[เล่มที่ 9] พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒
พระวินัยปิฎก
เล่ม ๗
จุลวรรค ทุติยภาค
ขุททกวัตถุขันธกะ
เรื่องพระฉัพพัคคีย์วัตรในการอาบน้ํา 1/1
เรื่องเครื่องประดับต่างชนิด 12/5
เรื่องไว้ผมยาว 13/6
เรื่องส่องดูเงาหน้า 15/6
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ทาหน้าเป็นต้น 17/7
เรื่องสวดพระธรรมด้วยทํานอง 20/8
เรื่องการสวดสรภัญญะ 21/9
เรื่องทรงห้ามฉันมะม่วง 23/9
สมณกัปปะ ๕ อย่าง 25/10
เรื่องภิกษุถูกงูกัด 26/11
คาถาแผ่เมตตากันงูกัด 27/12
เรื่องภิกษุตัดองค์กําเนิด 28/13
เรื่องบาตรปุ่มไม้จันทน์ 29/13
เรื่องปิณโฑลภารทวาชเถระ 31/14
เรื่องจีวร 55/21
เรื่องไม้สะดึง 59/23
เรื่องโรงสะดึง 66/25
เรื่องผ้ากรองน้ํา 72/27
เรื่องที่จงกรมและเรือนไฟ 78/29
เรื่องการเปลือยกาย 90/33
เรื่องศาลาเรือนไฟและบ่อน้ํา 91/33
เรื่องสรงน้ํา 101/35
ทรงห้ามนอนบนที่นอนดอกไม้ 104/36
พุทธานุญาตรับของหอม 105/36
ทรงห้ามฉันในภาชนะเดียวกันเป็นต้น 109/37
เรื่องเจ้าวัฑฒลิจฉวี 110/38
องค์แห่งการคว่ําบาตร 113/40
กรรมวาจาคว่ําบาตร 40
องค์แห่งการหงายบาตร 42
กรรมวาจาหงายบาตร 43
เรื่องโพธิราชกุมาร 120/44
ทรงห้ามเหยียบแผ่นผ้า 123/46
เรื่องนางวิสาขามิคารมารดา 126/47
เรื่องพัด 129/48
เรื่องร่ม 131/49
เรื่องไม้เท้า 135/50
กรรมวาจาให้ทัณฑสมมติ 51
คําขอสิกกาสมมติ 52
กรรมวาจาให้สิกกาสมมติ 52
คําขอทัณฑสิกกาสมมติ 53
กรรมวาจาให้ทัณฑสิกกาสมมติ 54
เรื่องภิกษุเรอ 144/54
เรื่องเล็บยาว 146/55
เรื่องขัดเล็บ 148/56
เรื่องมีดโกน 149/56
เรื่องแต่งหนวด 150/56
เรื่องโกนขนในที่แคบ 151/57
เรื่องไว้ขนจมูกยาว 154/57
ทรงห้ามสั่งสมเครื่องโลหะเครื่องสัมฤทธิ์ 159/58
เรื่องประคดเอว 163/59
เรื่องลูกถวิล 165/60
เรื่องลูกดุม 166/60
เรื่องพระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ 169/61
เรื่องไม้ชําระฟัน 173/62
เรื่องพระฉัพพัคคีย์จุดไฟเผากองหญ้า 176/63
เรื่องข้นตึ ้นไม้ 178/64
เรื่องเรียนคัมภีร์โลกายตะ 181/65
เรื่องเรียนดิรัจฉานวิชา 183/66
เรื่องฉันกระเทียม 187/67
เรื่องหม้อปัสสาวะ 189/68
พุทธานุญาตหลุ่มถ่ายอุจจาระ 190/68
พุทธานุญาตวัจจกุฏี 191/69
ประพฤติอนาจารต่างๆ 195/71
พุทธานุญาตเครื่องโลหะเป็นต้น 196/73
หัวข้อประจําขันธกะ 197/74
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 9]
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 1
พระวินัยปิฎก
เล่ม ๗
จุลวรรค ทุติยภาค
ขุททกวัตถุขันธกะ
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ วัตรในการอาบน้ำ
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ อาบน้ำ สีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลังบ้าง ที่ต้นไม้ ชาวบ้านเห็นแล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทั้งหลายอาบน้ำ จึงสีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลังบ้าง ที่ต้นไม้ เหมือนพวกนักมวยผู้ชกกันด้วยหมัด เหมือนพวกชาวบ้าน ผู้ขอบแต่งผิวเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา อยู่ ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 2
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์อาบน้ำ สีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลังบ้าง ที่ต้นไม้ จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การ กระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร มิใช่กิจของ สมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน โมฆบุรุษเหล่านั้นอาบน้ำจึงสีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลังบ้าง ที่ต้นไม้เล่า การกระทำของโมฆบุรุษ เหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้น แล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาบ น้ำ ไม่พึงสีกาย ที่ต้นไม้ รูปใดสี ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อาบน้ำ สีกาย คือ ขาบ้าง แขน บ้าง อกบ้าง หลังบ้าง ที่เสา ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทั้งหลายอาบน้ำ จึงได้สีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลังบ้าง ที่เสา เหมือนพวกนักมวยผู้ชกกันด้วยหมัด เหมือน พวกชาวบ้านผู้ชอบแต่งผิวเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า.. จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่ง กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาบน้ำไม่พึงสีกายที่เสา รูปใด สี ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 3
[๓] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อาบน้ำ สีกาย คือ ขาบ้าง แขน บ้าง อกบ้าง หลังบ้าง ที่ฝา ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทั้งหลายอาบน้ำ จึงได้สีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลังบ้าง ที่ฝา เหมือนพวกนักมวยผู้ชกกันด้วยหมัด เหมือน พวกชาวบ้านผู้ขอบแต่งผิวเล่า ...
พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาบน้ำ ไม่พึงสีกายที่ฝา รูปใดสี ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อาบน้ำ ย่อมอาบในสถานที่อันไม่สมควร ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภค กาม ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพทะนาอยู่ ... จึงกราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ... จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับ สั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาบน้ำ ไม่พึงอาบในสถาน ที่อันไม่สมควร รูปใดอาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๕] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อาบน้ำถูด้วยมือที่ทำด้วยไม้ ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุ ทั้งหลายได้ยินพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรื่อง นั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงอาบน้ำถูด้วยมือที่ทำด้วยไม้ รูปใดอาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 4
[๖] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อาบน้ำถูด้วยก้อนจุรณหินสีดั่งพลอยแดง ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภค กาม ภิกษุทั้งหลาย ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงอาบน้ำถูด้วยก้อนจุรณหินสีดั่งพลอยแดง รูปใดอาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๗] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ผลัดกันถูตัว ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... จึง กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงผลัดกันถูตัว รูปใดให้ทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๘] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อาบน้ำถูด้วยไม้บังเวียนที่จักเป็นฟัน มังกร ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้ บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงถูด้วยไม้บังเวียนที่จักเป็นฟันมังกร รูปใดอาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๙] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคหิด ภิกษุนั้นเว้นไม้บังเวียนที่จักเป็นฟันมังกรเสีย ย่อมไม่สบาย ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้บังเวียนที่มิได้จักเป็นฟันมังกรแก่ภิกษุอาพาธ.
[๑๐] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งทุพพลภาพเพราะชรา เมื่ออาบน้ำไม่ สามารถจะถูกายของตนได้ ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 5
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเกลียวผ้า.
[๑๑] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งรังเกียจเพื่อจะทำการถูหลัง ... ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการถูหลังด้วยมือ.
เรื่องเครื่องประดับต่างชนิด
[๑๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ทรงเครื่องประดับหู ... ทรงสังวาล ทรงสร้อยคอ ทรงเครื่องประดับเอว ทรงวลัย ทรงสร้อยตาบ ทรงเครื่อง ประดับข้อมือ ทรงแหวนประดับนิ้วมือ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ว่า ... เหมือนคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ทรงสอบถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ทรงเครื่องประดับหู ทรงสังวาล ทรงสร้อยคอ ทรงเครื่องประดับเอว ทรงวลัย ทรงสร้อยตาบ ทรงเครื่องประดับข้อมือ ทรง แหวนประดับนิ้วมือ จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับ สั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงทรงเครื่องประดับหู ไม่ พึงทรงสังวาล ไม่พึงทรงเครื่องประดับเอว ไม่พึงทรงวลัย ไม่พึงทรงสร้อย ตาบ ไม่พึงทรงเครื่องประดับข้อมือ ไม่พึงทรงแหวนประดับนิ้วมือ รูปใด ทรง ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 6
เรื่องไว้ผมยาว
[๑๓] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ไว้ผมยาว ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... กราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... รับสั่งว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึง ไว้ผมยาว รูปใดไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไว้ผมได้สองเดือน หรือยาวสอง องคุลี.
[๑๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์เสยผมด้วยแปรง เสยผมด้วยหวี เสยผมด้วยนิ้วมือต่างหวี เสยผมด้วยน้ำมันผสมกับขี้ผึ้ง เสยผมด้วยน้ำมันผสม กับน้ำ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้ บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเสยผม ด้วยแปรง ไม่พึงเสยผมด้วยหวี ไม่พึงเสยผมด้วยนิ้วมือต่างหวี ไม่พึงเสยผม ด้วยน้ำมันผสมกับขี้ผึ้ง ไม่พึงเสยผมด้วยน้ำมันผสมกับน้ำ รูปใดเสย ต้อง อาบัติทุกกฏ.
เรื่องส่องดูเงาหน้า
[๑๕] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ส่องดูเงาน้ำในแว่นบ้าง ในภาชนะ น้ำบ้าง ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้ บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงดูเงา หน้าในแว่นหรือในภาชนะน้ำ รูปใดดู ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 7
[๑๖] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่ง เป็นแผลที่หน้า เธอถามภิกษุ ทั้งหลายว่า แผลของผู้เป็นเช่นไร ขอรับ ภิกษุทั้งหลายตอบอย่างนี้ว่า แผลของคุณเป็นเช่นนี้ ขอรับ เธอไม่เชื่อ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดู เงาหน้าที่แว่นหรือทำภาชนะนี้ได้ เพราะเหตุอาพาธ.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ทาหน้าเป็นต้น
[๑๗] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ทาหน้า ถูหน้า ผัดหน้า เจิมหน้า ด้วยมโนศิลา ย้อมตัว ย้อมหน้า ย้อมทั้งตัวและหน้า ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... กราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงทาหน้า ไม่พึงถูหน้า ไม่พึงผัดหน้า ไม่พึงเจิมหน้าด้วยมโนศิลา ไม่พึงย้อมตัว ไม่ พึงย้อมหน้า ไม่พึงย้อนทั้งตัวและหน้า รูปใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.[๑๘] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธด้วยโรคนัยน์ตา ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ทาหน้าได้ เพราะเหตุอาพาธ.
[๑๙] สมัยต่อมา ที่พระนครราชคฤห์ มีงานมหรสพบนยอดเขา พระฉัพพัคคีย์ได้ไปเที่ยวดูงานมหรสพ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้ไปดูการฟ้อนรำ การขับร้อง และ
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 8
การประโคมดนตรี เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... กราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไปดู การฟ้อนรำ การขับร้อง หรือการประโคมดนตรี รูปใดไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง
[๒๐] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้าย เพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านั้น สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวก เราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดา ที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์ จึงได้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ข่าวว่า ... จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนอง ยาวคล้ายเพลงขับ มีโทษ ๕ ประการนี้ คือ:-
๑. ตนยินดีในเสียงนั้น
๒. คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น
๓. ชาวบ้านติเตียน
๔. สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป
๕. ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 9
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษ ๕ ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรม ด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้าย เพลงขับ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องการสวดสรภัญญะ
[๒๑] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ จึง กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้สวดเป็นทำนองสรภัญญะได้.
[๒๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ห่มผ้าขนสัตว์ มีขนข้างนอก ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงห่ม ผ้าขนสัตว์ มีขึ้นข้างนอก รูปใดห่ม ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องทรงห้ามฉันมะม่วง
[๒๓] สมัยต่อมา มะม่วงที่พระราชอุทยาน ของพระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนามาคธราช กำลังมีผล พระองค์ทรงอนุญาตไว้ว่า ขออาราธนา พระคุณเจ้าทั้งหลาย ฉันผลมะม่วงตามสบายเถิด พระฉัพพัคคีย์สอยผลมะม่วง กระทั่งผลอ่อนๆ ฉัน พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชต้องพระประสงค์ ผลมะม่วง จึงรับสั่งกับมหาดเล็กว่า ไปเถิด พนาย จงไปสวนเก็บมะม่วงมา มหาดเล็กรับพระบรมราชโองการแล้ว ไปสู่พระราชอุทยาน บอกคนรักษา
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 10
พระราชอุทยานว่า ในหลวงมีพระประสงค์ผลมะม่วง ท่านจงถวายผลมะม่วง คนรักษาพระราชอุทยานตอบว่า ผลมะม่วงไม่มี ภิกษุทั้งหลายเก็บไปฉันหมด กระทั่งผลอ่อนๆ มหาดเล็กเหล่านั้น จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระเจ้าพิมพิสารๆ รับสั่งว่า พระคุณเจ้าทั้งหลายฉันผลมะม่วงหมดก็ดีแล้ว แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสรรเสริญความรู้จักประมาณ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงไม่รู้จักประมาณ ฉันผลมะม่วงของ ในหลวงหมด ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉัน ผลมะม่วง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๒๔] สมัยต่อมา สัปบุรุษหมู่หนึ่งถวายภัตตาหารแก่สงฆ์ เขาจัด ผลมะม่วงเป็นชิ้นๆ ไว้ในกับข้าว ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่รับประเคน ...
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงรับ ประเคนฉันเถิด เราอนุญาตผลมะม่วงเป็นชิ้นๆ.
สัมณกัปปะ ๕ อย่าง
[๒๕] สมัยต่อมา สัปบุรุษหมู่หนึ่งถวายภัตตาหารแก่สงฆ์ เขาไม่ได้ ฝานมะม่วงเป็นชิ้นๆ ในโรงอาหารล้วนแล้วไปด้วยผลมะม่วงทั้งนั้น ภิกษุ ทั้งหลายรังเกียจไม่รับประเคน ...
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงรับ ประเคนฉันเถิด เราอนุญาตให้ฉันผลไม้โดยสมณกัปปะ ๕ อย่าง คือ
๑. ผลไม้ที่ลนด้วยไฟ
๒. ผลไม้ทำกรีดด้วยศัสตรา
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 11
๓. ผลไม้ที่จิกด้วยเล็บ
๔. ผลไม้ที่ไม่มีเมล็ด
๕. ผลไม้ที่ปล้อนเมล็ดออกแล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ฉันผลไม้โดยสมณกัปปะ ๕ อย่างนี้.
เรื่องภิกษุถูกงูกัด
[๒๖] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดถึงมรณภาพ ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นไม่ได้ แผ่เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ เป็นแน่ เพราะถ้าภิกษุรูปนั้น แผ่เมตตาจิต ไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ ภิกษุรูปนั้นจะไม่พึงถูกงูกัดถึงมรณภาพ ตระกูลพญางู ทั้ง ๔ อะไรบ้าง คือ
๑. ตระกูลพญางูวิรูปักขะ
๒. ตระกูลพญางูเอราปถะ
๓. ตระกูลพญางูฉัพยาปุตตะ
๔. ตระกูลพญางูกัณหาโคตมกะ.
ภิกษุรูปนั้นไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ นี้เป็นแน่ เพราะ ถ้าภิกษุนั้นแผ่เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ นี้ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถูกงูกัดถึง มรณภาพ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แผ่เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ นี้ เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน ก็แล พึงทำการแผ่ อย่างนี้:-
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 12
คถาแผ่เมตตากันงูกัด
[๒๗] เรากับพญางูระกูลวิรูปักขะ จงมีเมตตาต่อกัน เรากับพญางูตระกูล เอราปถะ จงมีเมตตาต่อกัน เรากับพญางู ตระกูลฉัพยาปุตตะ จงมีเมตตาต่อกัน เรากับ พญางูตระกูลกัณหาโคตมกะ จงมีเมตตาต่อ กัน เรากับฝูงสัตว์ที่ไม่มีเท้า จงมีเมตตาต่อ กัน เรากับฝูงสัตว์ ๒ เท้า จงมีเมตตาต่อกัน เรากับฝูงสัตว์ ๔ เท้า จงมีเมตตาต่อกัน สัตว์ กับฝูงสัตว์มีเท้ามาก จงมีเมตตาต่อกัน สัตว์ ไม่มีเท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา สัตว์ ๒ เท้า อย่าได้เบียดเบียนเรา สัตว์ ๔ เท้าอย่าได้ เบียดเบียนเรา สัตว์มีเท้ามากอย่าได้เบียดเบียนเรา และสัตว์ที่เกิดแล้วยังมีชีวิตทั้งมวล ทุกหมู่เหล่า จงประสบความเจริญ อย่าได้ พบเห็นสิ่งลามกสักน้อยหนึ่งเลย.
พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ พระธรรมมีพระคุณหาประมาณ มิได้ พระสงฆ์มีพระคุณหาประมาณมิได้ แต่สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแก หนู มีคุณพอประมาณ ความรักษาอันเรา ทำแล้ว ความป้องกันอันเราทำแล้ว ขอฝูงสัตว์ทั้งหลายจงถอยกลับไปเถิด เรา นั้นขอนมัสการแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอนมัสการแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 13
เรื่องภิกษุตัดองค์กำเนิด
[๒๘] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งถูกความกระสันเบียดเบียน ได้ตัดองค์ กำเนิดของตนเสีย ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษ เมื่อ สิ่งที่จะพึงตัดอย่างอื่นยังมี ไพล่ไปตัดเสียอีกอย่าง ภิกษุไม่พึงตัดองค์กำเนิด ของคน รูปใดตัด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
เรื่องบาตรปุ่มไม้จันทน์
[๒๙] สมัยต่อมา ปุ่มไม้แก่นจันทน์มีราคามาก ได้บังเกิดแก่เศรษฐี ชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐีได้คิดว่า ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วย ปุ่มไม้แก่นจันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็น ทาน หลังจากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรกแขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึ้นไป แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้ แล้วไปเถิด.
[๓๐] ขณะนั้น ปูรณกัสสปเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐีแล้ว กล่าวว่า ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่ อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด
ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฎบุตร ได้เข้าไปหาท่านเราชคหเศรษฐี แล้วกล่าวว่า ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ ขอท่าน
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 14
จงให้บาตรแก่อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็น พระอรหันต์และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด.
เรื่องพระปิณโฑลภารทวาชเถระ
[๓๑] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภาร ทวาชะ ครองอัตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมือง ราชคฤห์ อันที่แท้ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นอรหันต์และมีฤทธิ์ แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ไค้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้น ของท่าน แม้ท่านพระโมคัคลลานะก็กล่าวกะท่าน พระปิณโฑลภารทวาชะว่า ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตร นั้นของท่าน จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียน ไปรอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ.
[๓๒] ครั้งนั้น ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยา ยืนอยู่ใน เรือนของตน ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวนิมนต์ว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณ เจ้าภารทวาชะ จงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี้เถิด จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ขณะนั้น ท่านราชคหเศรษฐีรับบาตรจากมือของท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ แล้วได้จัดของเคี้ยว มีค่ามาก ถวายท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะได้รับ บาตรนั้นไปสู่พระอาราม ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ปลดบาตรของราชคหเศรษฐีไปแล้ว และชาวบ้านเหล่านั้นมีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิณโฑลภารทวาชะไปข้างหลังๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรง สดับเสียงอึกทึกเกรียวกราว ครั้นแล้วตรัสถามพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียง
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 15
อึกทึกเกรียวกราว เรื่องอะไรกัน ท่านอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลงแล้ว พวกชาว บ้านทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐี ลง จึงพากันติดตามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะมาข้างหลังๆ อย่างอึกทึกเกรียว กราว พระพุทธเจ้าข้า เสียงอึกทึกเกรียวกราวนี้ คือเสียงนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
[๓๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ใน เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่า ภารทวาชะ ข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลง จริงหรือ
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน เธอจึงได้แสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวก คฤหัสถ์ เพราะเหตุแบ่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะเหตุแห่งทรัพย์เป็นดุจซากศพแม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดง อิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่ง บาตรไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวด ยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั้น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 16
[๓๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ใช้บาตรต่างๆ คือ บาตรทำด้วย ทองคำ บาตรทำด้วยเงิน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือน พวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ บาตรทองคำ ไม่พึงใช้บาตรเงิน ไม่พึงใช้บาตรแก้วมณี ไม่พึงใช้บาตร แก้วไพฑูรย์ ไม่พึงใช้บาตรแก้วผลึก ไม่พึงใช้บาตรทองสัมฤทธิ์ ไม่พึงใช้ บาตรกระจก ไม่พึงใช้บาตรดีบุก ไม่พึงใช้บาตรตะกั่ว ไม่พึงใช้บาตรทองแดง รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ..
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบาตร ๒ ชนิด คือ บาตรเหล็ก ๑ บาตรดิน ๑.
[๓๕] สมัยต่อมา ก้นบาตรสึก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบังเวียนรองบาตร.
[๓๖] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ใช้บังเวียนรองบาตรต่างๆ ทำด้วย ทอง ทำด้วยเงิน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ... เหมือนพวก คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ บังเวียนรองบาตรต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบังเวียนรองบาตร ๒ ชนิด คือ ทำ ด้วยดีบุก ๑ ทำด้วยตะกั่ว ๑ บังเวียนรองบาตรหนา ไม่กระชับกับบาตร ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตให้กลึงบังเวียนรองบาตรที่กลึงแล้วยังเป็นคลื่น ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จักเป็นฟันมังกร.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 17
[๓๗] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ใช้บังเวียนรองบาตรอันวิจิตร จ้างเขาทำให้มีลวดลายเป็นรูปภาพ เที่ยวแสดงไปแม้ตามถนน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ บังเวียนรองบาตรอันวิจิตร ที่จ้างเขาทำให้มีลวดลายเป็นรูปภาพ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้บังเวียนรองบาตรอย่างธรรมดา.
[๓๘] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเก็บงำบาตรทั้งที่ยังมีน้ำ บาตรเหม็น อับ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บาตรที่ยังมีน้ำ ภิกษุไม่พึงเก็บงำ รูปใดเก็บงำ ต้องอาบัติทุกกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ผึ่งแล้วจึงเก็บงำบาตร.
[๓๙] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผึ่งบาตรทั้งที่ยังมีน้ำ บาตรมีกลิ่น เหม็น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า.. ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บาตรที่ยังมีน้ำ ภิกษุไม่พึงผึ่งไว้ รูปใดผึ่งไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำให้หมดน้ำเสียก่อนผึ่ง แล้วจึง เก็บงำบาตร.
[๔๐] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผึ่งบาตรไว้ในที่ร้อน ผิวบาตรเสีย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงวางบาตรไว้ในที่ร้อน รูปใดวางไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 18
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ผึ่งไว้ในที่ร้อนครู่เดียวแล้วจึงเก็บ งำบาตร.
[๔๑] สมัยต่อมา บาตรเป็นอันมาก ไม่มีเชิงรอง ภิกษุทั้งหลายวาง เก็บไว้ในที่แจ้ง บาตรถูกลมหัวด้วนพัดกลิ้งตกแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนทั้งหลาย เราอนุญาตเชิงรอง บาตร.
[๔๒] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายวางบาตรไว้ริมกระดานเลียบ บาตร กลิ้งตกแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงวาง บาตรไว้ริมกระดานเลียบ รูปได้วางไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๔๓] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายวางบาตรไว้ริมกระดานเลียบเล็กๆ นอกฝา บาตรกลิ้งตกแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี พระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงวาง บาตรไว้ริมกระดานเลียบเล็กๆ นอกฝา รูปใดว่างไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๔๔] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายคว่ำบาตรไว้ที่พื้นดิน ขอบบาตรสึก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ใช้หญ้ารอง หญ้าที่รองถูกปลวกกัด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 19
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้ ท่อนผ้ารอง ท่อนผ้าถูกปลวกกัด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี พระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนทั้งหลาย เราอนุญาตแท่นเก็บ บาตร บาตรตกจากแท่นเก็บ บาตรแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้ หม้อเก็บบาตร บาตรครูดสีกับหม้อเก็บบาตร ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ใช้ถุงบาตร สายโยกไม่มี ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระมีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสาย โยกเป็นด้ายถัก.
[๔๕] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายแขวนบาตรไว้ที่ไม้เดือยข้างฝาบ้าง ที่ไม้นาคทนต์บ้าง บาตรพลัดตกแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระมีผู้ พระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแขวน บาตรไว้ รูปใดแขวนไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๔๖] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเก็บบาตรไว้บนเตียง เผลอสตินั่งทับ บาตรแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเก็บ บาตรไว้บนเตียง รูปใดเก็บ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 20
[๔๗] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเก็บบาตรไว้บนตั่ง เผลอสตินั่งทับ บาตรแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเก็บ บาตรไว้บนตั่ง รูปใดเก็บ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๔๘] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายวางบาตรไว้บนตัก เผลอสติลุกขึ้น บาตรตกแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงวาง บาตรไว้บนตัก รูปใดวาง ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๔๙] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเก็บบาตรไว้บนกลด กลดถูกลมหัว ด้วนพัด บาตรตกแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเก็บ บาตรไว้บนกลด รูปใดเก็บไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๕๐] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายถือบาตรอยู่ ผลักบานประตูเข้าไป บาตรกระทบบานประตูแตก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี. พระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุถือบาตร อยู่ ไม่พึงผลักบานประตูเข้าไป รูปใดผลัก ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๕๑] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายใช้กะโหลกน้ำเต้าเที่ยวบิณฑบาต ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกเดียรถีย์ ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ กะโหลกน้ำเต้าเที่ยวบิณฑบาต รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 21
[๕๒] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายใช้กระเบื้องหม้อเที่ยวบิณฑบาตชาว บ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกเดียรถีย์ ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ กระเบื้องหม้อเที่ยวบิณฑบาต รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๕๓] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งใช้ของบังสกุลทุกอย่าง เธอใช้บาตร กะโหลกผี สตรีผู้หนึ่งเห็นเข้า กลัว ได้ร้องเสียงวีดแสดงความหวาดเสียวว่า นี้ปีศาจแน่ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสาย พระศากยบุตรจึงใช้บาตรกะโหลกผีเหมือนพวกปีศาจ ภิกษุทั้งหลายกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้บาตร กะโหลกผี รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้ของบังสุกุลทุกอย่าง รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๕๔] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายใช้บาตรรับเศษอาหารบ้าง ก้างบ้าง น้ำบ้วนปากบ้าง ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะ เชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้จึงใช้บาตรต่างกระโถน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่อง นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ บาตรรับเศษอาหาร ก้าง หรือน้ำบ้วนปาก รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ เรา อนุญาตให้ใช้กระโถน.
เรื่องจีวร
[๕๕] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายใช้มือฉีกผ้าแล้ว เย็บเป็นจีวร จีวร มีแนวไม่เสมอกัน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 22
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ใช้มีดมีผ้าพัน.
[๕๖] สมัยต่อมา มีดมีด้ามบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้มีด มีด้าม.
[๕๗] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ใช้ด้ามมีดต่างๆ ทำด้วยทอง ทำด้วย เงิน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภค กาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ ด้ามมีดต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้ด้ามมีดที่ทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ไม้ธรรมดา ครั่ง เมล็ดผลไม้ โลหะ และกระดองสังข์.
[๕๘] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายใช้ขนไก่บ้าง ไม้กลัดบ้าง เย็บจีวร จีวรเย็บแล้วไม่ดี ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ใช้เข็ม เข็มขึ้นสนิม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้กล่อง เข็ม แม้ในกล่องเข็มก็ยังขึ้นสนิม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้โรยด้วยแป้งข้าวหมาก แม้ในแป้งข้าวหมาก เข็มก็ยังขึ้นสนิม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โรยด้วยแป้งเจือขมิ้นผง แม้ในแป้งเจือขมิ้น ผงเข็มก็ยังขึ้นสนิมได้ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้ฝุ่น หิน แม้ในฝุ่นหินเข็มก็ยังขึ้นสนิม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 23
ให้ทาด้วยขี้ผึ้ง ฝุ่นหินแตก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ใช้ผ้ามัดขี้ผึ้งพอกฝุ่นหิน.
เรื่องไม้สะดึง
[๕๙] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายตอกหลักลงในที่นั้นๆ ผูกขึงเย็บจีวร จีวรเสียมุม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้ สะดึง เชือกผูกไม้สะดึง ให้ผูกลงในที่นั้นๆ เย็บจีวรได้ ภิกษุทั้งหลายขึงไม้ สะดึงในที่ไม่เรียบ ไม่สะดึงหัก ... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย ภิกษุไม่พึงขึงไม้สะดึงในที่ไม่เสมอ รูปใดขึง ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุทั้งหลายขึงไม้สะดึงบนพื้นดิน ไม้สะดึงเปื้อนฝุ่น ... ตรัสว่า ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้หญ้ารอง ขอบไม้สะดึงชำรุด ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุหลาย เราอนุญาตให้ดามขอบเหมือนผ้าอนุวาต ไม้สะดึงไม่พอ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้สะดึงเล็ก ไม้ประกับ ซี่ไม้สำหรับ สอดเข้าในระหว่างจีวรสองชั้น เชือกรัดสะดึงในกับสะดึงนอก ด้วยผูกจีวรลง กับสะดึงใน ครั้นขึงแล้วจึงเย็บจีวร ด้วยเกษียนภายในไม่เสมอ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำหมาย เส้นด้ายคด ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเส้นด้ายตีบรรทัด.
[๖๐] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายมีเท้าเปื้อนเหยียบไม้สะดึง ไม้สะดึงเสีย หาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีเท้าเปื้อน ไม่พึงเหยียบไม้สะดึง รูปใดเหยียบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 24
[๖๑] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายมีเท้าเปียกเหยียบไม้สะดึง ไม้สะดึง เสียหาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีเท้าเปียก ไม่พึงเหยียบไม้สะดึง รูปใดเหยียบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๖๒] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายสวมรองเท้าเหยียบไม้สะดึง ไม้สะดึง เสียหาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวมรองเท้า ไม่พึงเหยียบไม้สะดึง รูปใดเหยียบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๖๓] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเย็บจีวร รับเข็มด้วยนิ้วมือ นิ้วมือ ก็เจ็บ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ใช้ปลอกสวมนิ้วมือ.
[๖๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ใช้ปลอกสวมนิ้วมือต่างๆ คือ ทำ ด้วยทอง ทำด้วยเงิน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือน พวกคฤหัสถ์ ผู้บริโภคกาม ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึง ใช้ปลอกสวมนิ้วมือต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้ปลอกสวมนิ้วมือที่ทำด้วย กระดูก ... ทำด้วยกระดองสังข์.
[๖๕] สมัยต่อมา เข็มบ้าง มีดบ้าง ปลอกสวมนิ้วบ้าง มือหายไป ภิกษุทั้ง หลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 25
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกล่องเก็บ เครื่องเย็บผ้า ภิกษุทั้งหลายมัวพะวงอยู่แต่ในกล่องเก็บเครื่องเย็บผ้า ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตถุงเก็บ ปลอกนิ้วมือ สายโยกไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสาย โยกเป็นด้ายถัก.
เรื่องโรงสะดึง
[๖๖] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเย็บจีวรอยู่ในที่แจ้ง ลำบากด้วยความ หนาวบ้าง ร้อนบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโรงสะดึง ปะรำสะดึง โรงสะดึงมีพื้นที่ต่ำ น้ำท่วม.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมพื้นที่ให้สูง อินที่ถมพังทะลาย พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดินที่ถม ๓ อย่างคือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อด้วยศิลา ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลง ลำบาก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑ บันไดไม้ ๑
ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตราวสำหรับยึด.
[๖๗] สมัยต่อมา ผงหญ้าที่มุงร่วงลงในโรงสะดึง ... ตรัสว่า ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงแล้วฉาบด้วยดินทั้งข้างนอกข้างใน ให้
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 26
มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอก จอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวรได้.
[๖๘] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเย็บจีวรเสร็จแล้ว ละทิ้งไม้สะดึงไว้ใน ที่นั้นเองแล้วหลีกไป หนูบ้าง ปลวกบ้าง กัดกิน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่อง นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ม้วนไม้สะดึงเก็บไว้ ไม้สะดึงหัก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สอดท่อนไม้ม้วนไม้สะดึงเข้าไป ไม้สะดึงคลี่ออก ... ตรัสว่า ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกผูก.
[๖๙] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายยกไม้สะดึงเก็บไว้ที่ฝาบ้าง ที่เสาบ้าง แล้วหลีกไป ไม้สะดึงพลัดตกเสียหาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้แขวนไว้ที่เดือยข้างฝา หรือที่ไม้นาคทนต์.
[๗๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์ ตามพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จจาริกทางพระนครเวสาลี ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ใช้บาตรบรรจุ เข็มบ้าง มีดบ้าง เครื่องยาบ้าง เดินทางไป ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตถุงเก็บเครื่องยา สายโยกไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตสายโยกเป็นด้ายถัก.
[๗๑] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งใช้ประคดเอวผูกรองเท้าเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน อุบาสกผู้หนึ่งกราบภิกษุรูปนั้น ศีรษะกระทบรองเท้า ภิกษุนั้น ขวยใจ ครั้นเธอกลับไปถึงวัดแล้ว แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 27
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตถุงเก็บรองเท้า สายโยกไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตสายโยกเป็นด้ายถัก.
เรื่องผ้ากรองน้ำ
[๗๒] สมัยต่อมา น้ำในระหว่างทาง เป็นอกัปปิยะ ผ้าสำหรับกรอง น้ำไม่มี ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ากรองน้ำ ท่อนผ้าไม่พอ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ากรองทำรูปคล้ายช้อน ผู้ไม่พอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้กระบอกกรองน้ำ.
[๗๓] สมัยต่อมา ภิกษุ ๒ รูปเดินทางไปในโกศลชนบท ภิกษุรูป หนึ่งประพฤติอนาจาร ภิกษุเพื่อนเตือนภิกษุรูปนั้นว่า คุณอย่าทำอย่างนี้ซิ ขอรับ การท่านนี้ไม่ควร ภิกษุนั้นผูกโกรธภิกษุเพื่อน ครั้นภิกษุเพื่อนกระหาย น้ำ พูดอ้อนวอนภิกษุรูปที่ผูกโกรธว่า โปรดให้ผ้ากรองน้ำแก่ผม ผมจักดื่มน้ำ ภิกษุรูปที่ผูกโกรธไม่ยอมให้ ภิกษุเพื่อนกระหายน้ำถึงมรณภาพ ครั้นภิกษุรูปที่ ผูกโกรธไปถึงวัดแล้ว เล่าความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายถามว่า ท่าน ถูกเพื่อนอ้อนวอนขอผ้ากรองน้ำ ก็ไม่ให้เทียวหรือ เธอรับว่า อย่างนั้น ขอ รับ บรรดาภิกษุเป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุเมื่อถูกขอผ้ากรองน้ำจึงไม่ให้กัน แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี พระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์สอบถาม
[๗๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ใน เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุนั้น
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 28
ว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่า เธอถูกอ้อนวอนขอผ้ากรองน้ำ ก็ไม่ยอมให้ จริง หรือ.
ภิกษุนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำ ของเธอนั่นไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควร ทำ ไฉนเนื่องเธอถูกเขาอ้อนวอนขอผ้ากรองน้ำจึงไม่ยอมให้ การกระทำของเธอ นั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำ ธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เดินทางเมื่อถูก เขาอ้อนวอนขอผ้ากรองน้ำจะไม่พึงให้ ไม่ควร รูปใดไม่ให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนึ่ง ภิกษุไม่มีผ้ากรองน้ำ อย่าเดินทางไกล รูปใดเดินทาง ต้อง อาบัติทุกกฏ.
ถ้าผ้ากรองน้ำ หรือกระบอกกรองน้ำไม่มี แม้มุมผ้าสังฆาฏิ ก็พึง อธิษฐานว่า เราจักกรองน้ำด้วยมุมผ้าสังฆาฏินี้ดื่ม ดังนี้.
[๗๕] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงพระนครเวสาลีแล้วทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ กูฏาคารสาลา ป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลีนั้น.
[๗๖] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายทำนวกรรมอยู่ ผ้ากรองน้ำไม่พอกัน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ากรองน้ำมีขอบ ผ้ากรองน้ำมีขอบไม่พอใช้ ภิกษุ ทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลาดผ้าลงบนน้ำ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 29
[๗๗] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถูกยุงรบกวน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตมุ้ง.
เรื่องที่จงกรมและเรื่องไฟ
[๗๘] สมัยนั้น ทายกทายิกาในพระนครเวสาลีเริ่มจัดปรุงอาหาร ประณีตขึ้นตามลำดับ ภิกษุทั้งหลายฉันอาหารอันประณีตแล้ว มีร่างกายอันโทษ สั่งสม มีอาพาธมาก ครั้งนั้น หมอชีวกโกมารภัจได้ไปสู่เมืองเวสาสีด้วยกิจจำ เป็นบางอย่างได้เห็นภิกษุทั้งหลาย มีร่างกาย้อนโทษสั่งสม มีอาพาธมาก ครั้น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ภิกษุทั้งหลาย มี ร่างกายอันโทษสั่งสม มีอาพาธมาก ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขอ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟแก่ภิกษุทั้งหลาย เถิด พระพุทธเจ้าข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุทั้งหลายจักมีอาพาธน้อย.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้หมอชีวกโกมารภัจเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ... ร่าเริงด้วยธรรมีกถา จึงหมอชีวกโกมารภัจลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีภาคเจ้า ทำประทักษิณกลับไป.
พุทธานุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ
[๗๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็น เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 30
[๘๐] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจงกรมในที่ขรุขระ เท้าเจ็บ จึงกราบ ทูลเรื่องนั้นแค่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำจงกรมให้เรียบ.
[๘๑] สมัยต่อมา ที่จงกรมมีพื้นที่ต่ำ น้ำท่วม ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำที่จงกรมให้สูง ที่ถมพังลง.. ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดินที่ถม ๓ ชนิด คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อ ด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก.. ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑ บันได ไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ราวสำหรับยึด.
[๘๒] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายจงกรมอยู่ในที่จงกรม พลัดตกลงมา ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรั้วรอบที่จงกรม.
[๘๓] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจงกรมอยู่กลางแจ้ง ลำบาก ด้วย หนาวบ้าง ร้อนบ้าง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโรงจงกรม ผง หญ้าที่มุ่งหล่นเกลื่อนในโรงจงกรม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้รื้อลงแล้วฉาบด้วยดินทั้งข้างนอกข้างใน ทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำ หลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สาย ระเดียงจีวร.
[๘๔] สมัยนั้น เรือนไฟมีพื้นต่ำไป น้ำท่วมได้ ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมพื้นให้สูง พื้นที่ถมพังลงมา ... ตรัสว่า ดูก่อน
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 31
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดินที่ถม ๓ ชนิด คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อ ด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑ บันได ไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพัดตกลงมา ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตราวสำหรับยึด เรือนไฟไม่มีบานประตู ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองเดือยประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องสำหรับชักเชือก เชือกสำหรับชัก เชิง ฝาเรือนไฟชำรุด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแค่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อให้ต่ำ เรือนไฟ ไม่มีปล่องควัน ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตปล่องควัน.
[๘๕] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทำที่ตั้งเตาไฟไว้กลางเรือนไฟขนาด เล็กไม่มีอุปจาร ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำหน้าที่ตั้ง เตาไฟไว้ส่วนข้างหนึ่ง เฉพาะเรือนไฟขนาดเล็ก เรือนไฟขนาดกว้าง ตั้งไว้ ตรงกลางได้ ไฟในเรือนไฟลวกหน้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตดินสำหรับทาหน้า ภิกษุทั้งหลายละลายดินด้วยมือ ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรางสำหรับละลายดิน ดินมีกลิ่นเหม็น ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อบกลิ่น.
[๘๖] สมัยต่อมา ไฟในเรือนไฟลนกาย ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตักน้ำมาไว้มากๆ ภิกษุทั้งหลายใช้ถาดบ้าง บาตรบ้าง ตักน้ำ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตที่ขังน้ำ ขันตักน้ำ เรือนไฟ ที่มุงด้วยหญ้าไหม้เกรียม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลง ฉาบดินทั้งข้างบนข้างล่าง เรือนไฟเป็นตม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 32
เราอนุญาตให้ปูเครื่องลาด ๓ อย่าง คือเครื่องลาดอิฐ ๑ เครื่องลาดหิน ๑ เครื่องลาดไม้ ๑ เรือนไฟก็ยังเป็นตมอยู่นั่นเอง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ชำระล้างน้ำขัง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อ ระบายน้ำ.
[๘๗] สมัยต่อมา ภิกษุทั้ง หลายนั่งบนพื้นดินในเรือนไฟ เนื้อตัว คัน..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตตั่งในเรือนไฟ.
[๘๘] สมัยต่อมา เรือนไฟยังไม่มีเครื่องล้อม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมรั้ว ๓ อย่าง คือ รั้วอิฐ ๑ รั้วหิน ๑ รั้วไม้ ๑ ซุ้มไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้ม ซุ้มต่ำไป น้ำท่วม ได้ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำพื้นที่ให้สูง พื้นที่ก่อพัง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดิน ๓ อย่าง คือ ก่อด้วย อิฐ ๑ ก่อด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑ บันไดไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตกลงมา ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด ซุ้มยังไม่มีประตู ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ่านประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองรับเดือยบานประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก.
[๘๙] สมัยต่อมา ผงหญ้าหล่นเกลื่อนซุ้ม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบดินทั้งข้างบนข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ บริเวณเป็นตม ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โรยกรวดแร่ กรวดแร่ยังไม่เต็ม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้วางศิลาเรียบ น้ำขัง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบายน้ำ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 33
เรื่องการเปลือยกาย
[๙๐] สมัยนั้น ภิกษุเปลือยกายไหว้ภิกษุไม่เปลือยกาย ภิกษุเปลือย กายให้ภิกษุเปลือยกายไหว้คน ภิกษุเปลือยกายให้ภิกษุไม่เปลือยกายไหว้ตน ภิกษุเปลือยกายทำบริกรรมให้แก่ภิกษุเปลือยกาย ภิกษุเปลือยใช้ให้ทำบริกรรม แก่ภิกษุเปลือยกาย ภิกษุเปลือยกายให้ของแก่ภิกษุเปลือยกาย ภิกษุเปลือยกาย รับประเคน เปลือยกายเคี้ยว เปลือยกายฉัน เปลือยกายลิ้มรส เปลือยกายดื่ม ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงไหว้ภิกษุเปลือยกาย ภิกษุเปลือยกายไม่พึงไหว้ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงให้ ภิกษุเปลือยกายไหว้ตน ภิกษุเปลือยกายไม่พึงให้ภิกษุไม่เปลือยกายไหว้ตน ไม่พึงเปลือยกายทำบริกรรมแก่ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงใช้ภิกษุเปลือยกายทำ บริกรรม ไม่พึงเปลือยกายให้ของแก่ภิกษุเปลือยกาย ไม่พึงเปลือยกายรับประเคน ไม่พึงเปลือยกายเคี้ยวของ ไม่พึงเปลือยกายฉันอาหาร ไม่พึงเปลือยกายลิ้มรส ไม่พึงเปลือยกายดื่ม รูปใดดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องศาลาเรือนไฟและบ่อน้ำ
[๙๑] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายวางจีวรไว้บนพื้นดินในเรือนไฟ จีวร เปื้อนฝุ่น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวจีวร สายระเดียงจีวร ในเรือนไฟ ครั้นฝนตกจีวรถูกฝนเปียก ตรัสว่า ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตศาลาใกล้เรือนไฟ ศาลาใกล้เรือนไฟมีพื้นต่ำ น้ำท่วม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้สูง ดินที่ถมพังลง ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อมูลดิน ... ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ขึ้นลง พลัดตก.ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตนราวสำหรับยึด.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 34
[๙๒] สมัยต่อมา ผงหญ้าบนศาลาเรือนไฟตกเกลื่อน ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบดินทั้งข้างบนข้างล่าง ... ราวจีวร สายระเดียงจีวร.
[๙๓] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายรังเกียจที่จะถูหลังทั้งในเรือนไฟ ทั้งใน น้ำ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องกำบัง ๓ ชนิด คือ เรือนไฟ ๑ น้ำ ๑ ผ้า ๑.
[๙๔] สมัยต่อมา น้ำในเรือนไฟไม่มี ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตบ่อน้ำ ขอบบ่อน้ำทรุดพัง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้ก่อมูลดิน ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อด้วยหิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ บ่อน้ำ ต่ำไป น้ำท่วมได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้สูง ดิน ที่ถมพังทะลาย ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด.
[๙๕] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายใช้เถาวัลย์บ้าง ประคดเอวบ้าง ผูก ภาชนะตักน้ำ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกสำหรับบ่อน้ำ มือเจ็บ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตคันโพงคล้ายคันชั่ง ระหัด ชัก ระหัดถีบ ภาชนะแตกเสียมาก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ถังน้ำ ๓ อย่าง คือ ถังน้ำโลหะ ๑ ถังน้ำไม้ ๑ ถังน้ำหนัง ๑.
[๙๖] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายตักน้ำในที่แจ้ง ลำบาก ด้วยหนาว บ้าง ร้อนบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตศาลาสำหรับบ่อน้ำ ผงหญ้าที่ศาลา
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 35
บ่อน้ำหล่นเกลื่อน ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบ ด้วยดินทั้งข้างบนข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สี่ดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวร.
[๙๗] สมัยนั้น บ่อน้ำยังไม่มีฝาปิด ผงหญ้าบ้าง ฝุ่นบ้าง ตกลง ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด.
[๙๘] สมัยต่อมา ภาชนะสำหรับขังน้ำยังไม่มี..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตรางน้ำ อ่างน้ำ.
[๙๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายสรงน้าในที่นั้นๆ ในอาราม อาราม เป็นตม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลำรางระบายน้ำ ลำราง โล่งโถง ภิกษุทั้งหลายอายที่จะสรงน้ำ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตให้กั้นกำแพง ๓ ชนิด คือกำแพงอิฐ ๑ กำแพงหิน ๑ กำแพงไม้ ๑ ลำรางระบายน้ำเป็นตม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องลาด ๓ ชนิด คืออิฐ ๑ หิน ๑ ไม้ ๑ น้ำขัง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบายน้ำ
[๑๐๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายมีเนื้อตัวตกหนาว จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตให้เอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัว.
เรื่องสรงน้ำ
[๑๐๑] สมัยนั้น อุบาสกผู้หนึ่งใคร่จะสร้างสระน้ำถวายสงฆ์ ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสระน้ำ ขอบสระน้ำชำรุด ... ตรัสว่า ดูก่อน
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 36
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อขอบสระ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ก่อด้วย หิน ๑ ก่อด้วยไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ ๑ บันไดหิน ๑ บันไดไม้ ๑ ขึ้นลงพลัดตก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราว สำหรับยึด น้ำในสระเป็นน้ำเก่า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต รางน้ำ ท่อระบายน้ำ.
[๑๐๒] สมัยต่อมา อุบาสกผู้หนึ่งประสงค์จะสร้างเรือนไฟ มีปั้นลม ถวายภิกษุสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเรือนไฟมีปั้นลม
[๑๐๓] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์อยู่ปราศจากผ้านิสีทนะถึง ๔ เดือน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงอยู่ปราศจากผ้านิสีทนะถึง ๔ เดือน รูปใด อยู่ปราศ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ทรงห้ามนอนบนที่นอนดอกไม้
[๑๐๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์นอนบนที่นอนอันเกลื่อนด้วยดอกไม้ ชาวบ้านเดินเที่ยวชมวิหารพบเห็นเข้า จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนอน ที่นอนอันเกลื่อนด้วยดอกไม้ รูปใดนอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
พุทธานุญาตรับของหอม
[๑๐๕] สมัยนั้น ชาวบ้านถือของหอมบ้าง ดอกไม้บ้างไปวัด ภิกษุ ทั้งหลายรังเกียจไม่รับประเคน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 37
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับของหอมแล้ว เจิมไว้ที่บานประตูหน้าต่าง ให้รับดอกไม้แล้ววางไว้ในส่วนข้างหนึ่งในวิหาร
[๑๐๖] สมัยนั้น สันถัดขนเจียมหล่อบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสันถัดขนเจียมหล่อ ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า สันถัดขนเจียมหล่อจะต้องอธิษฐานหรือวิกัป ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สันถัดขนเจียมที่หล่อไม่ต้องอธิษฐาน ไม่ต้องวิกัป.
[๑๐๗] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันจังหันบนเตียบ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันอาหารบนเตียบ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ.
[๑๐๘] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เวลาฉันจังหัน เธอไม่สามารถ จะทรงบาตรไว้ด้วยมือได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโต
ทรงห้ามฉันในภาชนะเดียวกันเป็นต้น
[๑๐๙] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันจังหันในภาชนะเดียวกันบ้าง ดื่มน้ำในขันเดียวกันบ้าง นอนบนเตียงเดียวกันบ้าง นอนบนเครื่องลาดเดียว กันบ้าง นอนในผ้าห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนบนเครื่องลาดและผ้าห่มร่วมผืน เดียวกันบ้าง ชาวบ้านต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวก คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันร่วมภาชนะเดียวกัน ไม่พึงดื่ม ร่วมขันใบเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมเตียงเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมเครื่องลาด
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 38
เดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมผ้าห่มผืนเดียวกัน ไม่พึงนอนร่วมเครื่องลาดและ ผ้าห่มผืนเดียวกัน รูปใดนอน ต้องอาบัติทุกกฎ.
เรื่องเจ้าวัฑฒลิจฉวี
[๑๑๐] สมัยนั้น เจ้าวัฑฒลิจฉวีเป็นสหายของพระเมตติยะ และ พระภุมมชก จึงเจ้าวัฑฒลิจฉวี เข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้ว กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ เมื่อเธอกล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทาย ปราศรัย แม้ครั้งที่สอง เจ้าวัฑฒลิจฉวีได้กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ แม้ครั้ง ที่สอง ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย แม้ครั้งที่สาม เจ้าวัฑฒลิจฉวีได้ กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ แม้ครั้งที่สาม ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย.
ว. ผมผิดอะไรต่อพระคุณเจ้าอย่างไร ทำไม พระคุณเจ้าจึงไม่ทักทาย ปราศรัยกับผม.
ภิกษุทั้งสองตอบว่า ก็จริงอย่างนั้นแหละ ท่านวัฑฒะ พวกอาตมา ถูกท่านพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ ท่านยังเพิกเฉยได้.
ว. ผมจะช่วยเหลืออย่างไร ขอรับ.
ภิ. ท่านวัฑฒะ ถ้าท่านเต็มใจช่วย วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ต้อง ให้พระทัพพมัลลบุตรสึก.
ว. ผมจะทำอย่างไร ผมสามารถจะช่วยได้ด้วยวิธีไหน.
ภิ. มาเถิด ท่านวัฑฒะ ท่านจงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว กราบทูลอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้ กลับมีลมแรงขึ้น ประชาบดีของหม่อมฉัน ถูกพระทัพพมัลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 39
เจ้าวัฑฒลิจฉวีรับคำของพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้วเข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้ กลับมีลมแรงขึ้น ประชาบดีของหม่อมฉันถูกพระทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า.
[๑๑๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ใน เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่าน พระทัพพมัลลบุตรว่า ดูก่อนทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรม ตามที่เจ้าวัฑฒลิจฉวีนี้ กล่าวหา ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระองค์ ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า.
แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้า ...
แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตร ว่า ดูก่อนทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมตามที่เจ้าวัฑฒลิจฉวี นี้กล่าวหา ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนทัพพะ บัณฑิตย่อมไม่กล่าวแก้คำกล่าวหาอย่างนี้ ถ้าเธอทำ จงบอกว่าทำ ถ้าไม่ได้ทำ จงบอกว่าไม่ได้ทำ.
ท. ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว แม้โดยความฝัน ก็ยังไม่รู้จักเสพ เมถุนธรรม จะกล่าวไยถึงเมื่อตื่นอย่เล่า พระพุทธเจ้า.
[๑๑๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงคว่ำบาตรเจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ อย่าให้คบ กับสงฆ์.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 40
องค์แห่งการคว่ำบาตร
[๑๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบ ด้วยองค์ ๘ คือ :-
๑. ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย
๒. ขวนขวายเพื่อมิใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย
๓. ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
๔. ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย
๕. ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน
๖. กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า
๗. กล่าวติเตียนพระธรรม
๘. กล่าวติเตียนพระสงฆ์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วย องค์ ๘ นี้.
[๑๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงคว่ำบาตรอย่างนี้ ภิกษุ ผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้ :-
กรรมวาจาคว่ำบาตร
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เจ้าวัฑฒลิจฉวี โจท ท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล ถ้าความพร้อมพรั่ง ของสงฆ์ ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงคว่ำบาตรแก่เจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ อย่าให้ คบกับสงฆ์ นี้เป็นญัตติ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 41
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เจ้าวัฑฒลิจฉวีโจทท่าน พระทัพพมัลบุตรด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล สงฆ์คว่ำบาตรแก่เจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ ไม่ให้คบกับสงฆ์ การคว่ำบาตรแก่เจ้าวัฑฒลิจฉวี คือไม่ให้คบกับสงฆ์ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
บาตรอันสงฆ์คว่ำแล้วแก่เจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ ไม่ให้คบกับ สงฆ์ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
[๑๑๕] ครั้นเวลาเช้า ท่านพระอานนท์ครองอันตรวาสกแล้วถือบาตร จีวร เข้าไปยังนิเวศน์ของเจ้าวัฑฒลิจฉวี ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะเจ้าวัฑฒ- ลิจฉวีว่า ท่านวัฑฒะ สงฆ์คว่ำบาตรแก่ท่านแล้ว ท่านคบกับสงฆ์ไม่ได้ พอเจ้าวัฑฒลิจฉวีทราบข่าวว่า สงฆ์คว่ำบาตรแก่เราแล้ว เราคบกับสงฆ์ไม่ได้แล้ว ก็สลบล้มลง ณ ที่นั้นเอง.
ขณะนั้น มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิต ของเจ้าวัฑฒลิจฉวี ได้กล่าว คำนี้กะเจ้าวัฑตลิจฉวีว่า ไม่ควร ท่านวัฑฒะ อย่าเศร้าโศก อย่าคร่ำครวญ ไปนักเลย พวกเราจักให้พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์เลื่อมใส จึงเจ้า วัฑฒลิจฉวี พร้อมด้วยบุตรภรรยา พร้อมด้วยมิตรอำมาตย์ พร้อมด้วย ญาติสาโลหิต มีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ซบศีรษะ ลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า โทษได้มาถึงหม่อมฉันแล้ว ตามความโง่ ตามความเขลา ตามอกุศล ขอ พระองค์ทรงพระกรุณารับโทษของหม่อมฉันที่ได้โจทพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตร ด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 42
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เชิญเถิด เจ้าวัฑฒะ โทษได้มาถึงท่านแล้ว ตามความโง่ ตามความเขลา ตามอกุศล ท่านได้เห็นโทษ ที่ได้โจททัพพมัลลบุตร ด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล โดยความเป็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม เราขอรับโทษ นั้นของท่าน การที่ท่านเห็นโทษ โดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย
[๑๑๖] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงหงายบาตร แก่เจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ ทำให้ คบกับสงฆ์ได้.
องค์แห่งการหงายบาตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงหงายบาตรแก่อุบาสก ผู้ประกอบด้วย องค์ ๘ คือ :-
๑. ไม่ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย
๒. ไม่ขวนขวายเพื่อไม่เป็นประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย
๓. ไม่ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
๔. ไม่ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย
๕. ไม่ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกร้าวกัน
๖. ไม่กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า
๗. ไม่กล่าวติเตียนพระธรรม
๘. ไม่กล่าวติเตียนพระสงฆ์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้หงายบาตร แก่อุบาสกผู้ประกอบ ด้วยองค์ ๘ นี้.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 43
[๑๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงหงายบาตรอย่างนี้ เจ้าวัฑฒลิจฉวีนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าเฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย นั่ง กระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สงฆ์คว่ำบาตรแก่ ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคบกับสงฆ์ไม่ได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ ขอการหงายบาตรกะสงฆ์.
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม.
[๑๑๘] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ- ทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้ :-
กรรมวาจาหงายบาตร
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ คว่ำบาตรแก่เจ้าวัฑฒลิจฉวีแล้ว คือ ไม่ให้คบกับสงฆ์ เธอประพฤติชอบ หาย เย่อยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ ขอการหงายบาตรกะสงฆ์ ถ้าความพร้อม พรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงหงายบาตรแก่เจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้ นี้เป็นญัตติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์คว่ำบาตรแก่เจ้า วัฑฒลิจฉวี คือ ไม่ให้คบกับสงฆ์ เธอประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ ขอการหงายบาตรกะสงฆ์ สงฆ์หงายบาตรแก่เจ้า วัฑฒลิจฉวี คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้ การหงายบาตรแก่เจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ ทำไห้คบกับสงฆ์ได้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 44
บาตรอันสงฆ์หงายแล้วแก่เจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ ทำให้คบกับ สงฆ์ได้ ชอบแก่สงฆ์เหตุนั้น จึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
[๑๑๙] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ในเขตพระนครเวสาลี ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกทางภัคคชนบท เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงภัคคชนบทแล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ที่เภสกฬามฤคทายวัน เขต เมืองสุงสุมารคิระ ในแคว้นภัคคชนบทนั้น
เรื่องโพธิราชกุมาร
[๑๒๐] สมัยนั้น ปราสาทโกกนุทของโพธิราชกุมาร สร้างเสร็จใหม่ๆ ยังไม่มีสมณพราหมณ์ หรือผู้ใดผู้หนึ่งอยู่อาศัย จึงโพธิราชกุมาร รับสั่ง กะมาณพสัญชิกาบุตรว่า พ่อสหายสัญชิกาบุตร เธอจงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมพระบาทด้วยเศียรเกล้า แล้วถามถึงพระประชวรเบาบาง พระโรคน้อย ความทรงกระปรี้กระเปร่า พระกำลัง ทรงพระสำราญ ตามคำของเราว่า พระพุทธเจ้าข้า โพธิราชกุมารขอถวายบังคมพระบาทของพระองค์ด้วยเศียร. เกล้า ทูลถามถึงพระประชวรเบาบาง พระโรคน้อย ความทรงกระปรี้กระเปร่า พระกำลัง ทรงพระสำราญและจงทูลอาราธนาอย่างนี้ว่า ขอพระองค์พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารของโพธิราชกุมาร เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระ พระพุทธเจ้าข้า มาณพสัญชิกาบุตรรับคำสั่งโพธิราชกุมาร แล้วเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการ ปราศรัยพอเป็นที่ชื่นชม เป็นที่ให้ระลึกถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า โพธิราชกุมารขอถวายบังคมพระบาทของพระองค์ผู้เจริญ ด้วย เศียรเกล้า ทูลถามพระประชวรเบาบาง พระโรคน้อย ทรงกระปรี้กระเปร่า พระกำลัง ทรงพระสำราญ และกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 45
ด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารของโพธิราชกุมาร เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพ ครั้นมาณพสัญชิกาบุตรทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาราธนาแล้วลุกจากที่นั่งงเข้าไปเฝ้าโพธิราชกุมาร แล้วทูลว่า เกล้ากระหม่อมได้กราบทูลท่านพระโคดมนั้นตามรับสั่งของพระองค์ แล้วว่า โพธิราชกุมาร ขอถวายบังคมพระบาทของท่านพระโคดมผู้เจริญด้วย เศียรเกล้า ทูลถามถึงพระประชวรเบาบาง พระโรคน้อย ทรงกระปรี้กระเปร่า พระกำลัง ทรงพระสำราญ และทราบทูลอย่างนี้ว่า ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารของโพธิราชกุมาร เพื่อเสวยในวัน พรุ่งนี้ ก็แลพระสมณโคดมทรงรับอาราธนาแล้ว..
[๑๒๑] ครั้นล่วงราตรีนั้น โพธิราชกุมารรับสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยว ของฉันอันประณีตแลรับสั่งให้ปูลาดโกกนุทปราสาทด้วยผ้าขาวตราบเท่าถึงบันได ขึ้นที่สุดแล้วรับสั่งกะมาณพสัญชิกาบุตรว่า พ่อสหายสัญชิกาบุตร เธอจงไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ได้เวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จ แล้ว มาณพสัญชิกาบุตรรับคำสำสั่งโพธิราชกุมาร แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ได้เวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
[๑๒๒] ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรายหรวาสก แล้วทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้าสู่นิเวศน์ของโพธิราชกุมาร ก็แลเวลานั้น โพธิ- ราชกุมารกำลังประทับรอพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ ที่ซุ้มนพระทวารชั้นนอก ได้ ทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมาแต่ไกล ้ ครั้นแล้วเสด็จ รับแต่ที่ไกลนั้น ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จไปข้างหน้า ทรงคำเนิน ไปทางโกกนุทปราสาท พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทับยืนอยู่ใกล้บันไดขั้นแรก
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 46
จึงโพธิราชกุมาร กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มี พระภาคเจ้าทรงเหยียบผ้า ขอพระสุคตจงทรงเหยียบผ้า เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน เมื่อโพธิราชกุมารกราบทูลอย่างนี้ แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดุษณีภาพ
แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม โพธิราชกุมารกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงเหยียบผ้า ขอพระสุคต จงทรงเหยียบผ้าเพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชำเลืองดูท่านพระอานนท์ จึงท่าน พระอานนท์ได้ถวายพรแก่โพธิราชกุมารว่า จงม้วนผ้าเถิด พระราชกุมาร พระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่ทรงเหยียบผ้า พระตถาคตอนุเคราะห์หมู่ชนชั้นหลัง จึงโพธิราชกุมารรับสั่งให้ม้วนผ้า แล้วให้ปูอาสนะ ณ เบื้องบนโกกนุทปราสาท ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสร็จขึ้นโกกนุทปราสาท แล้วประทับนั่งเหนืออาสนะที่ ปูถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงโพธิราชกุมารทรงอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ จนพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว ทรงลดพระหัตถ์จากบาตร ห้ามภัตรแล้ว ได้ ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจง ให้โพธิราชกุมารเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรมีกถา เสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จกลับ.
ทรงห้ามเหยียบแผ่นผ้า
[๑๒๓] หลังจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถาในเพราะ เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเหยียบผืนผ้าที่ปูไว้ รูปใดเหยียบ ต้องอาบัติ ทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 47
[๑๒๔] สมัยต่อมา สตรีผู้หนึ่งปราศจากครรภ์ นิมนต์ภิกษุทั้งหลาย ไปปูผ้าแล้ว ได้กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงเหยียบผ้า ภิกษุทั้งหลาย รังเกียจไม่เหยียบ นางได้กล่าวอีกว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงเหยียบ ผ้าเพื่อประสงค์ให้เป็นมงคล ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่เหยียบ จึงสตรีผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า เมื่อเขาขอเพื่อประสงค์ให้เป็นมงคล ไฉนพระ คุณเจ้าทั้งหลายจึงไม่เหยียบผืนผ้าที่ปูให้ ภิกษุทั้งหลายได้ยินสตรีผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี พระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์ต้องการมงคล เราอนุญาต ให้ผู้ที่ถูกคฤหัสถ์ขอร้องให้เหยียบเพื่อความเป็นมงคลเหยียบผืนผ้าได้
[๑๒๕] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจที่จะเหยียบผ้าสำหรับเช็คเท้า ที่ล้างแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เหยียบผ้าสำหรับเช็ดเท้าที่ล้างแล้ว.
ทุติยภาณวาร จบ
เรื่องนางวิสาขา มิคารมารดา
[๑๒๖] ครั้นพระผู้มีภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภัคคชนบท ตามพระ พุทธาภิรมย์แล้วเสด็จจาริกทางพระนครสาวัตถี เสด็จจาริกโดยลำดับถึงพระนคร สาวัตถีแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น ครั้งนั้น นางวิสาขามิคารมารดา ถือหม้อน้ำปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า และไม้กวาด เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอพระองค์ จงทรงรับหม้อน้ำปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า และไม้กวาดของหม่อมฉัน เพื่อประ-
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 48
โยชน์ เพื่อความสุขแก่หม่อมฉัน สิ้นกาลนานพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับหม้อน้ำ และไม้กวาด มิได้ทรงรับปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า ครั้นพระผู้มี พระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้นางวิสาขามิคารมารดาได้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมมีกถา นางได้ลุกจากที่นั่งถวายบังคม ทำประทักษิณแล้ว กลับไป.
[๑๒๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมมีกถา ในเพราะ เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตหม้อน้ำ และไม้กวาด ภิกษุไม่พึงใช้ปุ่มไม้ สำหรับเช็ดเท้า รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ที่เช็ดเท้า ๓ ชนิด คือ หินกรวด ๑ กระเบื้อง ๑ หินฟองน้ำในทะเล ๑.
[๑๒๘] ต่อจากนั้นมา นางวิสาขามิคารมารดา ถือพัดโบกและพัดใบ ตาลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงรับพัดโบก และพัดใบตาลของหม่อมฉัน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่หม่อมฉันตลอดกาลนาน พระเจ้าข้า พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงรับพัดโบกและพัดใบตาลแล้ว ได้ทรงชี้แจงให้นางวิสาขามิคาร มารดาเห็นแจ้ง ... ด้วยธรรมีกถา นางวิสาขา ... ทำประทักษิณแล้วกลับไป.
เรื่องพัด
[๑๒๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะ เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตพัดโบก และพัดใบตาล.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 49
[๑๓๐] สมัยนั้นไม้ปัดยุงเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตไม้ปัดยุง แส้จามรีบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ พึงใช้แส้จามรี รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฎ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตพัด ๓ ชนิด คือ พัดทำด้วยปอ ๑ พัด ทำด้วยแฝก ๑ พัดทำด้วยขนปีกขนหางนกยูง ๑.
เรื่องร่ม
[๑๓๑] สมัยนั้น ร่มบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตร่ม.
[๑๓๒] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินกั้นร่มเที่ยวไป ครั้งนั้น อุบาสก ผู้หนึ่งได้ไปเที่ยวสวนกับสาวกของอาชีวกหลายคน พวกสาวกของอาชีวกเหล่า นั้นได้เห็นพระฉัพพัคคีย์เดินกั้นร่มมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้กล่าวกะอุบาสกผู้นั้น ว่า พระคุณเจ้าเหล่านี้ เป็นผู้เจริญของพวกท่าน เดินกั้นร่มมาคล้ายมหาอำมาตย์ โหราจารย์ อุบาสกผู้นั้นกล่าวว่า นั่นมิใช่ภิกษุ เป็นปริพาชก ขอรับ พวก เขาแคลงใจว่า ภิกษุหรือมิใช่ภิกษุ ครั้นอุบาสกเข้าไปใกล้ ก็จำได้ จึงเพ่ง โทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าทั้งหลายจึงเดินกั้นร่ม ภิกษุทั้ง หลายได้ยินอุบาสกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ... จริงหรือ.
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 50
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงกั้นร่ม รูปใดกั้นต้อง อาบัติทุกกฏ.
[๑๓๓] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เธอเว้นร่มแล้วไม่สบาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตร่มแก่ภิกษุอาพาธ.
[๑๓๔] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง อนุญาตร่มแก่ภิกษุอาพาธเท่านั้น ไม่ได้ทรงอนุญาตแก่ภิกษุไม่อาพาธ จึง รังเกียจที่จะกั้นร่มในวัดและอุปจารของวัด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ภิกษุแม้ไม่อาพาธกั้นร่มในวัด หรือในอุปจารของวัดได้
เรื่องไม้เท้า
[๑๓๕] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งวางบาตรไว้ในสาแหรก แล้วห้อยไว้ ที่ไม้เท้า เดินผ่านไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่งในเวลาพลบค่ำ ชาวบ้านบอกกัน ว่า พวกเรา นั่นโจรกำลังเดินไป ดาบของมันส่องแสงวาว แล้วตามไล่ไปจับ ตัวได้ รู้แล้วปล่อยไป ครั้นภิกษุนั้นไปถึงวัดแล้ว แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายถามว่า ก็คุณถือไม้เท้ากับสาแหรกหรือ ภิกษุนั้นรับว่า ถูกแล้ว ขอรับ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้ถือไม้ เท้ากับสาแหรกเล่า แล้ว กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงถือไม้เท้ากับสาแหรก รูปใดถือ ต้อง อาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 51
[๑๓๖] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ปราศจากไม้เท้า ไม่สามารถ จะเดินไปไหนได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติไม้เท้าแก่ภิกษุ อาพาธ.
[๑๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงให้สมมติไม้เท้าอย่างน้อย
ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้า ภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้ :-
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถไปไหนได้ ท่าน เจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอทัณฑสมมติ กะสงฆ์.
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม.
[๑๓๘] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ- ทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้ :-
กรรมวาจาให้ทัณฑสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหนได้ เธอขอทัณฑสมมติกะสงฆ์ ถ้า ความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้ทัณฑสมมติแก่ภิกษุมี ชื่อนี้ นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหนได้ เธอขอทัณฑสมมติกะสงฆ์ สงฆ์ให้ทัณฑสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้ทัณฑสมมติแก่ภิกษุมีชื่อ นี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้น พึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน ผู้นั้นพึงพูด.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 52
ทัณฑสมมติ อันสงฆให้แล้วแก่ภิกษุมมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้น จึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
[๑๓๙] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ไม่ใช้สาแหรก ไม่สามารถ จะนำบาตรไปได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระ ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติสาแหรกแก่ ภิกษุอาพาธ.
[๑๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงใ ห้สมมติอย่างนี้:- ภิกษุอาพาธนั้น พึงเข้าหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้า ภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำขอสิกกาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่มีสาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอสิกกาสมมติกะสงฆ์.
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม.
[๑๔๑] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ- กรรมวาจา ว่าดังนี้ :-
กรรมวาจาให้สิกกาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธไม่ ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ เธอขอสิกกาสมมติกะสงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้สิกกาสมมติแก่ภิกษุ มีชื่อนี้ นี้เป็นญัตติ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 53
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธไม่ ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ เธอขอสิกกาสมมติกะสงฆ์ สงฆ์ให้สิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้สิกกาสมมติ แก่ภิกษุมีชื่อ นี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้ฟัง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้น พึงพูด.
สิกกาสมมติ อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
[๑๔๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไป ไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถนำบาตรไปได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูล เรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติไม้เท้าและสาแหรกแก่ภิกษุอาพาธ.
ก็แล สงฆ์พึงให้สมมติอย่างนี้ ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่ม ผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้ว กล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้ :-
คำขอทัณฑสิกกาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้น ทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์.
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม
[๑๔๓] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ- ทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 54
กรรมวาจาให้ทัณฑสิกกาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธไม่ ใช้ไม้เท้า ไม่สามารถจะเดินไปไหนได้ และไม่ใช่สาแหรกไม่สามารถ จะนำบาตรไปได้ เธอขอทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์ ถ้าความพร้อม พรั่งของสงฆ์ ถึงที่แล้ว สงฆ์ พึงให้ทัณฑสิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถเดินไปไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถ จะนำบาตรไปได้ เธอขอทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์ สงฆ์ให้ทัณฑ- สิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้ทัณฑสิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ขอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน ผู้นั้นพึงพูด.
ทัณฑสิกกาสมมติ อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่ สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
เรื่องภิกษุเรอ
[๑๔๔] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นโรคเรอ เธอเรออ้วกกลับกลืน เข้าไป ภิกษุทั้งหลาย เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ภิกษุนี้ฉันอาหารใน เวลาวิกาล แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้จุติมาจากกำเนิดโคไม่นาน เราอนุญาต อาหารที่อ้วกแก่ภิกษุผู้มักอ้วก แต่ออกมานอกปากแล้วไม่พึงกลืนเข้าไป รูปใด กลืนเข้าไป พึงปรับตามธรรม.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 55
[๑๔๕] สมัยนั้น สังฆภัตรเกิดแก่สงฆ์หมู่หนึ่ง เมล็ดข้าวเป็นอันมาก กลาดเกลื่อนในโรงอาหาร ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมื่อเขา ถวายข้าวสุก ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ไม่รับโดยเคารพ ข้าว แต่ละเมล็ดจะสำเร็จได้ด้วยการกระทำหลายครั้ง ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้าน พวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดทายกถวายตกหล่น เราอนุญาต ให้เก็บสิ่งนั้นฉันเองได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะของนั้นทายกบริจาคแล้ว.
เรื่องเล็บยาว
[๑๔๖] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งไว้เล็บยาวเที่ยวบิณฑบาต สตรีผู้หนึ่ง เห็นเข้า จึงได้กล่าวชวนภิกษุรูปนั้นว่า ท่านเจ้าข้า นิมนต์มาเสพเมถุน ภิกษุ นั้นตอบว่า อย่าเลย น้องหญิง เรื่องเช่นนี้ไม่สมควร.
ส. ถ้าท่านไม่เสพ ดิฉันจักหยิกข่วนเนื้อตัวด้วยเล็บของดิฉัน แล้ว ร้องโวยวายขึ้นในบัดนี้ว่า ภิกษุนี้ข่มขืนดิฉัน.
ภิ. จงรู้เองเถิด น้องหญิง.
สตรีผู้นั้นหยิกข่วนเนื้อตัวของคนด้วยเล็บ แล้วได้ร้องโวยวายขึ้นว่า ภิกษุนี้ข่มขนเรา ชาวบ้านได้วิ่งเข้าไปจับกุมภิกษุนั้น พวกเขาได้เห็นผิวหนัง และเลือดที่เล็บมือของสตรีผู้นั้น ครั้นแล้วลงความเห็นว่า การกระทำนี้ของสตรี ผู้นี้ต่างหาก ภิกษุไม่ใช่เป็นผู้กระทำ แล้วปล่อยภิกษุนั้นไป ครั้นภิกษุนั้นไป ถึงวัดแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายถามว่า ก็คุณไว้เล็บยาว หรือ ภิกษุรูปนั้น รับว่า เป็นอย่างนั้น ขอรับ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงไว้เล็บยาว แล้วกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไว้ เล็บยาว รูปใดไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 56
[๑๔๗] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายตัดเล็บมือด้วยเล็บมือบ้าง ตัดเล็บมือ ด้วยปากบ้าง ครูดเล็บมือที่ฝาผนังบ้าง นิ้วมือเจ็บ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่อง นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตมีดตัดเล็บ ภิกษุทั้งหลายตัดเล็บจนเลือดออก นิ้วมือเจ็บ ... .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตัดเล็บเสมอเนื้อ
เรื่องขัดเล็บ
[๑๔๘] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์วานกันให้ขัดเล็บทั้ง ๒๐ นิ้ว ชาว บ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงวานกันให้ขัดเล็บทั้ง ๒๐ นิ้ว รูปใดให้ขัด ต้องอาบัติทุกกฏ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แคะขี้เล็บได้.
เรื่องมีดโกน
[๑๔๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายมีผมยาว ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามารถ จะปลงผมให้แก่กันได้หรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า สามารถพระพุทธเจ้าข้า ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูล นั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น ... รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตมีดโกน หินลับมีดโกน ฝักมีดโกน ผ้าพันมีดโกน เครื่องมีดโกน ทุกอย่าง.
เรื่องแต่งหนวด
[๑๕๐] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์วานกันตัดหนวด ปล่อยหนวดไว้ให้ ยาวไว้เครา แต่งหนวดเป็นสี่เหลี่ยม ขมวดกลุ่มขนหน้าอก ไว้กลุ่มขนท้อง
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 57
ไว้หนวดเป็นเขี้ยวโง้ง โกนขนในที่แคบ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงตัดหนวด ไม่ พึงปล่อยหนวดไว้ให้ยาว ไม่พึงไว้เครา ไม่พึงแต่งหนวดเป็นสี่เหลี่ยม ไม่พึง ขมวดกลุ่มขนหน้าอก ไม่พึงไว้กลุ่มขนท้อง ไม่พึงไว้หนวดเป็นเขี้ยวโง้ง ไม่ พึงโกนขนในที่แคบ รูปใดโกน ต้องอาบัติทุกกฎ.
เรื่องโกนขนในที่แคบ
[๑๕๑] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นแผลในที่แคบ ทายาไม่ติด ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โกนขนในที่แคบได้ เพราะเหตุอาพาธ.
[๑๕๒] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้กันและกันให้ตัดผมด้วยกรรไกร ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้ตัดผมด้วยกรรไกร รูปไดให้ตัด ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๕๓] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นแผลที่ศรีษะ ไม่อาจปลงผมด้วยมีด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตัดผมด้วยกรรไกรได้ เพราะเหตุอาพาธ.
เรื่องไว้ขนยาว
[๑๕๔] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายปล่อยขนจมูกยาวไว้ยาว ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกปีศาจ ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไว้ขนจมูก ยาว รูปใดไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 58
[๑๕๕] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายให้ถอนขนจมูกด้วยกรวดบ้าง ด้วย ขี้ผึ้งบ้าง จมูกเจ็บ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตแหนบ.
[๑๕๖] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้กันถอนผมหงอก ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ไม่พึงให้ถอนผมหงอก รูปใดให้ถอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๕๗] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งมีขี้หูจุกช่องหู ... ภิกษุทั้งหลายกราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ไม้แคะหู.
[๑๕๘] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ไม้แคะหูต่างๆ คือ ทำด้วยทอง ทำด้วยเงิน ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ไม้แคะหูต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ. เราอนุญาตไม้แคะหูที่ทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ไม้จริง ยางไม้ เมล็ดผลไม้ โลหะ กระดองสังข์.
ทรงห้ามสั่งสมเครื่องโลหะเครื่องสัมฤทธิ์
[๑๕๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สั่งสมเครื่องโลหะ เครื่อง ทองสัมฤทธิ์ไว้เป็นอันมาก ชาวบ้านไปเที่ยวชมตามวิหารพบเข้า แล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้สั่งสมเครื่อง โลหะ เครื่องทองสัมฤทธิ์ไว้มากมายคล้ายพ่อค้าขายเครื่องทองสัมฤทธิ์ ... ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสั่งสมเครื่องโลหะ เครื่องทองสัมฤทธิ์ รูปใดสั่งสม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 59
[๑๖๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายรังเกียจกล่องยาตา ไม้ป้ายาตา ไม้ แคะหูซึ่งเพียงห่อรวมกันไว้ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกล่องยาตา ไม้ป้ายยาตา ไม้แคะหู เพียงห่อรวมกันไว้.
[๑๖๑] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิ แผ่นผ้า สังฆาฏิหลุด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิ รูปใดนั่ง ต้องอาบัติ ทุกกฏ.
[๑๖๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เธอเว้นผ้ารัดเข่าเสียไม่สบาย ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ารัดเข่า ภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า เราจะพึงรู้ได้อย่างไรว่า เป็นผ้ารัดเข่า จึงได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้สะดึงที่แผ่ด้าย ฟืม ด้ายพัน ไม้สลักทอ และ เครื่องหูกทุกอย่าง.
เรื่องประคดเอว
[๑๖๓] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งไม่ได้คาดรัดประคด เข้าบ้านไป บิณฑบาต ผ้าสบงของเธอหลุดที่ถนน ชาวบ้านเห็นแล้วพากันโห่ ภิกษุนั้น กระดากอาย ครั้นไปถึงวัดแล้ว เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่มีรัด ประคดไม่พึงเข้าบ้าน รูปใดเข้าบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตผ้ารัดประคด.
[๑๖๔] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าประคดต่างๆ คือ ประคดถัก เชือกหลายเส้น ประคดถักเป็นศีรษะงูน้ำ ประคดกลมคล้ายเกลียวเชือก
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 60
ประคดคล้ายสังวาล ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวก คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ประคด ต่างๆ คือ ประคดถักเชือกหลายเส้น ประคดถักเป็นศรีษะงูน้ำ ประคดกลมคล้าย เกลียวเชือก ประคดคล้ายสังวาล รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตประคด ๒ ชนิด คือ ประคดแผ่นผ้า ๑ ประคดกลมดังไส้สุกร ๑ ... ชายผ้าประคดเก่า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถักกลมคล้ายเกลียวเชือก ไห้ถักคล้ายสังวาลได้ ปลายประคดเก่า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเย็บทบเข้ามา ถักเป็นห่วง ที่สุด ห่วงประคดเก่า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลูกถวิล.
เรื่องลูกถวิล
[๑๖๕] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ลูกถวิลต่างๆ คือ ทำด้วยทอง ทำด้วยเงิน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี พระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ลูกถวิลต่างๆ รูปใด ใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลูกถวิล ทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ... กระดองสังข์ เส้นด้าย.
เรื่องลูกดุม
[๑๖๖] สมัยนั้น ท่านพระอานนท์ห่มผ้าสังฆาฏิเนื้อบางเข้าบ้าน บิณฑบาต สังฆาฏิของท่านถูกลมหัวด้วนพัดเลิกขึ้น ครั้นท่านกลับถึงอาราม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 61
แล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลูกดุมและ รังดุม.
[๑๖๗] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ลูกดุมต่างๆ คือ ทำด้วยทอง ทำด้วยเงิน ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี พระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ลูกดุมต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลูกดุม ทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ไม้จริง ยางไม้ เมล็ดผลไม้ โลหะ กระดองสังข์ เส้นด้าย.
[๑๖๘] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายเย็บตรึงลูกดุมบ้าง รังดุมบ้าง ลงที่ จีวร จีวรชำรุด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี พระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตแผ่นผ้ารองลูกดุม แผ่นผ้ารองรังดุม ภิกษุทั้งหลายเย็บตรึงแผ่นผ้ารองลูกดุมแผ่นผ้ารองรังดุมลงที่ ชายจีวร มุมผ้าเปิด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ติดแผ่นผ้า รองลูกดุม แผ่นผ้ารองรังดุมที่ชายผ้าลึกเข้าไป ๗ - ๘ องคุลี
เรื่องพระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์
[๑๖๙] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ คือ นุ่งห้อยชาย เหมือนงวงช้าง นุ่งปล่อยชายคล้ายหางปลา นุ่งปล่อยชายสี่แฉก นุ่งห้อยชาย คล้ายก้านตาล นุ่งยกกลีบตั้งร้อย ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มี
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 62
พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึง นุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ คือ นุ่งห้อยชายเหมือนงวงช้าง นุ่งปล่อยชายคล้ายหางปลา นุ่งปล่อยชายเป็นสี่แฉก นุ่งห้อยชายคล้ายก้านตาล นุ่งยกกลีบตั้งร้อย รูปใดนุ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๐] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ รูปใดห่ม ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๑] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนคนหาบของหลวง ... ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน รูปใดนุ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์หาบของสองข้าง ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนคนหาบของหลวง ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูล เรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงหาบของสองข้าง รูปใดหาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คอน หาม เทิน แบก กระเดียด หิ้ว.
เรื่องไม่ชำระฟัน
[๑๗๓] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายไม่เคี้ยวไม้ชำระฟัน ปากมีกลิ่นเหม็น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การไม่เคี้ยวไม้ชำระฟันมีโทษ ๕ ประการนี้ คือ
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 63
นัยน์ตาไม่แจ่มใส ๑ ปากมีกลิ่นเหม็น ๑ ลิ้นรับรสอาหารไม่บริสุทธิ์ ๑ ดีและ เสมหะหุ้มห่ออาหาร ๑ ไม่ชอบฉันอาหาร ๑ ไม่เคี้ยวไม้ชำระฟันมีโทษ ๕ ประการนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การเคี้ยวไม้ชำระฟันมีอานิสงส์ ๕ ประการนี้ คือ นัยน์ตาแจ่มใส ๑ ปากไม่มีกลิ่นเหม็น ๑ ลิ้นรับรสอาหารบริสุทธิ์ ๑ ดีและ เสมหะไม่หุ้มห่ออาหาร ๑ ชอบฉันอาหาร ๑ การเคี้ยวไม้ชำระฟัน มีอานิสงส์ ๕ ประการนี้แล เราอนุญาตไม้ชำระฟัน.
[๑๗๔] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เคี้ยวไม้ชำระฟันยาว และตีสามเณร ด้วยไม้ชำระฟันเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเคี้ยวไม้ชำระ ฟันยาว รูปใดเคี้ยว ต้องอาบัติทุกกฏ.
เราอนุญาตไม้ชำระฟันยาว ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง และไม่พึงตีสามเณร ด้วยไม้นั้น รูปใดตี ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๕] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งเคี้ยวไม้ชำระฟันสั้นเกินไป ไม้ ชำระฟันหลุดเข้าไปติดในคอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเคี้ยว ไม้ชำระฟันสั้นเกินไป รูปใดเคี้ยว ต้องอาบัติทุกกฏ.
เราอนุญาตไม้ชำระฟันขนาด ๔ องคุลีเป็นอย่างต่ำ.
เรื่องพระฉัคพัคคีย์จุดไฟเผากองหญ้า
[๑๗๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์จุดไฟเผากองหญ้า ชาวบ้าน เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนคนเผาป่า ... ภิกษุทั้งหลาย กราบทูล
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 64
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเผากองหญ้า รูปใดเผา ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๗] สมัยนั้น วิหารที่อยู่มีหญ้าขึ้นรก เมื่อไฟป่าไหม้มาถึง วิหาร ถูกไฟไหม้ ภิกษุทั้งหลายรังเกียจที่จะจุดไฟรับเพื่อการป้องกัน ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไว้เมื่อไฟป่าไหม้มาถึง ให้จุดไฟรับเพื่อป้องกัน.
เรื่องขึ้นต้นไม้
[๑๗๘] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ขึ้นต้นไม้ ไต่จากต้นหนึ่ง ไปสู่ ต้นหนึ่ง ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนลิง ... ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงขึ้นต้นไม้ รูปใดขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๙] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งไปเมืองสาวัตถีในโกศลชนบท ช้างไล่ ในระหว่างทาง จึงภิกษุนั้นวิ่งเข้าไปยังโคนต้นไม้ รังเกียจไม่ขึ้นต้นไม้ ช้าง นั้นได้ไปทางอื่น ครั้นภิกษุนั้นไปถึงเมืองสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุ ทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เมื่อมีกิจจำเป็น เราอนุญาตให้ขึ้นต้นไม้สูงชั่วบุรุษ ในคราวมี อันตราย ขึ้นได้ตามประสงค์.
[๑๘๐] สมัยนั้น ภิกษุสองรูปเป็นพี่น้องกัน ชื่อเมฏฐะและโกกุฏฐะ เป็นชาติพราหมณ์ พูดจาอ่อนหวาน เสียงไพเราะ เธอสองรูปนั้นเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้า บัดนี้ ภิกษุทั้งหลายต่างชื่อ ต่างโคตร ต่างชาติ ต่างสกุลกัน
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 65
เข้ามาบวช พวกเธอจะทำพระพุทธวจนะให้ผิดเพี้ยนจากภาษาเดิม มิฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะขอยกพระพุทธวจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤต.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า มิฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะยกพระพุทธวจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤตดังนี้เล่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของ พวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงยก พุทธวจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤต รูปโดยกขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
เราอนุญาตให้เล่าเรียนพุทธวจนะตามภาษาเดิม.
เรื่องเรียนคัมภีร์โลกายตะ
[๑๘๑] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เรียนคัมภีร์โลกายตะ ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เห็นคัมภีร์ โลกายตะ ว่ามีสาระจะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้หรือ.
ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. อันผู้ที่เห็นธรรมวินัยนี้ว่ามีสาระ จะพึงเล่าเรียนคัมภีร์โลกายตะ หรือ.
ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเรียนคัมภีร์โลกายตะ รูปใดเรียน ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 66
[๑๘๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สอนคัมภีร์โลกายตะ ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสอน คัมภีร์โลกายตะ รูปใดสอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องเรียนดิรัจฉานวิชา
[๑๘๓] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์เรียนดิรัจฉานวิชา ... ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเรียน ดิรัจฉานวิชา รูปใดเรียน ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๘๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สอนดิรัจฉานวิชา ชาวบ้านเพ่ง โทษติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสอน ดิรัจฉานวิชา รูปใดสอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๘๕] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า อันบริษัทหมู่ใหญ่ แวดล้อมแล้ว กำลังทรงแสดงธรรม ได้ทรงจามขึ้น ภิกษุทั้งหลายได้ถวายพระพรอย่างอึงมีว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงพระชนมายุ ขอพระสุคตจง ทรงพระชนมายุเถิดพระพุทธเจ้าข้า ธรรมกถาได้พักในระหว่างเพราะเสียงนั้น จึงพระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ ถูกเขาให้พรว่า ขอจงเจริญชนมายุในเวลาจาม จะพึงเป็น หรือพึงตายเพราะ เหตุที่ให้พรนั้นหรือ
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 67
ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงกล่าวคำให้พรว่า ขอจงมีชนมายุ ในเวลาที่เขาจาม รูปใดให้พร ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๘๖] สมัยนั้น ชาวบ้านให้พรในเวลาที่ภิกษุทั้งหลายจามว่า ขอ ท่านจงมีชนมายุ ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ มิได้ให้พรตอบ ชาวบ้านเพ่งโทษ เรียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร เมื่อเขาให้พร ว่า จงเจริญชนมายุ จึงไม่ให้พรตอบเล่า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระภูมีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาว บ้านมีความต้องการด้วยสิ่งเป็นมงคล เราอนุญาตให้ภิกษุที่เขาให้พรว่า จงเจริญ ชนมายุ ดังนี้ ให้พรตอบแก่ชาวบ้านว่า ขอท่านจงเจริญชนมายุยืนนาน
เรื่องฉันกระเทียม
[๑๘๗] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งฉันกระเทียม แลเธอคิดว่า ภิกษุทั้ง หลายอยู่ได้รบกวน จึงนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระ เนตรเห็นภิกษุนั้นนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วจึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทำไมหนอ ภิกษุนั้นจึงนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลว่า ภิกษุนั้นฉันกระเทียม พระพุทธเจ้าข้า และเธอคิดว่า ภิกษุทั้งหลายอยู่รบกวน จึงนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุฉันของใครแล้ว จะพึงเป็นผู้เหินห่าง จากธรรมกถาเห็นปานนี้ ภิกษุควรฉันเองนั้น หรือ
ภิ. ไม่ควรฉัน พระพุทธเจ้าข้า
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 68
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันกระเทียม รูปใดฉัน ต้อง อาบัติทุกกฏ
[๑๘๘] สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรอาพาธเป็นลมเสียดท้อง ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรแล้วถามว่า เมื่อก่อนท่าน เป็นลมเสียดท้อง หายด้วยยาอะไร ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ผมหายด้วยกระ เทียม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ฉันกระเทียมได้ เพราะเหตุอาพาธ.
เรื่องหม่อปัสสาวะ
[๑๘๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถ่ายปัสสาวะลงในที่นั้นๆ ในอาราม อารามสกปรก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถ่ายปัสสาวะในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อาราม มีกลิ่นเหม็น ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตหม้อปัสสาวะ ภิกษุ ทั้งหลายนั่งปัสสาวะลำบาก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเขียง รองเท้าถ่ายปัสสาวะ เขียงรองเท้าปัสสาวะเปิดเผย ภิกษุทั้งหลายละอายที่จะถ่าย ปัสสาวะ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมเครื่องล้อ ๘ ๓ ชนิด คือ เครื่องล้อมอิฐ เครื่องล้อมหิน ฝาไม้ หม้อปัสสาวะไม่มีฝาปิด มีกลิ่น เหม็น ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด.
พุทธานุญาตหลุมถ่ายอุจจาระ
[๑๙๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถ่ายอุจจาระลงในที่นั้นๆ ในอาราม อารามสกปรก ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถ่ายอุจจาระในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อาราม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 69
มีกลิ่นเหม็น ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตหลุมถ่ายอุจจาระ ขอบปากหลุมพัง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อกรุ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ก่อด้วยศิลา ก่อด้วยไม้ หลุมอุจจาระมีพื้นต่ำน้ำท่วมได้ ... ตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมพื้นให้สูง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตให้ก่อกรุ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ก่อด้วยศิลา ก่อด้วยไม้ ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต บันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ บันไดหิน บันไดไม้ ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นลงพลัดตกลงมา ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด ภิกษุทั้งหลายนั่งถ่ายอุจจาระที่ริมหลุมพลัดตกลงไป ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลาดพื้น แล้วเจาะช่องถ่ายอุจจาระตรงกลาง ภิกษุ ทั้งหลายนั่งถ่ายอุจจาระลำบาก..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเขียง รองเท้าถ่ายอุจจาระ ภิกษุทั้งหลายถ่ายปัสสาวะออกไปข้างนอก ... ตรัสว่า ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรางรองปัสสาวะ ไม้ชำระไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้ชำระ ตะกร้ารองรับไม้ชำระ หลุมอุจาจาระไม่ ได้ปิดมีกลิ่นเหม็น ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด.
พุทธานุญาตวัจจกุฎี
[๑๙๑] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถ่ายอุจจาระในที่แจ้งลำบากด้วยร้อน บ้าง หนาวบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตวัจจกุฎี วัจจกุฎีไม่มีบานประตู ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลา ย เราอนุญาตบานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรับเดือยบานประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าที่มุงวัจจกุฎี ตกลงเกลื่อน ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 70
ให้รื้อลงฉาบดินทั้งข้างบน ข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลัก เป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร.
[๑๙๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งชราทุพพลภาพ ถ่ายอุจาระแล้วลุกขึ้น ล้มลง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ... ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกห้อยสำหรับ เหนี่ยว.
[๑๙๓] สมัยนั้น วัจจกุฎีไม่ได้ล้อม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อม เครื่องล้อม ๓ อย่าง คือ อิฐ ศิลา ไม้.
[๑๙๔] ซุ้มประตูไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ซุ้มประตู ซุ้มประตูมีพื้นต่ำ ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตถม พื้นให้สูง ดินที่ถมพัง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อกรุ ๓ อย่าง คือก่อด้วยอิฐ ก่อด้วยศิลา ก่อด้วยไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ อย่าง คือ บันไดอิฐ บันไดหิน บันใดไม้ ภิกษุทั้งหลายขั้นลงพลัดตกลงมา ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตราวสำหรับยึด บานซุ้มประตูไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตซุ้มประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองเดือยประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้ หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าที่มุงบนซุ้มประตูหล่น เกลื่อน ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลง ฉาบด้วยดินทั้ง ข้างบนข้างล่างทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ บริเวณลื่น ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตให้โรยกรวดแร่ กรวดแร่ไม่เต็ม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตให้วางศิลา น้ำขัง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 71
ท่อระบายน้ำ หม้อ อุจจาระไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต หม้ออุจจาระ กระบอกตักน้ำชำระอุจจาระไม่มี ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกระบอกตักน้ำชำระอุจจาระ ภิกษุทั้งหลายนั่งถ่ายลำบาก ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเขียงไม้สำหรับนั่งถ่าย เขียงไม้สำหรับนั่งถ่าย อยู่เปิดเผย ภิกษุทั้งหลายละอายที่จะถ่าย ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตให้ล้อมเครื่องล้อม ๓ ชนิด คือ อิฐ ศิลา ไม้ หม้ออุจจาระไม่ได้ปิด ผงหญ้าและขี้ฝุ่นตกลง ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด.
ประพฤติอนาจารต่างๆ
[๑๙๕] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง เก็บบดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นร้อย กรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำมาลัยเรียงก้านเอง บ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้ช่อเองบ้าง ใช้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พุ่ม เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้เทริดเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำ ดอกไม้พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้ตาข่ายประดับอกเองบ้าง ใช้ ให้ผู้อื่นทำบ้าง ภิกษุพวกนั้นนำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยต่อ ก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยเรียงก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้ช่อ นำไปเองบ้าง ใช้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พุ่ม นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งงดอกไม้เทริด นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้ อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พวง นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอก ไม้ตาข่ายประดับอกเพื่อกุลสตรี เพื่อกุลธิดา เพื่อกุมารีแห่งสกุล เพื่อสะใภ้
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 72
แห่งสกุล เพื่อกุลทาสี ภิกษุพวกนั้นฉันอาหารในภาชนะเดียวกันบ้าง ดื่มน้ำ ในขันเดียวกันบ้าง นั่งบนอาสนะเดียวกันบ้าง นอนบนเตียงเดียวกันบ้าง นอน ร่วมเครื่องลาดเดียวกันบ้าง นอนคลุมผ้าห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่อง ลาดและคลุมผ้าห่มร่วมกันบ้าง กับกุลสตรี กุลธิดา กุมารีแห่งสกุล สะใภ้แห่ง สกุล กุลทาสี ฉันอาหารในเวลาวิกาลบ้าง ดื่มน้ำเมาบ้าง ทัดทรงดอกไม้ของ หอมและเครื่องลูบไล้บ้าง ฟ้อนรำบ้าง ขับร้องบ้าง ประโคมบ้าง เต้นรำบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ขับร้องกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ประโคมกับหญิงฟ้อน รำบ้าง เต้นรำกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ... ฟ้อนรำกับหญิงเต้นรำบ้าง ขับร้องกับ หญิงเต้นรำบ้าง ประโคมกับหญิงเต้นรำบ้าง เต้นรำกับหญิงเต้นรำบ้าง เล่น หมากรุกแถวละแปดตาบ้าง แถวละสิบตาบ้าง เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นชิงนางบ้าง เล่นหมากไหวบ้าง เล่นโยนห่วงบ้าง เล่นไม้หึ่งบ้าง เล่นฟาดให้เป็นรูปต่างๆ บ้าง เล่นสกาบ้าง เล่นเป่าใบไม้บ้าง เล่นไถน้อยๆ บ้าง เล่นหกคะเมนบ้าง เล่นไม้กังหันบ้าง เล่นตวงทรายด้วยใบไม้บ้าง เล่นรถน้อยๆ บ้าง เล่นธนูน้อย บ้าง เล่นเขียนทายบ้าง เล่นทายใจบ้าง เล่นเลียนคนพิการบ้าง หัดขี่ช้างบ้าง หัดขี่ม้าบ้าง หัดขี่รถบ้าง หัดยิงธนูบ้าง หัดเพลงอาวุธบ้าง วิ่งผลัดช้างบ้าง วิ่งผลัดม้าบ้าง วิ่งผลัดรถบ้าง วิ่งขับกันบ้าง วิ่งเปี้ยวกันบ้าง ผิวปากบ้าง ปรบมือบ้าง ปล้ำกันบ้าง ชกมวยกันบ้าง ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ณ กลางสถานที่ เต้นรำ แล้วพูดกับหญิง ฟ้อนรำอย่างนี้ว่า น้องหญิง เธอจงฟ้อนรำ ณ ที่นี้ ดังนี้บ้าง ให้การคำนับบ้าง ประพฤติอนาจารมีอย่างต่างๆ บ้าง ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงประพฤติ อนาจารมีอย่างต่างๆ รูปใดประพฤติ พึงปรับอาบัติตามธรรม.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 73
พุทธานุณาตเครื่องโลหะเป็นต้น
[๑๙๖] สมัยต่อมา เมื่อท่านพระอุรุเวลกัสสปบวชแล้ว เครื่องโลหะ เครื่องไม้ เครื่องดิน บังเกิดแก่สงฆ์เป็นอันมาก ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิด ว่า เครื่องโลหะชนิดไหน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต ชนิดไหนไม่ทรง อนุญาต เครื่องไม้ชนิดไหน ทรงอนุญาต ชนิดไหนไม่ทรงอนุญาต เครื่อง ดินชนิดไหน ทรงอนุญาต ชนิดไหน ไม่ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ.เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องโลหะทุกชนิด เว้นเครื่องประหาร อนุญาตเครื่อง ไม้ทุกชนิด เว้นเก้าอี้นอนมีแคร่ บัลลังก์ บาตรไม้และเขียงไม้ อนุญาตเครื่อง ดินทุกชนิด เว้นเครื่องเช็ดเท้าและกุฎีที่ทำด้วยดินเผา.
ขุททกวัตถุขันธกะที่ ๕ จบ
หัวข้อประจำธกะ
[๑๙๗] ๑. เรื่องขัดสีกายที่ต้นไม้ ๒. ขัดสีกายที่เสา ๓. ขัดสีกายที่ฝา ๔. อาบน้ำในที่ไม่ควร ๕. อาบน้ำขัดสีกายด้วยมือทำด้วยไม้ ๖. ขัดสีกายด้วย จุณหินสีดังพลอยแดง ๗. ผลัดกันถูตัว ๘. อาบน้ำถูด้วยไม้บังเวียน ๙. ภิกษุ เป็นหิด ๑๐. ภิกษุชรา ๑๑. ถูหลังด้วยฝ่ามือ ๑๒. เครื่องตุ้มหู ๑๓. สังวาล ๑๔. สร้อยคอ ๑๕. เครื่องประดับเอว ๑๖. ทรงวลัย ๑๗. ทรงสร้อยตาบ ๑๘. ทรงเครื่องประดับข้อมือ ๑๙. ทรงแหวนประคับนิ้วมือ ๒. ไว้ผมยาว ๒๑. เสยผมด้วยแปรง ๒๒. เสยผมด้วยมือ ๒๓. เสยผมด้วยน้ำมันผสมขี้ผึ้ง
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 74
๒๔. เสยผมด้วยน้ำมันผสมน้ำ ๒๑. ส่องเงาหน้าในแว่น ในขันน้ำ ๒๖. แผล เป็นที่หน้า ๒๗. ผัดหน้า ๒๘. ทาหน้า ถูหน้า ผัดหน้า เจิมหน้า ย้อมตัว ย้อมหน้า ย่อมทั้งหน้าทั้งตัว ๒๙. โรคนัยน์ตา ๓๐. มหรสพ ๓๑. สวดเสียง ยาว ๓๒. สวดสรภัญญะ ๓๓. ห่มผ้าขนสัตว์ มีขนช้างนอก ๓๘. มะม่วงทั้ง ผล ๓๕. ชิ้นมะม่วง ๓๖. มะม่วงล้วน ๓๗. เรื่องงู ๓๘. ตัดองค์กำเนิด ๓๙. บาตรไม้จันทน์ ๔๐. เรื่องบาตรต่างๆ ๔๑. บังเวียนรองบาตร ๔๒ บังเวียนทองรองบาตร หนาไป ทรงอนุญาตให้กลึง ๔๓. บังเวียนรองบาตร วิจิตร ๔๔. บาตรเหม็นอับ ๔๕. บาตรมีกลิ่นเหม็น ๔๖. วางบาตรไว้ในที ร้อน ๔๗. บาตรกลิ้งตกแตก ๔๘. เก็บบาตรไว้ที่กระดานเลียบ ๔๙. เก็บ บาตรไว้ริมกระดานเลียบนอกฝา ๕๐. หญ้ารองบาตร ๕๑. ท่อนผ้ารองบาตร ๕๒. แท่นเก็บบาตร หม้อ เก็บบาตร ๕๓. ถุงบาตรและสายโยกเป็นด้ายถัก ๕๔. แขวนบาตรไว้ ที่ไม้เดือย ๕๕. เก็บบาตรไว้บนเตียง ๕๖. เก็บบาตรไว้ บนตั่ง วางบาตรไว้บนคัก ๕๘. เก็บบาตรไว้บนกลด ๕๙. ถือบาตรอยู่ผลัก ประตูเข้าไป ๖๐. ใช้กะโหลกน้ำเท้าแทนบาตร ๖๑. ใช้กระเบื้องหม้อแทน บาตร ๖๒. ใช้กะโหลกผีแทนบาตร ๖๓. ใช้บาตรต่างกระโถน ๖๔. ใช้มีด ตัดจีวร ๖๕. เรื่องใช้มีดด้าม ๖๖. ใช้ด้ามมีดทำด้วยทอง ๖๗. ใช้ชั้นไก่และ ไม้กลัดเย็บจีวร กล่องเข็ม แป้งข้าวหมาก ฝุ่นหิน ขี้ผึ้ง ผ้ามัดขี้ผึ้ง ๖๘. จีวร เสียมุม ผูกสะดึง ขึงสะดึงในที่ไม่เสมอ ขึงสะดึงที่พื้นดิน ขอบสะดึงชำรุด และไม่พอ ทำเครื่องหมายและตีบรรทัด ๖๙. ไม่ล้างเท้าเหยียบสะดึง ๗๐. เท้าเปียกเหยียบสะดึง ๗๑. สวมรองเท้าเหยียบสะดึง ๗๒. ใช้นิ้วมือรับเข็ม ๗๓. ปลอกนิ้วมือ ๗๔. กล่องสำหรับเก็บเครื่องเย็บผ้า และสายโยก เป็นด้ายถัก ๗๕. เย็บจีวรในที่แจ้ง โรงโม้สะดึงต่ำ ถมพื้นให้สูง ขึ้นลงลำบาก ๗๖. ผง
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 75
หญ้าที่มุงตกเกลื่อน พระวินายกทรงอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดินทั้งข้างใน ทำ ให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวร ๗๗. ทิ้งไม้สะดึงแล้วหลีกไป ไม้สะดึง หักเสียหาย คลี่ออก ๗๘. เก็บสะดึงไว้ที่ฝากุฏิ ๗๙. ใช้บาตรบรรจุเข็ม มีด เครื่องยาเดินทาง ถุงเก็บเครื่องยา สายโยกเป็นด้ายถัก ๘๐. ใช้ผ้ากายพันธ์ ผูกรองเท้า ถุงเก็บรองเท้า สายโยกเป็นด้ายถัก ๘๑. น้ำในระหว่างทางเป็น อกัปปียะ ผ้ากรองน้ำ กระบอกกรองน้ำ ๘๒. ภิกษุสองรูปเดินทางไปเมืองเวสาลี ๘๓. พระมหามุนีทรงอนุญาตผ้ากรองน้ำมีขอบและผ้าลาดลงบนน้ำ ๘๔. ยุงรบกวน ๘๕. อาหารประณีต เกิดโรคมาก หมอชีวกทูลขออนุญาต สร้างที่จงกรมและเรือนไฟ ๘๖. ที่จงกรมขรุขระ ๘๗. พื้นที่จงกรมต่ำ ทรง อนุญาตให้ก่อกรุดินที่ถม ๓ ชนิด ขึ้นลงลำบาก ทรงอนุญาตบันไดและราว สำหรับยึด ๘๘. ทรงอนุญาตรั้วรอบที่จงกรม ๘๙. จงกรมในที่แจ้งผงหญ้า หล่นเกลื่อน ทรงอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดินทำให้มี สีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวร ๙๐. ทรงอนุญาตให้ถมเรือนไฟให้สูงกั้นกรุ บันได ราวบันได บานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรองเดือยประตูห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องชักเชือก เชือกชัก ก่อฝาเรือนไฟให้ต่ำ และ ปล่องควัน ๙๑. เรือนไฟตั้งอยู่กลาง ทรงอนุญาตดินทาหน้า รางละลายดิน ดินมีกลิ่นเหม็น ๙๒. ไฟลนกาย ทรงอนุญาตที่ขังน้ำ ขันทักน้ำ เรือนไฟ ไหม้เกรียม พื้นที่เป็นตม ทรงอนุญาตให้ล้าง ทำท่อระบายน้ำ ๙๓. ตั่งรอง นั่งในเรือนไฟ ๙๔. ทำซุ้ม ๙๕. ทรงอนุญาตโรยกรวดแร่ วางศิลาเลียบ ท่อระบายน้ำ ๙๖. เปลือยกายไหว้กัน. ๙๗. วางจีวรไว้บนพื้นดิน ฝนตกเปียก
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 76
๙๘. ทรงอนุญาตเครื่องกำบัง ๓ ชนิด ๙๙. บ่อน้ำ ๑๐๐. ใช้ผ้ากายพันธ์และ เถาวัลย์ผูกภาชนะตักน้ำ ทรงอนุญาตคันโพง ระหัดชัก ระหัดถีบ ภาชนะ ตักน้ำแตก ทรงอนุญาตถังน้ำทำด้วยโลหะไม้และท่อนหนัง ๑๐๑. ทรงอนุญาต ศาลาใกล้บ่อน้ำ ๑๐๒. ทรงอนุญาตฝาปิดบ่อก้นผงหญ้า ๑๐๓. ทรงอนุญาต รางไม้ ๑๐๔. ทรงอนุญาตท่อระบายน้ำ และกำแพงกั้น น้ำขังลื่น ทรงอนุญาต ท่อระบายน้ำ ๑๐๕. เนื้อตัวตกหนาว ทรงอนุญาตผ้าชุบน้ำ ๑๐๖. ทรงอนุญาต สระน้ำ น้ำในสระเก่า ทรงอนุญาตให้ทำท่อระบายน้ำ ๑๐๗. ทรงอนุญาต เรือนไฟมีปั้นลม ๑๐๘. ไม่อยู่ปราศจากผ้านิสีทนะ ๔ เดือน ๑๐๙. นอนบนที่ นอนอันเดียรดาษด้วยดอกไม้ ๑๑๐. ไม่รับประเคนดอกไม้ของหอม ๑๑๑. ไม่ ต้องอธิษฐานสันถัตขนเจียมหล่อ ๑๑๒. ฉันจังหันบนเตียบ ๑๑๓. ทรงอนุญาต โตก ๑๑๔. ฉันจังหันและนอนร่วมกัน ๑๑๕. เจ้าวัฑฒลิจฉวี ๑๑๖. โพธิ- ราชกุมาร พระพุทธเจ้าไม่ทรงเหยียบผ้า ๑๑๗. หม้อน้ำ ปุ่มไม้สำหรับเช็ดเท้า และไม้กวาด ๑๑๘. ทรงอนุญาตที่เช็ดเท้าทำด้วยหิน กรวดกระเบื้อง หิน ฟองน้ำ ๑๑๙. ทรงอนุญาตพัดโบก พัดใบตาล ๑๒๐. ไม้ปัดยุง แส้จามรี ๑๒๑. ทรงอนุญาตร่ม ๑๒๒. ไม่มีร่มไม่สบาย ๑๒๓. ทรงอนุญาตร่มในวัด รวม ๓ เรื่อง ๑๒๔. วางบาตรไว้ในสาแหรก ๑๒๕. สมมติสาแหรก สมมติ ไม้เท้าและสาแหรก ๑๒๖. โรคเรอ ๑๒๗. เมล็ดข้าวเกลื่อน ๑๒๘. ไว้เล็บยาว ๑๒๙. ตัดเล็บ นิ้วมือเจ็บ ตัดเล็บจนถึงเลือด ทรงอนุญาตให้ตัดพอดีเนื้อ ๑๓๐. ขัดเล็บทั้ง ๒๐ นิ้ว ๑๓๑. ไว้ผมยาว ทรงอนุญาตมีดโกน หินลับมีดโกน ปลอกมีดโกน ผ้าพันมีดโกน เครื่องมือโกนผมทุกอย่าง ๑๓๒. ตัดหนวด ไว้หนวด ไว้เครา ไว้หนวดสี่เหลี่ยม ขมวดกลุ่มขนหน้าอก ไว้กลุ่มขนท้อง ไว้หนวดเป็นเขี้ยวโง้ง โกนขนในที่แคบ ๑๓๓. อาพาธโกนขนในที่แคบได้
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 77
๑๓๔. ตัดผมด้วยกรรไกร ๑๓๕. ศีรษะเป็นแผล ๑๓๖. ไว้ขนจมูกยาว ๑๓๗. ถอนขนจมูกด้วยก้อนกรวด ๑๓๘. เรื่องถอนผมหงอก ๑๓๙. เรื่องมูล หูจุกช่องหู ๑๔๐. ใช้ไม้แคะหู ๑๔๑. เรื่องสั่งสมเครื่องโลหะกับไม้ป้ายยาตา ๑๔๒. นั่งรัดเข่า ๑๔๓. ผ้ารัดเข่า ด้ายพัน ๑๔๔. ผ้ารัดประคด ๑๔๕. ภิกษุ ใช้รัดประคดเป็นเชือกหลายเส้น ประคดถักเป็นศีรษะงูน้ำ ประคดกลมคล้าย เกลียวเชือก ประคดคล้ายสังวาล ทรงอนุญาตรัดประคดแผ่นผ้า และรัด ประคดกลม ชายผ้ารัดประคดเก่า ทรงอนุญาตให้เย็บทบ ถักเป็นห่วง ที่สุด ห่วงรัดประคดเก่า ทรงอนุญาตลูกถวิน ๑๔๖. ทรงอนุญาตลูกดุม และรังดุม ๑๔๗. ทำลูกดุมต่างๆ ๑๔๘. ติดแผ่นผ้ารองลูกดุม และรังดุม ๑๔๙. นุ่งผ้า อย่างคฤหัสถ์ คือ นุ่งห้อยชายเหมือนงวงช้าง นุ่งปล่อยชายคล้ายหางปลา นุ่ง ปล่อยชายเป็นสี่แฉก นุ่งห้อยชายคล้ายก้านตาล นุ่งยกกลีบตั้งร้อย ๑๕๐. ห่ม ผ้าอย่างคฤหัสถ์ ๑๕๑. นุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน ๑๕๒. หาบของสองข้าง ๑๕๓. ไม้ชำระฟัน ๑๕๔. ไม้ชำระฟันตีสามเณร ๑๕๕. ไม้ชำระฟันติดคอ ๑๕๖. จุดไฟเผากองหญ้า ๑๕๗. จุดไฟรับ ๑๕๘. ขึ้นต้นไม้ ๑๕๙. หนีช้าง ๑๖๐. ภาษาสันสกฤต ๑๖๑. เรียนโลกายตศาสตร์ ๑๖๒. สอนโลกายตศาสตร์ ๑๖๓. เรียนดิรัจฉานวิชา ๑๖๔. สอนดิรัจฉานวิชา ๑๖๕. ทรงจาม ๑๖๖. เรื่องมงคล ๑๖๗. ฉันกระเทียม ๑๖๘. อาพาธเป็นลม ฉันกระเทียมได้ ๑๖๙. อาราม สกปรกมีกลิ่นเหม็น นั่งปัสสาวะลำบาก ทรงอนุญาตเขียงรองเท้าถ่ายปัสสาวะ ภิกษุทั้งหลายละอาย หม้อปัสสาวะไม่มีฝาปิด มีกลิ่นเหม็น ถ่ายอุจาระลงใน ที่นั้นๆ มีกลิ่นเหม็น หลุมถ่ายอุจจาระพัง ทรงอนุญาตให้ถมขอบปากให้สูง และให้ก่อกรุ บันได ราวสำหรับยึด นั่งริมๆ ถ่ายอุจจาระ นั่งริมๆ ถ่าย อุจจาระลำบาก ทรงอนุญาตเขียงรองเท้าถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะออกไปข้าง
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 78
นอก ทรงอนุญาตรางรองปัสสาวะ ไม้ชำระ ตะกร้ารองรับไม้ชำระ หลุม วัจจกุฎีไม่ได้ปิด ทรงอนุญาตฝาปิด ๑๗๐. วัจจกุฎี บานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรับเดือยบานประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง กลอน ลิ่ม ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าตกลงเกลื่อน ทรงอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดิน ทั้งข้างบนข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้ เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียง ๑๗๑. ภิกษุชรา ทุพพลภาพ ๑๗๒. ทรงอนุให้ล้อมเครื่องล้อม ๑๗๓. ทรงอนุญาตซุ้มประตู วัจจกุฎี โรยกรวดแร่ วางศิลาเลียบ น้ำขัง ทรงอนุญาต ท่อระบายน้ำ หม้อ น้ำชำระ ขันตักน้ำชำระ นั่งชำระลำบาก ละอาย ทรงอนุญาตฝาปิด ๑๗๔. พระฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจาร ๑๗๕. ทรงอนุญาตเครื่องโลหะ เว้นเครื่อง ประหาร พระมหามุนีทรงอนุญาตเครื่องไม้ทั้งปวง เว้นเก้าอี้นอนมีแคร่ บัลลังก์ บาตรไม้และเขียงไม้ พระตถาคตผู้ทรงอนุเคราะห์ ทรงอนุญาตเครื่องดินแม้ ทั้งมวล เว้นเครื่องเช็ดเท้า และกุฎีที่ทำด้วยดินเผา.
นิเทศแห่งวัตถุใด ถ้าเหมือนกับข้างต้น นักวินัยพึงทราบวัตถุนั้นว่า ท่านย่อไว้ในอุทาน โดยนัย.
เรื่องในขุททกวัทถุขันธกะ ที่แสดงมานี้มี ๑๑๐ เรื่อง พระวินัยธรผู้ ศึกษาดีแล้ว มีจิตเกื้อกูล มีศีลเป็นที่รักด้วยดี มีปัญญาส่องสว่างดังดวง ประทีปเป็นพหูสูต ควรบูชา จะเป็นผู้ดำรงพระสัทธรรม และอนุเคราะห์แก่ เหล่าสพรหมจารีผู้มีศีลเป็นที่รัก.
หัวข้อประจำขันธกะ จบ