[เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 178
๓. เสรีววาณิชชาดก
ว่าด้วยเสรีววาณิช
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 55]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 178
๓. เสรีววาณิชชาดก
ว่าด้วยเสรีววาณิช
[๓] ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค คือ ความแน่นอนแห่งสัทธรรมในศาสนานี้ ท่านจะต้องเดือดร้อนใจในภายหลังสิ้นกาลนาน ดุจพาณิชชื่อเสรีวะผู้นี้ ฉะนั้น.
๓. อรรถกถาเสรีววาณิชชาดก
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุ รูปหนึ่งผู้ละความเพียรเหมือนกัน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อิธ เจ หิ นํ วิราเธสิ ดังนี้. ก็พระศาสดาทรงเห็นภิกษุนั้นถูกภิกษุทั้งหลายนำมาโดยนัยก่อนนั่นแล จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอบวชในศาสนา อันให้มรรคผลเห็นปานนี้ เมื่อละความเพียรเสีย จักเศร้าโศกตลอดกาลนาน เหมือนเสรีววาณิชเสื่อมจากถาดทองอันมีค่าแสนหนึ่งฉะนั้น. ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงการทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ ให้ปรากฏ.
ในอดีตกาล ในกัปที่ ๕ แต่ภัทรกัปนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นพ่อค้าเร่ ชื่อว่า เสรีวะ ในแคว้นเสริวรัฐ. เสรีววาณิชนั้น เมื่อไปเพื่อต้องการค้าขายกับพ่อค้าเร่ผู้โลเลคนหนึ่ง ชื่อว่า เสรีวะ ข้ามแม่น้ำชื่อว่า นีลพาหะ แล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 179
เข้าไปยังพระนครชื่อว่า อริฏฐปุระ แบ่งถนนในนคร (ไปคนละทาง) กันแล้ว เที่ยวขายสินค้าในถนนที่ประจวบกับคน. ฝ่ายวาณิชนอกนี้ยึดเอาถนนที่ประจวบเข้ากับคนเท่านั้น. ก็ในนครนั้น ได้มีตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่ง เป็นตระกูลเก่าแก่. บุตร พี่น้อง และทรัพย์สินทั้งปวงได้หมดสิ้นไป. ได้มีเด็กหญิงคนหนึ่งเหลืออยู่กับยาย. ยายหลานแม้ทั้งสองนั้น กระทำการรับจ้างคนอื่นเลี้ยงชีวิต. ก็ในเรือน ได้มีถาดทองที่มหาเศรษฐีของยายกับหลานนั้นเคยใช้สอยถูกเก็บไว้กับภาชนะอื่นๆ เมื่อไม่ได้ใช้สอยนานาน เขม่าก็จับ. ยายและหลานเหล่านั้นย่อมไม่รู้แม้ความที่ถาดนั้นเป็นถาดทอง.
สมัยนั้น วาณิชโลเลคนนั้น เที่ยวร้องขายของว่า จงถือเอาเครื่องประดับ จงถือเอาเครื่องประดับ ได้ไปถึงประตูบ้านนั้น. กุมาริกานั้นเห็นวาณิชนั้นจึงกล่าวกะยายว่า ยาย ขอยายจงซื้อเครื่องประดับอย่างหนึ่งให้หนู. ยายกล่าวว่าหนูเอ๋ย เราเป็นคนจน จักเอาอะไรไปซื้อ. กุมาริกากล่าวว่า พวกเรามีถาดใบนี้อยู่ และถาดใบนี้ไม่เป็นอุปการะเกื้อกูลแก่พวกเรา จงให้ถาดใบนี้แล้วถือเอา (เครื่องประดับ). ยายจึงให้เรียกนายวาณิชมาแล้วให้นั่งบนอาสนะให้ถาดใบนั้นแล้วกล่าวว่า เจ้านาย ท่านจงถือเอาถาดนี้ แล้วให้เครื่องประดับ อะไรๆ ก็ได้แก่หลานสาวของท่าน. นายวาณิชเอามือจับถาดนั่นแล คิดว่าจักเป็นถาดทอง จึงพลิกเอาเข็มขีดที่หลังถาด รู้ว่าเป็นทอง จึงคิดว่า เราจักไม่ให้อะไรๆ แก่คนเหล่านี้ จักนำเอาถาดนี้ไป แล้วกล่าวว่า ถาดใบนี้จะมีราคาอะไร ราคาของถาดใบนี้แม้กึ่งมาสกก็ยังไม่ถึง จึงโยนไปที่ภาคพื้นแล้วลุกจากอาสนะหลีกไป.
พระโพธิสัตว์คิดว่า คนอื่นย่อมได้เพื่อจะเข้าไปยังถนนที่นายวาณิชนั้น เข้าไปแล้วออกไป จึงเข้าไปยังถนนนั้นร้องขายของว่า จงถือเอาเครื่องประดับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 180
ดังนี้ ได้ไปถึงประตูบ้านนั้นนั่นแหละ. กุมาริกานั้นกล่าวกะยายเหมือนอย่างนั่นแหละอีก. ลำดับนั้น ยายได้กล่าวกะกุมาริกานั้นว่า หลานเอ๋ย นายวาณิชผู้มายังเรือนนี้ โยนถาดนั้นลงบนภาคพื้นไปแล้ว บัดนี้ เราจักให้อะไรแล้ว ถือเอาเครื่องประดับ. กุมาริกากล่าวว่า ยาย นายวาณิชคนนั้นพูดจาหยาบคาย ส่วนนายวาณิชคนนี้ น่ารัก พูดจาอ่อนโยน คงจะรับเอา ยายกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นจงเรียกเขามา กุมาริกานั้นจึงเรียกนายวาณิชนั้นมา. ลำดับนั้น ยาย และหลานได้ให้ถาดใบนั้นแก่พระโพธิสัตว์นั้น ผู้เข้าไปยังเรือนแล้วนั่ง. พระโพธิสัตว์นั้นรู้ว่าถาดนั้นเป็นถาดทอง จึงกล่าวว่า แม่ ถาดใบนี้มีค่าตั้งแสน สินค้าอันมีค่าเท่าถาด ไม่มีในมือของเรา. ยายและหลานจึงกล่าวว่า เจ้านาย นายวาณิชผู้มาก่อนพูดว่า ถาดใบนี้มีค่าไม่ถึงแม้กึ่งมาสก แล้วเหวี่ยงถาดลงพื้นไป แต่ถาดใบนี้จักเกิดเป็นถาดทอง เพราะบุญของท่าน พวกเราให้ถาดใบนี้แก่ท่าน ท่านให้อะไรๆ ก็ได้แก่พวกเรา แล้วถือเอาถาดใบนี้ไปเถิด. ขณะนั้น พระโพธิสัตว์จึงให้กหาปณะ ๕๐๐ ซึ่งมีอยู่ในมือ และสินค้าซึ่งมีราคา ๕๐๐ กหาปณะ ทั้งหมด แล้วขอเอาไว้เพียงเท่านี้ว่า ท่านทั้งหลายจงให้ตาชั่งนี้กับถุง และกหาปณะ ๘ กหาปณะแก่ข้าพเจ้า แล้วถือเอาถาดนั้นหลีกไป. พระโพธิสัตว์นั้นรีบไปยังฝั่งแม่น้ำ ให้นายเรือ ๘ กหาปณะ แล้วขึ้นเรือไป.
ฝ่ายนายวาณิชพาล หวนกลับไปเรือนนั้นอีก แล้วกล่าวว่า ท่านจงนำถาดใบนั้นมา เราจักให้อะไรๆ บางอย่างแก่ท่าน. หญิงนั้นบริภาษนายวาณิชพาลคนนั้น แล้วกล่าวว่า ท่านได้กระทำถาดทองอันมีค่าตั้งแสนของพวกเราให้มีค่าเพียงกึ่งมาสก แต่นายวาณิชผู้มีธรรมคนหนึ่งเหมือนกับนายท่านนั่นแหละ ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่พวกเรา แล้วถือเอาถาดทองนั้นไปแล้ว. นายวาณิชพาล ได้ฟังดังนั้น คิดว่า เราเป็นผู้เสื่อมจากถาดทองอันมีค่าตั้งแสน วาณิชคนนี้ทำความเสื่อมอย่างใหญ่หลวงแก่เราหนอ เกิดความโศกมีกำลัง ไม่อาจดำรง
พร ' ' ะสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 181
สติไว้ได้ จึงสลบไป (พอฟื้น) ได้โปรยกหาปณะที่อยู่ในมือ และสิ่งของไว้ที่ประตูเรือนนั่นแหละ ทิ้งผ้านุ่งผ้าห่ม ถือคันชั่งทำเป็นไม้ค้อน หลีกไปตามรอยเท้าของพระโพธิสัตว์ ไปถึงฝั่งแม่น้ำนั้น เห็นพระโพธิสัตว์กำลังไปอยู่ จึงกล่าวว่า นายเรือผู้เจริญ ท่านจงกลับเรือ พระโพธิสัตว์ห้ามว่า อย่ากลับ.
เมื่อนายวาณิชพาล แม้นอกนี้ เห็นพระโพธิสัตว์ไปอยู่นั้นแล เกิดความโศกมีกำลัง หทัยร้อน เลือดพุ่งออกจากปาก หทัยแตก เหมือนโคลน ในบึงฉะนั้น. วาณิชพาลนั้น ผูกอาฆาตพระโพธิสัตว์ ถึงความสิ้นชีวิตลง ณ ที่นั้นนั่นเอง. นี้เป็นการผูกอาฆาตในพระโพธิสัตว์ของพระเทวทัตเป็นครั้งแรก. พระโพธิสัตว์กระทำบุญมีทานเป็นต้น ได้ไปตามยถากรรม.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นตรัสพระธรรมเทศนาแล้ว ทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วแล ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค คือความแน่นอนแห่งพระสัทธรรมในศาสนานี้ ท่านจะต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง สิ้นกาลนาน เหมือนวาณิชชื่อ เสริวะ ผู้นี้ ฉะนั้น
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ เจ นํ วิราเธสิ สทฺธมฺมสฺส นิยานกํ ความว่า หากท่านพลาด คือ ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรคกล่าว คือความแน่นอนแห่งพระสัทธรรมอย่างนี้ ในศาสนานี้ อธิบายว่า ท่านเมื่อละความเพียร จะไม่บรรลุคือไม่ได้. บทว่า จิรํ ตุวํ อนุตปฺเปสิ ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านเมื่อเศร้าโศกคือร่ำไรอยู่ตลอดกาลนาน ชื่อว่าจักเดือดร้อนใจภายหลังในกาลทุกเมื่อ อีกอย่างหนึ่ง ในบทนี้มีอธิบายดังนี้ว่า ท่านเกิดในนรกเป็นต้น เสวยทุกข์มีประการต่างๆ ตลอดกาลนาน ชื่อว่าจักเดือด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 182
ร้อนใจภายหลัง คือ ชื่อว่าจักลำบาก เพราะความเป็นผู้ละความเพียร คือ เพราะความเป็นผู้พลาดอริยมรรค. ถามว่า จักเดือดร้อนภายหลังอย่างไร? ตอบว่า จักเดือดร้อนภายหลัง เหมือนนายวาณิชชื่อว่าเสรีวะผู้นี้ อธิบายว่าเหมือนนายวาณิชผู้นี้ อันมีชื่ออย่างนี้ว่า เสรีวะ. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า เมื่อก่อน วาณิชชื่อเสรีวะ ได้ถาดทองมีค่าหนึ่งแสน ไม่ทำความเพียรเพื่อจะถือเอาถาดทองนั้น จึงเสื่อมจากถาดทองนั้น เดือดร้อนใจในภายหลัง ฉันใด แม้เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อไม่บรรลุอริยมรรคอันเช่นกับถาดทองที่เขาจัดเตรียมให้ ในศาสนานี้ เพราะละความเพียรเสีย เป็นผู้เสื่อมรอบจากอริยมรรคนั้น จักเดือดร้อนใจภายหลัง ตลอดกาลนาน ก็ถ้าจักไม่ละความเพียรไซร้ จักได้โลกุตรธรรมแม้ทั้ง ๔ ในศาสนาของเรา เหมือนนายวาณิชผู้เป็นบัณฑิตได้เฉพาะถาดทองฉะนั้น.
พระศาสดาทรงถือเอายอดด้วยพระอรหัต ทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ แก่ภิกษุนี้อย่างนี้ แล้วทรงประกาศสัจจะทั้ง ๔. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ละความเพียรดำรงอยู่ในพระอรหัตอันเป็นผลเลิศ. แม้พระศาสดาก็ทรงตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบต่อกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า วาณิชพาลในกาลนั้น ได้เป็นพระเทวทัตในบัดนี้ นายวาณิชผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้เป็นเราเอง ทรงให้เทศนาจบลงแล้ว.
จบ อรรถกถาเสรีวาณิชาดกที่ ๓