[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 662
สุตตนิบาต
มหาวรรคที่ ๓
ทวยตานุปัสสนาสูตรที่ ๑๒
ว่าด้วยพิจารณาเห็นธรรมเนืองๆ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 662
ทวยตานุปัสสนาสูตรที่ ๑๒
ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนืองๆ
[๓๙๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล เมื่อคืนเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถที่ ๑๕ ค่ำ พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งอยู่กลางแจ้ง ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์สงบนิ่ง จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า จะมีประโยชน์อะไร เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออกไป อันให้ถึงปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ แก่ท่านทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงตอบเขาอย่างนี้ว่า มีประโยชน์ เพื่อรู้ธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างตามความเป็นจริง ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า ท่านทั้งหลายกล่าว อะไรว่าเป็นธรรม ๒ อย่าง พึงตอบเขาอย่างนี้ว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนืองๆ อย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 663
[๓๙๑] ชนเหล่าใดไม่รู้ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือ โดยประการทั้งปวง และไม่รู้มรรคอันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์ ชนเหล่านั้นเสื่อมแล้วจากเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เป็นผู้เข้าถึงชาติและชราแท้.
ส่วนชนเหล่าใดรู้ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือโดยประการทั้งปวง และรู้มรรคอันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์ ชนเหล่านั้นถึงพร้อมแล้วด้วยเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ เป็นผู้ควรที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ และเป็นผู้ไม่เข้าถึงชาติและชรา.
[๓๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนืองๆ จนพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม พึงตอบเขาว่าพึงมี ถ้าเขาพึงถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า พึงตอบว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปธิเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะอุปธิทั้งหลายนี้เองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 664
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีเป็นอันมากในโลก ย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ ผู้ใดแลไม่รู้ย่อมกระทำอุปธิ ผู้นั้นเป็นผู้เขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ เพราะเหตุนั้น ผู้พิจารณาเห็นเหตุเกิดแห่งชาติเนืองๆ ทราบชัดอยู่ ไม่พึงทำอุปธิ.
[๓๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม ควรตอบเขาว่า พึงมี ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะอวิชชานั่นเองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
อวิชชานั้นเอง เป็นคติของสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงชาติ มรณะและสงสาร อันมีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่นบ่อยๆ อวิชชา คือ ความหลงใหญ่นี้ เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 665
อวิชชาคือความหลงใหญ่นี้ เป็นเหตุให้สัตว์จมปลักอยู่สิ้นกาลนาน สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดมีวิชชา สัตว์เหล่านั้น ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่.
[๓๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะสังขารเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะสังขารทั้งหลายนั่นเองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะสังขารทั้งหลายดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย ทุกข์จึงเกิดขึ้น เพราะความสงบแห่งสังขารทั้งมวล สัญญาทั้งหลายจึงดับ ความสิ้นไปแห่งทุกข์ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุรู้ความสิ้นไปแห่งทุกข์นี้โดยถ่องแท้ บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นชอบ ผู้ถึงเวทรู้โดยชอบแล้ว ครอบงำกิเลสเป็นเครื่องประกอบของมารได้แล้ว ย่อมไม่ไปสู่ภพ ใหม่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 666
[๓๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะวิญญาณนั่นเองดับ เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย เพราะวิญญาณดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยดังนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วเพราะความเข้าไปสงบแต่งวิญญาณ.
[๓๙๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น เนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัยนี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะผัสสะนั่นเองดับเพราะสำรอก โดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ของชนทั้งหลายผู้อันผัสสะครอบงำแล้ว ผู้แล่นไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 667
ตามกระแสแห่งภวตัณหา ผู้ดำเนินไปแล้ว สู่หนทางผิด ย่อมอยู่ห่างไกล ส่วนชนเหล่าใดกำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญา ยินดีแล้วในธรรมเป็นที่เข้าไปสงบ ชนแม้เหล่านั้น เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้ว เพราะการดับไปแห่งผัสสะ.
[๓๙๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะเวทนาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะเวทนานั่นเองดับเพราะสำรอก โดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ภิกษุรู้เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ สุขเวทนา หรือทุกขเวทนากับอทุกขมสุขเวทนา ที่มีอยู่ทั้งภายในและภายนอกว่า เวทนานี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ มีความสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความทรุดโทรมไปเป็นธรรมดา ถูกต้องด้วยอุทยัพพยญาณแล้ว เห็นความเสื่อมไปอยู่ ย่อมรู้แจ่มแจ้ง ความเป็นทุกข์ในเวทนานั้นอย่างนี้ เพราะเวทนาทั้งหลายสิ้นไปนั้นเอง ทุกข์จึงไม่เกิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 668
[๓๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะตัณหาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะตัณหานั่นเองดับเพราะสำรอก โดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
บุรุษผู้มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน ย่อมไม่ล่วงพ้นสงสาร อันมีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ เป็นผู้มีตัณหาปราศจากไปแล้ว ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ.
[๓๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะอุปาทานนั่นเองดับเพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย สัตว์ผู้เกิดแล้วย่อมเข้าถึงทุกข์ ต้องตายนี้เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 669
เพราะเหตุนั้นบัณฑิตทั้งหลายรู้แล้ว โดยชอบ รู้ยิ่งความสิ้นไปแห่งชาติแล้วย่อม ไม่ไปสู่ภพใหม่ เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทาน.
[๔๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่าทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะการริเริ่มนั่นเองดับเพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย เพราะความริเริ่มดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น เพราะความริเริ่มเป็นปัจจัยดังนี้แล้ว สละคืนความริเริ่มได้ทั้งหมดแล้ว น้อมไปในนิพพานที่ไม่มีความริเริ่ม ถอนภวตัณหาขึ้นได้แล้ว มีจิตสงบ มีชาติสงสารสิ้นแล้ว ย่อมไม่มีภพใหม่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 670
[๔๐๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะอาหารทั้งหมดนั่นเองดับ เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย เพราะอาหารทั้งหลายดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ถึงเวท รู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัยดังนี้แล้ว กำหนดรู้อาหารทั้งปวง เป็นผู้อันตัณหาไม่อาศัยในอาหารทั้งหมด รู้โดยชอบ ซึ่งนิพพานอันไม่มีโรค พิจารณาแล้วเสพ ปัจจัย ๔ ย่อมไม่เข้าถึงการนับว่า เป็นเทวดาหรือมนุษย์ เพราะอาสวะทั้งหลายหมดสิ้นไป.
[๔๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหว เป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะความหวั่นไหวทั้งหลายนั่นเองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 671
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัยเพราะความหวั่นไหวดับไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด.
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น เพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย ดังนี้ เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุสละตัณหาแล้วสดับสังขารทั้งหลายได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีความหวั่นไหว ไม่ถือมั่น แต่นั้นพึงเว้นรอบ.
[๔๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ความดิ้นรนย่อมมีแก่ผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะอาศัยแล้ว นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ผู้ที่ตัณหา ทิฏฐิ และมานะไม่อาศัย แล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน ส่วนผู้อันตัณหาทิฏฐิ และมานะอาลัยแล้ว ถือมั่นอยู่ ย่อมไม่ล่วงพ้นสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้ และ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 672
ความเป็นอย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้โทษนี้ว่า เป็นภัยใหญ่ในเพราะนิสสัย คือ ตัณหาทิฏฐิ และมานะทั้งหลายแล้วเป็นผู้อันตัณหาทิฏฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ.
๔๐๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า อรูปภพละเอียดว่ารูปภพ นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า นิโรธละเอียดกว่าอรูปภพ นี้เป็นข้อ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
สัตว์เหล่าใดผู้เข้าถึงรูปภพ และสัตว์เหล่าใดอยู่ในอรูปภพ สัตว์เหล่านั้นเมื่อยังไม่รู้ชัดซึ่งนิพพาน ก็ยังเป็นผู้จะต้องมาสู่ภพใหม่ ส่วนชนเหล่าใดกำหนดรู้รูปภพแล้ว ไม่ดำรงอยู่ในอรูปภพ ชนเหล่านั้นน้อมไปในนิพพานทีเดียว เป็นผู้ละมัจจุเสียได้.
[๔๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นามรูปที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นามรูปนี้เป็นของจริง พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 673
ของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและ มนุษย์เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้นเป็นของจริง นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรม เป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อันเป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้งเทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง.
ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป) ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่น ไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้น นามรูปของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนามรูปมีความสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา.
นิพพานมีความไม่สูญสิ้นไปเป็นธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิวดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง.
[๔๐๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างเนืองๆ โดยชอบ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 674
พึงตอบเขาว่า พึงมี. ถ้าเขาถามว่าพึงมีอย่างไรเล่า. พึงตอบเขาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อิฏฐารมณ์ที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า เป็นสุข พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นทุกข์ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เล็งเห็นว่า นี้เป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นั้นเป็นสุข นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนืองๆ อย่างนี้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และ ธรรมารมณ์ล้วนน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีประมาณเท่าใด โลกกล่าวว่ามีอยู่ อารมณ์ ๖ อย่างเหล่านี้ โลกพร้อมทั้งเทวโลก สมมติกันว่าเป็นสุข แต่ว่าธรรมเป็นที่ดับ อารมณ์ ๖ อย่างนี้ ชนเหล่านั้นสมมติกันว่า เป็นทุกข์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 675
ความดับแต่งเบญจขันธ์ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นว่าเป็นสุข ความเห็นขัดแย้งกันกับโลกทั้งปวงนี้ย่อมมีแก่บัณฑิตทั้งหลาย ผู้เห็นอยู่.
ชนเหล่าอื่นกล่าววัตถุกามใดโดยความเป็นสุข พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าววัตถุกามนั้นโดยความเป็นทุกข์.
ชนเหล่าอื่นกล่าวนิพพานใดโดยความเป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้ง กล่าวนิพพานนั้นโดยความเป็นสุข ท่านจงพิจารณาธรรมที่รู้ได้ยากที่ชนพาลทั้งหลายไม่รู้แจ้ง พากันลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้.
ความมืดตื้อย่อมมีแก่ชนพาลทั้งหลาย ผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผู้ไม่เห็นอยู่ ส่วนนิพพาน เป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษ ผู้เห็นอยู่ เหมือนอย่างแสงสว่าง ฉะนั้น.
ชนทั้งหลายเป็นผู้ค้นคว้า ไม่ฉลาดต่อธรรม ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่ใกล้.
ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครองงำแล้ว แล่นไปตามกระแสภวตัณหา ผู้เข้าถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 676
วัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนืองๆ ไม่ตรัสรู้ ธรรมนี้ได้โดยง่าย
นอกจากพระอริยเจ้าทั้งหลาย ใครหนอ ย่อมควรจะรู้บท คือ นิพพานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ดีแล้ว พระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะเพราะรู้โดยชอบ ย่อมปรินิพพาน.
[๔๐๗] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุประมาณ ๖๐ รูป หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดังนี้แล.
จบทวยตานุปัสสนาสูตรที่ ๑๒
รวมหัวข้อประจำเรื่องในพระสูตรนี้ คือ
สัจจะ อุปธิ อวิชชา สังขาร วิญญาณเป็นที่ ๕ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน อารัมภะ อาหาร ความหวั่นไหว ความดิ้นรน รูป และสัจจะกับทุกข์ รวมเป็น ๑๖.
จบมหาวรรคที่ ๓
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 677
อรรถกถาทวยตานุปัสสนาสูตรที่ ๑๒
ทวยตานุปัสสนาสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร?
พระสูตรนี้เกิดขึ้นเพราะพระอัธยาศัยของพระองค์ พระผ้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงพระสูตรนี้ด้วยพระอัธยาศัยของพระองค์. นี้เป็นความย่อในพระสูตรนี้. ส่วนความพิสดารของพระสูตรนี้ จักมีแจ้งในอรรถกถานั่นแล.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้นมีนัยดังได้กล่าวมาแล้ว. บทว่า ปุพฺพาราเม ปุพพารามคืออารามด้านทิศตะวันออกของกรุงสาวัตถี ในบทว่า มิคารมาตุ ปาสาเท ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดานี้มีความว่า นางวิสาขาอุบาสิกาท่านเรียกว่ามิคารมารดา เพราะมิคารเศรษฐีผู้เป็นพ่อผัวของนางตั้งไว้ในฐานะเป็นมารดา นางวิสาขามิคารมารดานั้น สละเครื่องประดับมหาลดามีค่าเก้าโกฏิสร้างปราสาทมีห้องบนเรือนยอดหนึ่งพันห้อง คือ ข้างล่าง ๕๐๐ ห้อง ข้างบน ๕๐๐ ห้อง จึงเรียกปราสาทนั้นว่า ปราสาทของมิคารมารดา. บนปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดานั้น. บทว่า เตน โข ปน สมเยน ภควา ความว่า สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยกรุงสาวัตถีประทับอยู่ ณ ปุพพารามอันเป็นปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา. บทว่า ตทหุโปสเถ คือ ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ. ท่านเรียกว่าวันอุโบสถ. บทว่า ปณฺณรเส นี้ เป็นคำปฏิเสธวันอุโบสถที่เหลือที่มาถึงด้วย อุโปสถ ศัพท์. บทว่า ปุณฺณาย ปุณฺณมาย รตฺติยา เมื่อราตรีเพ็ญมีพระจันทร์เต็มดวงในวัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 678
อุโบสถที่ ๑๕ ค่ำ ความว่า เมื่อราตรีเพ็ญเพราะเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ โดยการนับวัน เพราะเว้นจากความหมองมัวมีหมอกเป็นต้น เพราะเต็มด้วยคุณสมบัติของราตรีและเพราะมีพระจันทร์เต็มดวง. บทว่า ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต คืออันหมู่ภิกษุแวดล้อมแล้ว. บทว่า อพฺโภกาเส นิสินฺ โน โหติ พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งในอัพโภกาส (กลางแจ้ง) ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ กลางแจ้งอันเป็นบริเวณของรัตนปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา คือ ณ โอกาสที่ไม่มีอะไรปกปิดไว้ข้างบนอันเป็นบวรพุทธอาสน์ที่เขาปูไว้. บทว่า ตุณฺหีภูตํ ตุณฺหีภูตํ คือ ภิกษุสงฆ์สงบนิ่งแม้กายก็สงบนิ่งจากการเหลียวไปข้างโน้นข้างนี้. บทว่า ภิกฺขุสงฺฆํ อนุวิโลเกตฺวา ทรงชำเลืองดูภิกษุสงฆ์ ความว่า ทรงมองดูภิกษุสงฆ์ที่นั่งแวดล้อมพระองค์มีภิกษุประมาณหลายพัน สงบนิ่งข้างโน้นข้างนี้ เพื่อทรงกำหนดพระธรรมเทศนาเป็นที่สบายว่า ในที่นี้มีพระโสดาบันประมาณเท่านี้ มีพระสกทาคามีประมาณเท่านี้ มีพระอนาคามีประมาณเท่านี้ มีกัลยาณปุถุชนผู้เริ่มวิปัสสนาประมาณเท่านี้ ธรรมเทศนาเช่นไรจึงจะเป็นที่สบายของภิกษุสงฆ์นี้ ดังนี้.
บทว่า เย เต ภิกฺขเว กุสลา ธมฺมา ความว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗ หรือปริยัติธรรมอันส่องความโพธิปักขิยธรรมนั้น ชื่อว่าเป็นกุศล เพราะอรรถว่า ไม่มีโรค ไม่มีโทษ มีผลน่าปรารถนา เกิดแต่ความฉลาด. บทว่า อริยา นิยฺยานิกา สมฺโพธิคามิโน เป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออกไปให้ถึงปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ ความว่า ชื่อว่า อริยะ เพราะควรเข้าถึง ชื่อว่าเป็นเครื่องนำออกไป เพราะนำออกไปจากโลก ชื่อว่าให้ถึงปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 679
เพราะให้ได้บรรลุพระอรหัต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่าจะมีประโยชน์อะไร เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออกไป อันให้ถึงปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้แก่เธอทั้งหลาย ท่านอธิบายว่า เธอทั้งหลายฟังธรรมเหล่านั้นเพื่ออะไร. บทว่า ยาวเทว ในบทว่า ยาวเทว ทฺวยตานํ ธมฺมานํ ยถาภูตํ าณาย เพื่อรู้ธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างตามความเป็นจริง นี้เป็นคำรับรองในการกำหนด. ธรรมชื่อว่า ทฺวยา เพราะมี ๒ อย่าง. ธรรม ๒ อย่างนั้นแลชื่อว่า ทฺวยตา. ธรรม ๒ อย่างเหล่านั้น. ปาฐะว่า ทฺวยานํ ก็มี. บทว่า ยถาภูตํ าณาย เพื่อรู้ตามความเป็นจริง คือ เพื่อรู้ไม่วิปริต. ท่านอธิบายไว้อย่างไร. อธิบายไว้ว่า การรู้ตามความเป็นจริงอันได้แก่เห็นแจ้ง ธรรมที่ท่านกำหนดไว้สองอย่างเป็นโลกิยะและโลกุตระเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่การรู้ตามความเป็นจริงนั้น ไม่ยิ่งไปกว่านั้น เพราะเหตุนั้น ธรรมประมาณเท่านี้ ย่อมมีด้วยการฟัง การบรรลุคุณวิเศษยิ่งกว่านั้น ย่อมมีด้วยการภาวนา.
ก็ในบทว่า กิญฺจ ทฺวยตํ วเทถ เธอทั้งหลายกล่าวอะไรว่าเป็นธรรม ๒ อย่างนี้ มีอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากจะมีผู้ถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายกล่าวอะไรว่าเป็นธรรม ๒ อย่าง. มีความว่า ท่านทั้งหลายกล่าวความเป็นธรรม ๒ อย่างคืออะไร. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความเป็นธรรม ๒ อย่างจึงตรัสคำมี อาทิอย่างนี้ว่า อิทํ ทุกฺขํ นี้ทุกข์. ในบทนั้น ธรรมคืออริยสัจ ๔ เป็นธรรม ๒ ส่วน การพิจารณาเห็นเนืองๆ ด้วยการเห็นทุกข์พร้อมด้วยเหตุอันเป็นส่วนหนึ่งของโลกิยะอย่างนี้ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นข้อหนึ่ง. การพิจารณา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 680
เห็นเนืองๆ ด้วยการเห็นนิโรธ (ความดับทุกข์) พร้อมด้วยอุบายอันเป็นส่วนที่สองของโลกุตระเป็นข้อที่สอง. อนึ่ง ในบทนี้ข้อที่หนึ่งสำเร็จได้ด้วยวิสุทธิที่ ๓ ที่ ๔ ข้อที่สองสำเร็จได้ด้วยวิสุทธิที่ ๕. บทว่า เอวํ สมฺมา ทฺวยตานุปสฺสิโน ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนืองๆ อย่างนี้ ความว่า ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบตามนัยที่กล่าวแล้วนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท เพราะไม่อยู่ปราศจากสติ เป็นผู้มีความเพียร เพราะมีความเพียรเผากิเลสทางกายและทางจิต เป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยว เพราะหมดความเพ่งเล็งในกายและชีวิต. บทว่า ปาฏิกงฺขํ คือ พึงปรารถนา. บทว่า ทิฏฺเว ธมฺเม อญฺา ได้แก่ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้. บทว่า สติ วา อุปาทิเสเส อนาคามิตา เมื่อยังมีความยึดมั่นเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ความว่า ยังมีความยึดมั่นขันธ์เหลืออยู่ โดยเกิดอีก ท่านเรียกว่า อุปาทิเสสํ คือ ยังมีความยึดมั่นเหลืออยู่ ท่านแสดงว่า เมื่อยังมีความยึดมั่นเหลืออยู่นั้น พึงหวังความเป็นพระอนาคามี. ในบทนั้น แม้ผลเบื้องต่ำก็ยังมีแก่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างเนืองๆ อย่างนี้ ก็จริง ถึงดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะยังความอุตสาหะให้เกิดในผลเบื้องสูงจึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า อิทมโวจ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสภาษิตนี้แล้วนี้ เป็นคำต้นของพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย. ในบทเหล่านั้นบทว่า อิทํ เป็นคำชี้แจงถึงบทที่พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า เย เต ภิกฺขเว ดังนี้. บทว่า เอตํ เป็นบทแสดงคาถาประพันธ์ที่พระองค์พึงกล่าวมีอาทิอย่างนี้ว่า เย ทุกฺขํ ชนเหล่าใดไม่รู้ทุกข์ ดังนี้. อนึ่งคาถาเหล่านี้แสดงเนื้อความดังกล่าวแล้ว เพราะแสดงถึงอริยสัจ ๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 681
แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ เพราะแสดงถึงผู้ไม่เห็นแจ้งและผู้เห็นแจ้งแล้วแสดงถึงวัฏฏะ วิวัฏฏะที่ตัดขาดและยังตัดไม่ขาดของท่านเหล่านั้นว่า ท่านกล่าวแสดงถึงเนื้อความที่ต่างกันเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ชอบใจคาถามาภายหลัง หวังอนุเคราะห์เพราะไม่สามารถจะรู้มาก่อนได้ และแก่ผู้มีจิตฟุ้งซ่านมาก่อน เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคาถานี้เพื่อแสดงเนื้อความต่างกันนั่นเอง. ในคาถาพจน์แม้นอกจากนี้ก็มีนัยนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ ท่านแสดงถึงนิพพาน. เพราะทุกข์ย่อมดับไปในนิพพานโดยประการทั้งปวง ทุกข์ย่อมดับไปหมดทุกประการ ทุกข์พร้อมด้วยเหตุย่อมดับ ทุกข์ย่อมดับไม่มีส่วนเหลือ. บทว่า ตญฺจ มคฺคํ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ นั้น. ในบทว่า เจโตวิมุตฺติหีนา เต อโถ ปญฺาวิมุตฺติยา ชนเหล่านั้นเสื่อมแล้วจากเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตตินี้ พึงทราบว่า อรหัตตผลสมาธิ เป็นเจโตวิมุตติเพราะสำรอกราคะ อริหัตผลปัญญา เป็นปัญญาวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชา.
อีกอย่างหนึ่ง อรหัตตผลอันตัณหาจริตบุคคลข่มกิเลสทั้งหลายด้วยผลแห่งอัปปนาฌานแล้วจึงบรรลุ ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะสำรอกราคะ. อรหัตตผลทิฏฐิจริตบุคคลยังเพียงอุปจารฌานให้เกิด เห็นแจ้งแล้วจึงบรรลุ ชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชา.
อีกอย่างหนึ่ง อนาคามิผล ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะสำรอกราคะ คือ กามราคะ. อรหัตตผล ชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชาโดยอาการทั้งปวง.
บทว่า อนฺตกิริยาย คือ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ในวัฏฏะ. บทว่า ชาติชรูปคา ได้แก่ เข้าถึงชาติและชรา หรืออันชาติและชราเข้าถึง ย่อมไม่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 682
พ้นจากชาติและชรา พึงทราบอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. บทที่เหลือในคาถานี้ ปรากฏชัดแล้วตั้งแต่ต้น.
เมื่อคาถาจบลงภิกษุประมาณ ๖๐ รูป รับเทศนานั้นแล้วต่างเห็นแจ้งบรรลุพระอรหัต ณ อาสนะนั้นนั่นเอง. ในวาระทั้งหมดเหมือนในบทนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสทวยตานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างเนืองๆ) เป็นอันมากโดยนัยมีอาทิว่า สิยา อญฺเนาปิ ปริยาเยน จะพึงมีโดยปริยายอื่นบ้างไหมดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๒ นั้นต่อไป. บทว่า อุปธิปฺปจฺจยา เพราะอุปธิเป็นปัจจัย คือเพราะกรรมมีอาสวะเป็นปัจจัย. จริงอยู่กรรมมีอาสวะท่านประสงค์เอา อุปธิ ในที่นี้. บทว่า อเสสวิราคนิโรธา ได้แก่ เพราะอุปธิทั้งหลายดับไปเพราะสำรอกโดยไม่เหลือ หรือ เพราะอุปธิทั้งหลายดับไป กล่าวคือสำรอกโดยไม่เหลือ. บทว่า อุปธินิทานา เพราะอุปธิเป็นเหตุ คือเพราะกรรมเป็นปัจจัย. บทว่า ทุกฺขสฺส ชาติปฺปภวานุปสฺสี ผู้พิจารณาเห็นเหตุเกิดแห่งทุกข์เนืองๆ คือพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า อุปธิเป็นเหตุเกิดแห่งวัฏทุกข์. บทที่เหลือในบทนี้มีความปรากฏชัดทั้งหมดแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอริยสัจ ๔ แล้วตรัสวาระแม้นี้ด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัตด้วยประการฉะนั้นแล. วาระทั้งหมดเหมือนวาระนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๓ นั้นต่อไป. บทว่า อวิชฺชาปจฺจยา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ความว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะอวิชชาสะสมกรรมที่เป็นเหตุให้เกิดเป็นปัจจัย. แต่ทุกข์ในที่ทั้งหมดเป็นวัฏทุกข์เท่านั้น. บทว่า ชาติมรณสํสารํ ชาติมรณะสงสาร อธิบายว่า ชาติคือความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 683
เกิดแห่งขันธ์, มรณะ คือความแตกไปแห่งขันธ์, สงสาร คือความสืบต่อแห่ง ขันธ์. บทว่า วชนฺติ ไป คือเข้าถึง. บทว่า อิตฺถภาวญฺถาภาวํ มีความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่น คือความเป็นมนุษย์นี้ และความเป็นหมู่อื่นที่เหลือจากความเป็นมนุษย์นี้. บทว่า คติ คือความเป็นปัจจัย. บทว่า อวิชฺชาหยํ ตัดบทเป็น อวิชฺช หิ อยํ อวิชชานี้. บทว่า วิชฺชาคตา จ เย สตฺตา สัตว์ทั้งหลายผู้ไปด้วยวิชชาเท่านั้น ความว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ทำลายกิเลสแล้ว ไปด้วยวิชชา (ปัญญา) ในอรหัตตมรรค เป็นสัตว์ที่สิ้นอาสวะแล้ว. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๔. บทว่า สงฺขารปจฺจยา เพราะสังขารเป็นปัจจัย คือ เพราะปุญญาภิสังขาร (สภาพผู้ตกแต่งคือบุญ) อปุญญาภิสังขาร (สภาพผู้ตกแต่งคือบาป) อเนญชาภิสังขาร (สภาพผู้ตกแต่งคือ ความไม่หวั่นไหว). บทว่า เอตมาทีนวํ ญตฺวา รู้โทษนี้ คือรู้ว่า นี้ทุกข์ นี้โทษ เพราะสังขารเป็นปัจจัย. บทว่า สพฺพสงฺขารสมถา เพราะความสงบแห่งสังขารทั้งหมด คือ ชื่อว่า สงบสังขารทั้งหลายทั้งหมดดังได้กล่าวแล้วด้วยมรรคญาณ อธิบายว่า เพื่อความกำจัดเพราะปรารถนาผล. บทว่า สญฺานํ แห่งสัญญาทั้งหลาย คือเพราะสัญญามีกามสัญญาเป็นต้นดับด้วยมรรคนั่นเอง. บทว่า เอตํ ตฺวา ยถาตถํ คือรู้ความสิ้นไปแห่งทุกข์นี้โดยไม่วิปริต. บทว่า สมฺมทฺทสา ผู้เห็นชอบ คือเห็นโดยชอบ. บทว่า สมฺมทญฺาย รู้โดยชอบ คือรู้สังขารธรรมโดยเป็นของไม่เที่ยง และรู้อสังขตธรรมโดยความเป็นของเที่ยง. บทว่า มารสํโยคํ กิเลสเป็นเครื่องประกอบของมาร คือวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 684
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๕ ต่อไป. บทว่า วิญฺาณปจฺจยา เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย คือเพราะวิญญาณปรุงแต่งให้เกิดร่วมกับกรรมเป็นปัจจัย บทว่า นิจฺฉาโต เป็นผู้หายหิว คือหมดอยาก. บทว่า ปรินิพฺพุโต ดับรอบแล้ว คือเป็นผู้ดับรอบด้วยการดับกิเลส. บทที่เหลือมีความปรากฏชัดแล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๖ ต่อไป. บทว่า ผสฺสปจฺจยา เพราะผัสสะเป็นปัจจัย อธิบายว่า เพราะผัสสะสัมปยุตด้วยอภิสังขารและวิญญาณเป็นปัจจัย ในที่นี้ท่านกล่าวถึงผัสสะมิได้กล่าวถึงนามรูป สฬายตนะนั้นควรจะกล่าวตามลำดับ เพราะนามรูปและสฬายตนะเหล่านั้น มิได้สัมปยุตด้วยกรรมเท่านั้น เพราะปนกับรูป อนึ่งวัฏทุกข์นี้พึงเกิดจากกรรม หรือจากธรรมอันสัมปยุตด้วยกรรม. บทว่า ภวโสตานุสารินํ ผู้แล่นไปตามกระแสแห่งภวตัณหา คือแล่นไปตามตัณหา. บทว่า ปริญฺาย กำหนดรู้ คือกำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓. บทว่า ปญฺาย คือรู้ด้วยอรหัตตมรรคปัญญา. บทว่า อุปสเม รตา ยินดีแล้วในธรรมเป็นที่เข้าไปสงบ คือยินดีแล้วในนิพพานด้วยผลสมาบัติ. บทว่า ผสฺสาภิสมยา คือเพราะการดับไปแห่งผัสสะ. บทที่เหลือมีความปรากฏชัดแล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๗ ต่อไป. บทว่า เวทนาปจฺจยา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย คือเพราะเวทนาสัมปยุตด้วยกรรมเป็นปัจจัย. บทว่า อทุกฺขมสุขํ สห คือพร้อมด้วยอทุกขมสุขเวทนา. บทว่า เอตํ ทุกฺขนฺติ ตฺวาน รู้ว่านี้ทุกข์ คือรู้ว่าการเสวยอารมณ์ทั้งปวงนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ หรือรู้ว่าทุกข์ เพราะความปรวนแปรไปไม่คงที่ และความเป็นทุกข์เพราะไม่รู้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 685
บทว่า โมสธมฺมํ มีความสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา คือมีความสูญหายไปเป็นธรรมดา. บทว่า ปโลกินํ มีความทรุดโทรมไปเป็นธรรมดา คือมีความทรุดโทรมไปด้วยชราและมรณะเป็นธรรมดา. บทว่า ผุสฺส ผุสฺส ถูกต้อง ถูกต้อง คือถูกต้อง ถูกต้องแล้วด้วยอุทยัพพยญาณ (ปัญญากำหนดรู้ความเกิดและความเสื่อม). บทว่า วยํ ปสฺสํ เห็นความเสื่อม คือเห็นความแตกทำลายในที่สุดนั่นเอง. บทว่า เอวํ ตตฺถ วิชานติ ย่อมรู้แจ่มแจ้งความเป็นทุกข์ในเวทนานั้นอย่างนี้ คือรู้แจ่มแจ้งเวทนานั้นอย่างนี้ หรือรู้แจ่มแจ้งความเป็นทุกข์ในเวทนานั้น. บทว่า เวทนานํ ขยา เพราะเวทหาทั้งหลายสิ้นไปคือ เบื้องหน้าแต่นั้น เพราะเวทนาสัมปยุตด้วยกรรมสิ้นไปด้วยมรรคญาณ. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๘ ต่อไป. บทว่า ตณฺหาปจฺจยา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย คือเพราะตัณหาสะสมกรรมเป็นปัจจัย. บทว่า เอตมาทีนวํ ตฺวา ตณฺหา ทุกฺขสฺส สมฺภวํ ภิกษุรู้โทษนี้ว่าตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ คือรู้โทษของตัณหานั้นว่าเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยวาระที่ ๙ ต่อไป. บทว่า อุปาทานปฺปจฺจยา เพราะอุปทานเป็นปัจจัย คือเพราะอุปทานสะสมกรรมเป็นปัจจัย. บทว่า ภโว ภพได้แก่มีภพเป็นวิบาก คือความปรากฏแห่งขันธ์. บทว่า ภูโต ทุกฺขํ สัตว์ผู้เกิดแล้วย่อมเข้าถึงทุกข์ คือ สัตว์ผู้เกิดแล้วและเป็นแล้วย่อมเข้าถึงวัฏทุกข์. บท่า ชาตสฺส มรณํ เกิดแล้วต้องตาย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 686
จะทรงแสดงถึงทุกข์เท่านั้นในเมื่อคนพาลทั้งหลายสำคัญว่า เกิดแล้วย่อมเข้าถึงสุข จึงตรัสว่า ชาตสฺส มรณํ โหติ เกิดแล้วต้องตายดังนี้. ในคาถาที่ ๒ โยชนาแก้ว่า บัณฑิตทั้งหลายรู้แล้วโดยชอบ โดยความไม่เที่ยงเป็นต้น รู้ยิ่งนิพพานว่าเป็นความสิ้นชาติ เพราะสิ้นอุปาทานแล้วย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๑๐. ต่อไป. บทว่า อารมฺภปฺปจฺจยา เพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย คือเพราะความเพียรสัมปยุตด้วยกรรมเป็นปัจจัย. บทว่า อนารมฺเภ วิมุตฺติโน ได้แก่น้อมไปในนิพพานที่ไม่มีความริเริ่ม. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๑๑ ต่อไป. บทว่า อาหารปฺปจฺจยา เพราะอาหารเป็นปัจจัย คือเพราะอาหารสัมปยุตด้วยกรรมเป็นปัจจัย. อาจารย์อีกพวกหนึ่ง กล่าวว่า สัตว์สี่ประเภท คือ รูปูปคา (เข้าถึงรูป) ๑ เวทนูปคา (เข้าถึงเวทนา) ๑ สัญญูปคา (เข้าถึงสัญญา) ๑ สงฺขารูปคา (เข้าถึงสังขาร) ๑.
ในสัตว์สี่ประเภทนั้นสัตว์ผู้ข้องอยู่ด้วยกามธาตุ ๑๑ อย่าง ชื่อว่า รูปูปคา เพราะเสพกวฬีการาหาร. สัตว์ผู้ข้องอยู่ด้วยรูปธาตุ เว้นอสัญญีสัตว์ชื่อว่า เวทนูปคา เพราะเสพผัสสาหาร. สัตว์ผู้ข้องอยู่ด้วยอรูปธาตุ ๓ อย่าง เบื้องต่ำชื่อว่า สัญญูปคา เพราะเสพมโนสัญเจตนาหารอันเกิดแต่สัญญา สัตว์ในยอดภูมิ (เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ) ชื่อว่า สังขารูปคา เพราะเสพวิญญาหารอันเกิดแต่สังขาร. พึงทราบว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย. บทว่า อาโรคฺยํ ความไม่มีโรค คือนิพพาน. บทว่า สงฺขาย เสวิ พิจารณาแล้วเสพ ความว่า พิจารณาปัจจัยแล้วเสพปัจจัย ๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 687
หรือพิจารณาโลกอย่างนี้ว่าขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ดังนี้แล้วเสพด้วยญาณว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดังนี้. บทว่า ธมฺมฏฺโ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมคือตั้งอยู่ในสัจธรรม ๔. บทว่า สงฺขฺยํ โนเปติ ย่อมไม่เข้าถึงการนับ คือไม่เข้าถึงการนับว่า เป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์เป็นต้น. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๑๒ ต่อไป. บทว่า อิญฺชิตปฺปจฺจยา เพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย คือ เพราะในบรรดาความหวั่นไหว คือตัณหา มานะ ทิฏฐิ กรรมและกิเลส ความหวั่นไหวอย่างใดอย่างหนึ่งสะสมกรรมเป็นปัจจัย. บทว่า เอชํ โวสฺสชฺช สละแล้ว คือสละตัณหา. บทว่า สงฺขาเร อุปรุนฺธิย ดับสังขารทั้งหลายได้แล้ว คือดับกรรมและสังขารสัมปยุตด้วยกรรม. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๑๓ ต่อไป. บทว่า นิสฺสิตสฺส จลิตํ ความดิ้นรนย่อมมีแก่ผู้อันตัณหามานะและทิฏฐิอาศัยแล้ว คือความดิ้นรนเพราะความกลัวย่อมมีแก่ผู้อันตัณหามานะและทิฏฐิอาศัยแล้วในขันธ์ ดุจความดิ้นรน เพราะความกลัวย่อมมีแก่เทวดาทั้งหลายในสีหสูตร. บทที่เหลือมีความง่าย ทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๑๔ ต่อไป. บทว่า รูเปหิ กว่ารูปภพทั้งหลาย คือ กว่ารูปภพหรือรูปสมาบัติ. บทว่า อารุปฺปา อรูปภพ คือ อรูปภพหรืออรูปสมาบัติ. บทว่า นิโรโธ คือนิพพาน. บทว่า มจฺจุหานิโย เป็นผู้ละมัจจุเสียได้ คือ เป็นผู้ละมรณมัจจุ กิเลสมัจจุ และเทวปุตตมัจจุเสียได้. ท่านอธิบายว่า ละมัจจุ ๓ อย่างนั้นไปได้. บทที่เหลือง่ายทั้งนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 688
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๑๕ ต่อไป. บทว่า ยํ ทรงกล่าวหมายถึงนามรูป. เพราะนามรูปนั้นอันชาวโลกเข้าไปเพ่งเล็งเห็น ว่านี้เป็นของจริงด้วยความยั่งยืน งาม เป็นสุข. บทว่า ตทมริยานํ ตัดบทเป็น ตํ อิทํ อริยานํ ลบนิคคหิตและอิอักษร ตํ อิทํ จึงสนธิเป็น ตท. บทว่า เอตํ มุสา. นามรูปนั้นเป็นของเท็จ คือ นามรูปนั้นแม้ยึดถือด้วยเป็นของยั่งยืนเป็นต้นก็เป็นของเท็จ คือ ไม่เป็นอย่างนั้น. บทว่า ปุน ยํ ทรงกล่าวหมายถึงนิพพาน. เพราะนิพพานนั้นอันชาวโลกมองเห็นว่านิพพานนี้เป็นของเท็จ ไม่มีอะไร เพราะไม่มีรูปและเวทนาเป็นต้น. บทว่า ตทมริยานํ เอตํ สจฺจํ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาว่านิพพานนั้นเป็นของจริง ความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้นเป็นของจริงโดยปรมัตถ์ในการไม่ปราศจากความเป็นสุข คือ ไม่มีกิเลส ความเป็นสุขอันเป็นปฏิปักษ์แห่งความทุกข์ ความเป็นของเที่ยงอันได้แก่ความสงบโดยส่วนเดียว.
บทว่า อนตฺตนิ อตฺตมานี มีความสำคัญในสิ่งมิใช่ตนว่าเป็นตัวตน คือ มีความสำคัญในสิ่งมิใช่ตัวตนว่าเป็นตัวคนโดยสภาพของนามรูปและเวทนา เป็นต้น. บทว่า อิทํ สจฺจนฺติ มญฺติ ย่อมสำคัญว่านามรูปที่เป็นของจริง คือ ย่อมสำคัญว่านามรูปนี้เป็นของจริงโดยความเป็นของยั่งยืนเป็นต้น. บทว่า เยน เยน หิ คือ ย่อมสำคัญโดยนัยมีอาทิว่า รูปของเรา เวทนาของเรา ด้วยรูปหรือเวทนาใดๆ. บทว่า ตโต ตํ คือนามรูปนั้นย่อมเป็นอย่างอื่นไปจากอาการที่สำคัญนั้น. เพราะเหตุไร เพราะนามรูปของผู้นั้นเป็นของเท็จ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 689
อธิบายว่า เพราะนามรูปนั้นเป็นของเท็จจากอาการตามที่สำคัญไว้ ฉะนั้นจึงเป็นอย่างอื่นไป. ก็เพราะเหตุไรจึงเป็นของเท็จเล่า. เพราะนามรูปมีความสูญสิ้นเป็นธรรมดา คือเพราะสิ่งใดปรากฏขึ้นนิดหน่อยย่อมมีความสูญสิ้นเป็นธรรมดา คือมีความย่อยยับไปเป็นธรรมดา และนามรูปก็เป็นเหมือนอย่างนั้น. บทว่า สจฺจาภิสมยา คือรู้นิพพานนั้นโดยความเป็นจริง. บทที่เหลือง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระที่ ๑๖ ต่อไป. บทว่า ยํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ๖ อย่าง. เพราะอารมณ์นั้นอันชาวโลกเล็งเห็นว่า เป็นความสุขดุจตั๊กแตนปลาและลิงเล็งเห็นแสงประทีปและเบ็ดที่เขาล่อไว้ว่าเป็นความสุข. บทว่า ตทมริยานํ เอตํ ทุกฺขํ พระอริยเจ้าทั้งหลาย เห็นว่านั่นเป็นทุกข์ อธิบายว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีด้วยปัญญา อันชอบตามความเป็นจริงว่านั่นเป็นทุกข์โดยนัยมีอาทิว่า จริงอยู่ กามทั้งหลายวิจิตร อร่อย น่ารื่นรมย์ ย่อมย่ำยีจิตให้มีรูปผิดรูปไป. บทว่า ปุน อิทํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงนิพพานเท่านั้น. เพราะนิพพานนั้นอันชาวโลกเล็งเห็นแล้วว่าเป็นทุกข์ เพราะไม่มีกามคุณ. บทว่า ตทมริยานํ ความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นแล้วด้วยดีด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นิพพานนี้เป็นสุขโดยความเป็นปรมัตถสุข. บทว่า เกวลา คือ ไม่มีเหลือ. บทว่า อิฏฺา คือน่าปรารถนา. บทว่า กนฺตา น่าใคร่ คือน่ารัก. บทว่า มนาปา น่าพอใจ คือ น่าทำความเจริญให้แก่ใจ. บทว่า ยาวตตฺถีติ วุจฺจติ โลกกล่าวว่ามีอยู่เท่าใด คือ โลกกล่าวว่าอารมณ์ ๖ เหล่านี้มีอยู่เท่าใด. พึงทราบความเฉียบแหลมของถ้อยคำ. บทว่า โว ในบทว่า เอเต โว นี้เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 690
เพียงนิบาต แปลว่า อารมณ์ ๖ เหล่านี้. บทว่า สุขนฺติ ทิฏฺมริเยหิ สกฺกายสฺสุปโรธนํ ได้แก่ ความดับแห่งเบญจขันธ์อันพระอริยเจ้าเห็นแล้วว่าเป็นความสุข. ท่านอธิบายว่า ได้แก่ นิพพาน. บทว่า ปจฺจนีกมิทํ โหติ คือ ความเห็นขัดแย้งกัน. บทว่า ปสฺสตํ คือ ผู้เห็นอยู่ ท่านอธิบายว่า ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลาย. บทว่า ยํ ในบทว่า ยํ ปเร นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสหมายถึงวัตถุกาม. ในบทว่า ปุน ยํ ปุเร นี้หมายถึงนิพพาน. บทว่า ปสฺส จงดู พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้ฟัง. บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ ธรรม คือนิพพาน. บทว่า สมฺปมูฬฺเหตฺถ อวิทฺทสุ คือคนพาลทั้งหลายผู้ไม่รู้แจ้งพากันหลงในโลกนี้. พากันหลงเพราะกระทำอะไร? เพราะความมืดตื้อย่อมมีแก่คนพาลทั้งหลายผูกอวิชชาหุ้มห่อแล้วผู้ไม่เห็นอยู่ เพราะเหตุที่ความมืดทำให้คนพาลทั้งหลายถูกอวิชชาหุ้มห่อท่วมทับเป็นคนบอด ดังนั้นคนพาลทั้งหลาย จึงไม่สามารถเห็นธรรมคือนิพพาน. บทว่า สตญฺจ วิวฏํ โหติ อาโลโก ปสฺสตามิว ความว่า ส่วนนิพพานเป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษทั้งหลาย ผู้เห็นอยู่ด้วยปัญญาทัศนะเหมือนแสงสว่างฉะนั้น.
บทว่า สนฺติเก น วิชฺชนฺติ มคา ธมฺมสฺส โกวิทา ชนทั้งหลายเป็นผู้ค้นคว้าไม่ฉลาดต่อธรรมย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่ใกล้ ความว่า ชนทั้งหลายเป็นผู้ค้นคว้า ไม่ฉลาดต่อธรรมอันเป็นทางและมิใช่ทาง หรือต่อธรรมทั้งหมด ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานนั้น แม้มีอยู่ในที่ใกล้อย่างนี้ เพราะกำหนดเพียงตจปัญจกกรรมฐาน (กรรมฐานมีหนังเป็นที่ห้า) ในร่างกายของตน แล้วพึงบรรลุเป็นลำดับไปเท่านั้น หรือเพราะเพียงดับขันธ์ของตน. พึงทราบโดยประการทั้งปวงว่า ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครอบงำแล้ว แล่นไปตาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 691
กระแสภวตัณหา ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนืองๆ ไม่ตรัสรู้ธรรมนี้ได้โดยง่าย. ในบทเหล่านั้นบทว่า มารเธยฺยานุปฺปนฺเนภิ ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนืองๆ คือ เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓.
พึงทราบการเชื่อมความในคาถาหลังว่าใครหนอ นอกจากพระอริยเจ้า ย่อมควรรู้บทคือนิพพานที่ตรัสรู้ไม่ได้ง่ายนักอย่างนี้. บทนั้นมีอธิบายดังนี้ นอกจากพระอริยเจ้าแล้ว คนอื่นใครหนอ ควรจะรู้บทคือนิพพานอันเป็นบทที่พระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะตามลำดับ เพราะรู้โดยชอบด้วยอริยมรรค ที่ ๔ ย่อมปรินิพพานด้วยการดับกิเลส หรือเป็นผู้ไม่มีอาสวะเพราะรู้โดยชอบ ย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่สุด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังเทศนาให้จบลงด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต.
บทว่า อตฺตมนา คือมีใจยินดี. บทว่า อภินนฺทุํ คือชื่นชม. บทว่า อิมสฺมึ จ ปน เวยฺยากรณสฺมึ คือ ไวยากรณ์ภาษิตที่ ๑๖ นี้. บทว่า ภญฺมาเน คือ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส. บทที่เหลืออปรากฏชัดแล้ว. ในเพราะไวยากรณ์ภาษิต ๑๖ วาระแม้ทั้งหมดอย่างนี้จิตของภิกษุเก้าร้อยรูป แบ่งเป็นพวกๆ ประมาณหกสิบ หกสิบ เกินกว่าหกสิบ พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น. ก็ในสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัจธรรม ๑๖ ครั้ง ครั้งละ ๔ รวมเป็น ๖๔ ครั้งด้วยไวยากร์ภาษิต โดยประการต่างๆ ด้วย ประการฉะนี้.
จบอรรถกถาทวยตานุปัสสนาที่ ๑๒ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา
จบอรรถกถามหาวรรคที่ ๓
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 692
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปัพพชาสูตร ๒. ปธานสูตร ๓. สุภาษิตสูตร ๔. สุนทริกสูตร ๕. มาฆสูตร ๖. สภิยสูตร ๗. เสลสูตร ๘. สัลลสูตร ๙. วาเสฏฐสูตร ๑๐. โกกาลิกสูตร ๑๑. นาลกสูตร ๑๒. ทวยตานุปัสสนาสูตร
สูตร ๑๒ สูตรเหล่านี้ ท่านเรียกว่า มหาวรรค ดังนี้แล.