เพราะอกุศลเกิดมากทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ แต่ที่จะเป็นอินทรีย์สังวร การสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้นั้นต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาที่มีการระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ว่าจะประสบกับอารมณ์ใดๆ ทางทวารต่างๆ ใน ๖ ทวาร ขณะนั้น สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริง เป็นการปิดกั้นไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ ว่า อินทรีย์สังวร หมายถึง สำรวมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งก็คือสำรวมด้วยสติที่ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ไม่ใช่การจงใจที่จะไปยืนสำรวม ไปเดินสำรวม แต่ไม่ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง
อินทรีย์สังวรเป็นกุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นเป็นไปขณะนั้น มีความเป็นปกติที่เป็นกุศลระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง กุศลจิตเกิดขึ้นประกอบด้วยโสภณธรรมต่างๆ มีศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น รวมถึงปัญญาด้วย เป็นกุศลแล้วในขณะนั้น เมื่อเกิดขึ้นอีกบ่อยๆ กุศลก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น อินทรีย์สังวรจึงไม่ได้แยกไปจากกุศลต่างหาก แต่ในขณะนั้นเป็นกุศลแล้วและยังเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะมีปัญญาที่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงอันมีพื้นฐานความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอให้อนุภาพของกุศลจิตเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่านตลอดไป
กำลังสงสัยเรื่องนี้พอดีเลยครับ
ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
อินทรีย์สังวร หมายถึง การสำรวมระวังไม่ให้อกุศลเกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ขณะนั้น ก็เป็นความเพียรชอบ เพียรละอกุศล เพียรเจริญกุศล และเพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อมไปค่ะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์และทุกท่านอย่างสูงครับ
อนุโมทนากุศลจิตทุกท่านด้วยครับ
สุขสันต์วันปีใหม่ อาจารย์ และทุกท่านนะครับ
ขอความเจริญในพระธรรมจงมีแก่ทุกท่านครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรและสหายธรรมทุกท่านค่ะ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรและสหายธรรมทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรและสหายธรรมทุกท่านค่ะ