[คำที่ ๓๘๘] อโสเจยฺย
โดย Sudhipong.U  31 ม.ค. 2562
หัวข้อหมายเลข 32508

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ อโสเจยฺย

คำว่า อโสเจยฺย เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - โส – ไจ - ยะ] มาจากคำว่า (ไม่) แปลง เป็น กับคำว่า โสเจยฺย (ความสะอาด) รวมกันเป็น อโสเจยฺย แปลว่า ความไม่สะอาด มีความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งมาก แสดงถึงความเป็นจริงของอกุศลธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ไม่ผ่องใส ซึ่งเมื่อได้เหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เป็นธรรมที่มีจริงๆ ไม่นำมาซึ่งประโยชน์แก่ใครๆ ทั้งสิ้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้ ก็ยังเป็นผู้มีความไม่สะอาด, ความไม่สะอาด ไม่ใช่อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นเรื่องของอกุศลธรรมที่อยู่ภายในจิตใจเท่านั้น ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูสกปรกหรือสะอาด แต่ถ้าอกุศลธรรมเกิดเมื่อใด ก็ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง ดังข้อความใน สารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค คัททูลสูตร ว่า

“ก็สัตว์ทั้งหลาย แม้อาบน้ำดีแล้ว ก็ชื่อว่าเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมองนั่นแล แต่ว่า แม้ร่างกายจะสกปรก ก็ชื่อว่าผ่องแผ้วได้ เพราะจิตผ่องแผ้ว”

ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต จุนทสูตร แสดงความเป็นจริงว่า

ความไม่สะอาด ได้แก่ ความไม่สะอาดทางกาย ๓ (ฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์,ประพฤติผิดในกาม) ความไม่สะอาดทางวาจา ๔ (พูดเท็จ, พูดส่อเสียด, พูดคำหยาบ, พูดเพ้อเจ้อ) ความไม่สะอาดทางใจ ๓ (เพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่น, พยาบาทปองร้ายผู้อื่น, มีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง) 


แต่ละบุคคลที่เกิดมานั้น ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้) ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตได้ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป และถ้ามีกำลังมากก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ มีการประทุษร้าย เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย ด้วยวาจา เป็นต้น และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า แต่ละบุคคลสะสมกุศลมามาก เพราะความเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลสซึ่งได้สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อได้ศึกษาพระธรรม ก็จะค่อยๆ เห็นว่า ส่วนใหญ่แล้วชีวิตประจำวันจะเป็นไปกับอกุศลธรรมมากทีเดียว ด้วยโลภะ (ความติดข้อง) บ้าง โทสะ (ความโกรธ,ความขุ่นเคืองใจ) บ้าง เป็นต้น ตลอดเวลาที่จิตไม่ได้เป็นไปในการให้ทาน ไม่ได้เป็นไปในศีล (คือเว้นในสิ่งที่ควรเว้นและประพฤติในสิ่งที่ควรประพฤติ) และไม่ได้เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญาจากการฟังธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน จิตก็จะเป็นอกุศลโดยส่วนใหญ่ ความไม่สะอาดเกิดแล้วในขณะนั้น

เป็นธรรมดาที่เมื่อได้เหตุปัจจัยอกุศลก็ย่อมจะเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อาจจะติดข้องมากๆ ก็ได้ อาจจะโกรธมากๆ ก็ได้ มีความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจาตามอำนาจของกิเลส เพราะยังไม่ได้ดับกิเลส นั่นเอง นี้คือความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และจะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรมหรือกุศลธรรม ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ปกติในชีวิตประจำวันของผู้ที่ยังมีกิเลส ยังถูกผูกมัดไว้ด้วยกิเลสประการต่างๆ จึงมีกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา และเกิดมากกว่ากุศลจิตด้วย โอกาสของกุศลน้อยมาก ถ้าเทียบกับขณะที่เป็นอกุศล ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

ตามความเป็นจริง กุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม ไม่นำประโยชน์อะไรๆ มาให้ใครเลย มีแต่จะนำทุกข์โทษภัยมาให้ในภายหลัง ขณะที่จิตเป็นกุศลย่อมเร่าร้อนเดือดร้อนอยู่ไม่เป็นสุขเพราะอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกัน เช่น โลภะ ความติดข้อง โมหะ ความหลง ความไม่รู้ เป็นต้น ซึ่งเป็นความไม่สะอาดของจิตใจ เกิดขึ้นเมื่อใดก็ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ไม่สะอาด และถ้ามีกำลังถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เช่นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ยิ่งเร่าร้อนมาก กล่าวได้ว่าเร่าร้อนทั้งในขณะที่ทำ และเร่าร้อนทั้งในขณะที่ได้รับผลของกุศลนั้นๆ ด้วย โดยที่ไม่มีใครทำให้เลย ในทางตรงกันข้าม ขณะที่จิตเป็นกุศลนั้นย่อมผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เพราะไม่มีกุศลเจตสิกเกิดร่วมได้เลย เป็นจิตคนละประเภทกัน แต่จะมีสภาพธรรมฝ่ายดี เช่น ศรัทธา (สภาพธรรมที่เลื่อมใสในกุศล) สติ (สภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล) หิริ (ความละอายต่อกุศล) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อกุศล) เป็นต้น เกิดร่วมด้วย

การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่ง เมื่อมีโอกาสได้ฟังแล้ว มีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ย่อมจะทำให้เป็นผู้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นโทษเห็นภัยของกุศล และเห็นคุณค่าของกุศล ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาททั้งในกุศลและในกุศลแม้จะเล็กน้อย เป็นผู้เจริญกุศลประการต่างๆ เพื่อขจัดความไม่สะอาด คือ กุศลของตนเอง เพราะสิ่งที่จะขจัดความไม่สะอาดดังกล่าวนี้ได้ ต้องเป็นกุศลธรรม เท่านั้น ถ้ากุศลไม่เกิดขึ้น ไม่เจริญขึ้นเลย ก็เป็นโอกาสของกุศลที่นับวันจะพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไขหรือขัดเกลาได้ การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล กุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย จึงควรอย่างที่จะได้เจริญกุศลและอบรมเจริญปัญญาต่อไป

เพราะฉะนั้น จึงขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยจริงๆ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อมีความเข้าใจพระธรรมเป็นที่พึ่งขัดเกลาอกุศลธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่สะอาดในจิตใจของตนเองให้เบาบาง ตามความเจริญขึ้นของปัญญา จนกว่าจะถึงการดับได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 14 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ