ความจริงแห่งชีวิต [118] การจำแนกจิตโดยนัยต่างๆ
โดย พุทธรักษา  25 ส.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 13342

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อรรถ​ของ​จิต​ประการ​ที่ ๔ คือ อนึ่ง จิตแม้ทุกดวงชื่อว่า​ จิต เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตรตามสมควร โดยอำนาจแห่งสัมปยุตตธรรม (เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ทำให้จำแนกจิตออกเป็นประเภทต่างๆ ได้หลายนัย เช่น โดยชาติ ๔ ได้แก่ เป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ โดยภูมิ ๔ คือ กา​มาวจรจิต รูปาวจรจิต อรูป​าวจรจิต โลกุตตรจิต

กา​มาว​จร​จิต มี​ทั้ง ๔ ชาติ คือ เป็น​อกุศล​ก็​มี เป็น​กุศลก็​มี เป็น​วิบาก​ก็​มี เป็น​กิริยา​ก็​มี นอกจากกา​มาวจรจิตแล้ว จิตระดับที่สูงกว่า​นั้นไม่เป็นอกุศล คือ รูปาวจรจิตที่เป็นอกุศลไม่มี อรูป​าวจรจิตที่เป็นอกุศลไม่มี โลกุตตรจิตที่เป็นอกุศลไม่มี (และที่เป็นกิริยา​ไม่มี)

ฉะนั้น รู​ปาว​จร​จิต​จึง​มี ๓ ชาติ คือ กุศล วิบาก กิริยา รูปาวจรกุศลจิตเป็นเหตุให้รูปาวจรวิบากจิต ทำกิจปฏิสนธิเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลกภูมิหนึ่งภูมิใดในรูปพรหม ๑๕ ภูมิ และรูปาวจรปัญจมฌานเป็นปัจจัยให้รูปปฏิสนธิเป็นอสัญญสัตตา​พรหมบุคคลในอสัญญสัตตา​พรหมภูมิ ๑ ภูมิ รูปาวจรกิริยา​เป็นกิริยา​จิตของพระอรหันต์ขณะที่เป็นรูปฌานจิตขั้นต่างๆ

อรูป​าว​จร​จิต​ก็​มี ๓ ชาติ คือ กุศล วิบาก กิริยา โดยนัยเดียวกัน

รู​ปาว​จร​จิต​และ​อรูป​าว​จร​จิตเป็น​มหัคคต​จิต ข้อความในอัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ อธิบายความหมายของ "มหัคค​ตะ" ว่า ชื่อว่า มหคฺคต เพราะ​ถึง​ความ​เป็น​สภาวะ​อัน​ใหญ่ เพราะสามารถ​ข่ม​กิเลส​ได้ เพราะ​มี​ผล​ไพบูลย์

กิเลสเป็นสิ่งที่ข่มไม่ได้ง่าย เพราะพอเห็นก็เกิดพอใจหรือไม่พอใจ แต่ในขณะที่จิตเป็นอัปปนา​สมาธิเป็นฌานจิตนั้น จิตสงบแนบแน่นในอารมณ์ทางมโนทวาร ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้โผฏฐัพพะ ขณะ​ที่​เป็น​ฌาน​จิต ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ระยะ​เวลา​นาน​เท่าไร​ก็ตาม ภวังคจิต​จะไม่​เกิด​คั่น​แทรก​เลย ไม่​เหมือน​กับ​เวลา​ที่​เป็น​กา​มาว​จร​จิต ซึ่ง​เป็น​ขณะ​ที่​เล็ก​น้อย​และ​สั้น​มากเป็น​ปริต​ต​ธรรม เพราะเห็นชั่ววา​ระสั้นๆ ได้ยินชั่ววา​ระสั้นๆ คิดนึกชั่ววา​ระสั้นๆ ขณะที่เป็นกา​มาวจรจิตนั้นรู้อา​รมณ์หนึ่งๆ ชั่ววาระที่สั้นจริงๆ เมื่อจักขุทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรู้รูปา​รมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา​ดับไป ภวังคจิตก็ต้องเกิดต่อทันทีก่อนที่มโนทวารวิถีจิตจะรับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา​ต่อจากจักขุทวารวิถีจิต กา​มาวจรธรรม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และจิตที่รู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะจึงเป็นปริตตธรรม แต่มหัคคตจิตซึ่งได้แก่ รูปาวจรจิต และอรูป​าวจรจิตนั้น ถึงความเป็นสภาวะอันใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลสได้ จึงเป็นมหัคคตจิต

ขณะที่เป็นอัปปนา​สมาธิ คือฌานจิตเกิดดับสืบต่อกันนั้น ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้โผฏฐัพพะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และไม่คิดนึกเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใดๆ เลย จึงชื่อว่า​สามารถข่มกิเลส แต่เมื่อฌานจิตดับหมดแล้วกา​มาวจรจิตก็เกิดต่อ เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นทางทวารต่างๆ อกุศลชวนวิถีก็เกิดได้ถ้า​ไม่ใช่กุศล เพราะเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เมื่อเห็นแล้วอกุศลจิตก็เกิดขึ้น เมื่อได้ยินแล้วอกุศลจิตก็เกิด เมื่อกายกระทบสัมผัสแล้วอกุศลจิตก็เกิด มีใครรู้บ้างว่า​อกุศลจิตเกิดอยู่เรื่อยๆ เมื่อไม่รู้ ก็ไม่ได้ข่ม และไม่ได้อบรมเจริญหนทางที่จะดับกิเลส

ก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา​สัมพุทธเจ้า ผู้ที่เห็นโทษของอกุศลจิตซึ่งเกิดสืบต่อจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ ก็ได้พยายามหา​ทางที่จะข่มกิเลส และรู้ว่าทางเดียวที่จะข่มกิเลสได้ คือ ต้องไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส และไม่รู้โผฏฐัพพะ เพราะถ้า​เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รสและรู้โผฏฐัพพะ ก็กั้นกิเลสไม่ได้ เมื่อรู้อย่างนี้จึงอบรมเจริญกุศลจิตที่ทำให้สงบจากโลภะ โทสะ โมหะ จนถึงอัปปนา​สมาธิ ซึ่งไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสใดๆ นอกจากอารมณ์ที่ทำให้จิตเป็นกุศล สงบมั่นคงแนบแน่นทางใจเพียงอารมณ์เดียวเท่านั้น อัปปนา​สมาธิซึ่งเป็นฌานจิตนั้นไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลส เพราะเมื่อฌานจิตไม่เกิด กิเลสก็เกิด ชั่วขณะที่เป็นรูปาวจรจิตและอรูป​าวจรจิตนั้นเป็นสภาวะอันใหญ่เป็นมหัคคตะ เพราะข่มกิเลสได้โดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่เหมือนพระอนาคามีบุคคล ซึ่งเห็นแต่ดับความยินดีพอใจในรูป ได้ยินแต่ดับความยินดีพอใจในเสียง ได้กลิ่นแต่ดับความยินดีพอใจในกลิ่น ลิ้มรสแต่ดับความยินดีพอใจในรส กระทบสัมผัสแต่ดับความยินดีพอใจในเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึงไหวที่ปรากฏ ฉะนั้น จิตจึงต่างกันเป็น ๔ ภูมิ คือ ๔ ระดับขั้น

รู​ปาว​จร​จิต​และ​อรูป​าว​จร​จิต​มี ๓ ชาติ คือ​ กุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑

โลกุ​ตต​รจิต​มี ๒ ชาติ คือ เป็น​โลกุ​ตต​รกุศล​ประเภท ๑ เป็น​โลกุ​ตตรวิบาก​ประเภท ๑ ไม่มีโลกุตตรกิริยา​จิต โลกุตตรจิตมี ๘ ดวง คือ

โสต​า​ปัตติมัคคจิตเป็นโลกุตตรกุศล
โสต​า​ปัตติผลจิตเป็นโลกุตตรวิบาก

สกทา​คา​มิมัคคจิตเป็นโลกุตตรกุศล
สกทา​คา​มิผลจิตเป็นโลกุตตรวิบาก

อนาคา​มิมัคคจิตเป็นโลกุตตรกุศล
อนาคา​มิผลจิตเป็นโลกุตตรวิบาก

อรหัตตมัคคจิตเป็นโลกุตตรกุศล
อรหัตตผลจิตเป็นโลกุตตรวิบาก


โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จัดพิมพ์เผยแพร่ โดย คณะกรรมการ ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ครบ ๗๕ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕

ขอเชิญอ่านหรือดาวน์โหลดหนังสือ ...

ปรมัตถธรรมสังเขป

ขอเชิญอ่านตอนต่อไป ...

ความจริงแห่งชีวิต

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์



ความคิดเห็น 1    โดย วิริยะ  วันที่ 28 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย Jarunee.A  วันที่ 2 มิ.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ