ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๕
โดย khampan.a  13 ต.ค. 2562
หัวข้อหมายเลข 31231

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๕ * *

~ ทุกอย่างในชีวิต มาแล้วก็ไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย
มีอะไรบ้างที่เหลือ?
~ คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว จะกลับมาเป็นบุคคลเหมือนเดิมอีกได้ไหม? ไม่ได้อย่างแน่นอน เมื่อจากไปแล้วจะไปสู่กำเนิดอะไร แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นมารดา จะเป็นบิดาจะเป็นผู้เป็นที่รัก แต่ก็จากไปแล้วจากความเป็นบุคคลนี้ ไปสู่ความเป็นบุคคลอื่น มีกำเนิดอื่น มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นต่อไป แล้วทำไมถึงจะคร่ำครวญเศร้าโศกถึงผู้ที่ตาย เพราะฉะนั้น ถ้าพิจารณาธรรมจริงๆ พระธรรมที่ได้พิจารณาแล้ว ก็จะดับความเศร้าโศกของบุคคลทั้งหลายได้ แล้วก็จะน้อมประพฤติปฏิบัติหนทางที่จะทำให้พ้นจากความเศร้าโศก พ้นจากความทุกข์ได้จริงๆ
~ ความตายนี้รวดเร็วมากทีเดียว เร็วยิ่งกว่าการที่จะกะพริบตา หรือว่าเพียงแต่จะเหยียดมือออก นั่นก็ยังนานกว่าการจุติและปฏิสนธิ เพราะเหตุว่าขณะจิตไม่มีระหว่างคั่นเลย ทันทีที่จุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัว กำลังพูดอยู่ขณะนี้สิ้นชีวิตลงก็ได้ กำลังคิดค้างอยู่สิ้นชีวิตลงก็ได้ กำลังลืมตาแล้วหลับตาลงสิ้นชีวิตลงก็ได้ ได้ทุกขณะทีเดียว เร็วมาก เร็วที่สุดจนไม่น่าที่จะต้องกลัวเลยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนความตายก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วปฏิสนธิก็เกิดต่อทันที

~ การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวัน นี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่างทางถูก กับ ทางผิด?

~ ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใดได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่ประมาทมัวเมา ไม่คิดถึงว่า จะต้องเป็นผู้ที่จะถึงแก่ความตายจะเร็วหรือช้าก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าไม่ระลึกอย่างนี้บ้างเลย วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยการที่ท่านไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าเรื่องของอกุศลจิตนี้มีปัจจัยพร้อมที่จะเกิดอยู่เสมอ แต่เรื่องของกุศล นานๆ ก็จะมีโอกาสมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น

~ เกิดมาแล้วก็นานหลายปี ยังไม่ตาย แต่ก็จะต้องตายแน่ๆ เกิดแล้วต้องตายทุกคน ความตายไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะมาถึงเมื่อใด พระธรรมที่แสดงถึงความตาย ก็เพื่อเตือนให้ระลึกได้ว่า อย่างไรก็ต้องตาย และจะตายเมื่อใด ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดก่อนตาย คือ ได้เข้าใจความจริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย คืออะไร มีจริงๆ หรือไม่ เหลืออะไรบ้างหรือเปล่า? ยกตัวอย่าง จิตขณะแรกในชาตินี้ (ปฏิสนธิจิต) เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละขณะก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็ไม่มีเหลือ เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์จากการที่เกิดมาแล้วต้องตาย (จะเร็วจะช้าก็อีกเรื่องหนึ่ง) อย่างน้อยในชาตินี้ ก็มีประโยชน์ที่ได้รู้ความจริง
~ ถ้าไม่ได้ระลึกเลยว่า ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใด ได้ทั้งนั้น วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เป็นผู้ประมาทมัวเมา และเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ในโลกนี้ อย่างไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระจริงๆ เพราะไม่ได้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ กุศลประการต่างๆ พร้อมด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
~ มีทรัพย์สมบัติมาก ก็ตาย มีความรู้ความสามารถมาก ก็ตาย มีญาติสนิทมิตรสหายคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ มาก ก็ตาย หรือ ผู้มีชีวิตที่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ก็ตาย ตายทุกคนจริงๆ ไม่มีใครรอด แต่ใครจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยการมีโอกาสสะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ
~ ไม่ควรที่จะหมกมุ่น เพลิดเพลิน มัวเมาในความเป็นหนุ่มสาว จนกระทั่งไม่คิดถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นสาระในชีวิต เพราะเหตุว่าถ้าจะให้รอไปจนถึงแก่เฒ่าเสียก่อน แล้วจึงจะศึกษาพระธรรมหรือเจริญกุศล เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันๆ นั้น ก็จะเป็นการเพิ่มพูนกิเลสให้ยิ่งขึ้น ทำให้การละคลายขัดเกลากิเลสยิ่งยากขึ้น
~ เกิดมาแล้ว ตายแน่นอน ไม่มีเราอีกต่อไป สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเราด้วย เมื่อตายแล้ว อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติเลยที่นำติดตัวไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายก็ไม่สามารถนำเอาติดตามไปได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะสะสมสิ่งที่ไม่ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อตายไป ก็หอบเอาสิ่งที่ไม่ดี คือ กิเลสซึ่งเปรียบเสมือนขยะ ไปด้วย

~ ภพนี้ ชาตินี้ อาจจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยชาติ ตระกูล โภคสมบัติ รูปสมบัติ วิชาความรู้ บริวารสมบัติทุกสิ่งทุกประการ แต่ว่าภพหน้า ชาติหน้า จะเป็นใคร จะมีรูปสวย รูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก เกิดในสกุลที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติลาภ ยศ ข้าทาสบริวาร หรือเปล่า อาจจะตรงกันข้ามเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น การที่ระลึกถึงความตาย เห็นความไม่เที่ยง ก็ย่อมจะทำให้ท่านละคลายแม้ความติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ในสมบัติของท่าน ซึ่งเคยถือว่าเป็นของเรา และนอกจากนั้นก็ยังทำให้เกิดละคลายมานะ การถือตน การสำคัญตน หรือความผูกพันในสัตว์ ในบุคคล ซึ่งเป็นที่รัก
~ ทุกท่านกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีเครื่องหมายที่จะให้รู้เลยว่า ชีวิตของใครจะอยู่ต่อไปถึงพรุ่งนี้ หรือว่าเดือนหน้า หรือว่าปีหน้า ไม่มีเครื่องหมายให้รู้ว่า จากที่นี้ไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นสุข หรือว่าจะเป็นทุกข์ จะประสบกับอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าพอใจ) หรืออนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ) จะมีอุบัติเหตุ หรือไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะว่าชีวิตไม่มีเครื่องหมาย ใครๆ ก็รู้ไม่ได้
~ เกิดแล้วต้องตายแน่ๆ เกิดมาแล้วตายไป ประโยชน์อยู่ตรงไหน? ถ้าเกิดแล้วไม่รู้ และ ติดข้อง จะมีประโยชน์อะไร และเมื่อติดข้องแล้ว อกุศลทั้งหลายก็ตามมาอย่างมากมาย
~ สิ่งที่ควรกลัวไม่ใช่ความตาย แต่ควรกลัวซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย มี อวิชชาความไม่รู้ เป็นต้น
~ เกิดมาแล้วตายไป ไม่เปล่าประโยชน์ ถ้าได้เข้าใจพระธรรม
~ จะเป็นคนนี้ในชาตินี้ อย่างไร? อย่างคนดี หรือ อย่างคนชั่ว?
~ ทุกคนหนีความตายไม่พ้น ช้าหรือเร็ว วันนี้เป็นเขา (คือ คนอื่นตาย) ต่อไปวันข้างหน้า เป็นเรา เมื่อไหร่ก็ได้
~ เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี
~ ความตายเป็นของธรรมดา มีใครไม่ตายบ้าง? แต่ก่อนตายทำอะไร ความดีหรือความชั่ว?
~ เกิดมาแล้ว จากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ว่าขอให้ได้เป็นคนดีและเข้าใจธรรม แต่ไม่ลืมความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ทำอย่างดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไร ก็เป็นอนัตตา แต่จะห้ามไม่ให้ทำความดีได้ไหม ในเมื่อสะสมมาที่เห็นคุณของความดี คนนั้นก็จะทำสิ่งที่ดี
~ เกิดเป็นคนนี้ได้ชาติเดียว ขณะตายแล้วจะเป็นคนนี้อีกต่อไปไม่ได้เลย แต่การสะสมสืบต่อที่มีตลอดชีวิต จะสะสมต่อไปในคนต่อไปซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร
~ ต่อไปก็จะถึงวันที่เราจากโลกนี้ แต่ก่อนจากก็มีเวลาที่ได้ฟังคำของผู้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
~ ถ้าจะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต จะประพฤติอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้ นี่คือความจริงใจ แสดงให้เห็นว่า ถ้าผู้ใดสามารถขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้บวชแล้วก็ให้ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสตามพระวินัย
~ ความไม่รู้นำมาซึ่งความติดข้องมากมายมหาศาลได้ทุกอย่าง จนสามารถทำสิ่งซึ่งไม่น่าจะทำ ไม่เคยคิดว่าจะทำได้ ก็ทำ เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่ชาวพุทธจะต้องรู้สึกว่า ทำไมโลกทั้งโลกวิกฤตไปหมดเลย ไม่ว่าประเทศไหน เพราะพระพุทธศาสนากำลังวิกฤต ไม่มีใครเข้าใจความจริงแล้วจะเป็นคนดีได้อย่างไร ที่ทุกคนแต่ละคนไม่ดี ก็เพราะไม่รู้ความจริง
~ ถึงเวลาที่เราจะเข้าใจความถูกต้อง ว่า อะไรถูก อะไรผิด ไม่อย่างนั้น เราก็ตามๆ กันไป เมื่อตามๆ กันไปไม่มีเหตุไม่มีผลเลย แล้วจะกล่าวว่าเป็นพระพุทธศาสนาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ชาวพุทธจริงๆ คือ ผู้ที่เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงเป็นคนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ คำที่ไม่จริง สามารถที่จะคัดค้านได้ เพราะไม่ถูกต้อง แต่คำจริง ใครจะคัดค้าน
~ ผู้ที่สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตต้องเข้าใจธรรมและรู้จักการสะสมของตนเองว่าสามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม? ต้องประพฤติตามพระองค์ ไม่ว่ากาย วาจาทุกอย่างที่เป็นการขัดเกลากิเลส เพราะกิเลสในชีวิตของคฤหัสถ์มากมายมหาศาล สละให้หมดเลย ถ้าทำไม่ได้ ก็ศึกษาธรรมในเพศคฤหัสถ์
~ ถ้าเราให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เรากล่าวโทษใครหรือเปล่า โจมตีใครหรือเปล่า? หรือมีความเป็นมิตรที่ดีให้เขาได้เข้าใจถูกต้องว่าเพศบรรพชิตถ้าไม่ประพฤติตามพระวินัย เป็นโทษอย่างยิ่ง
~ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แล้วจะกลัวอะไร คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เข้าใจ เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต แล้วจะกลัวอะไร
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะตรัสคำไหน คำนั้นมีประโยชน์ ให้รู้จักจริงๆ ว่า มีความเข้าใจธรรมจริงๆ หรือเปล่า ถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ มีเราหรือเปล่า?
~ จิตผ่องใสไหม ที่คิดจะทำประโยชน์ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
~ มีความเป็นมิตรกับคนอื่นที่จะทำให้เขาได้รับประโยชน์ที่สูงสุด จากการที่เกิดมา ก็คือ ให้เขารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เมื่อเข้าใจแล้ว ก็มีพระธรรมคือคำของพระองค์เป็นที่พึ่งแม้ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
~ กิเลสใดๆ ทุกประเภทเกิดเมื่อไหร่ จิตไม่ผ่องใสเมื่อนั้น
~ ไม่มีอะไรที่น่าอัศจรรย์เท่ากับคำที่สามารถเปิดความจริงที่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ทีละคำๆ ไม่มีเรา ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ก็คลายหน่อยหนึ่งแล้ว จะโกรธเขา หรือว่ากลัวเขา หรือว่าครั่นคร้าม (ไม่แกล้วกล้า) ก็ค่อยๆ คลายไป ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่มีเรา (มีแต่ธรรม)
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่มีทางที่จะเป็นชาวพุทธได้ แล้วการที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ต่างคนต่างคิดไม่ได้ ต้องตามพระธรรมวินัย.

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๔

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย มกร  วันที่ 13 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย meenalovechoompoo  วันที่ 13 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย jirat wen  วันที่ 13 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย ธีรพันธ์  วันที่ 14 ต.ค. 2562

กราบอนุโมทนาสาธุครับ


ความคิดเห็น 5    โดย Nataya  วันที่ 14 ต.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย panasda  วันที่ 14 ต.ค. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย peem  วันที่ 14 ต.ค. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 15 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย j.jim  วันที่ 15 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย suporn.thun  วันที่ 17 ต.ค. 2562

ขอกราบขอบพระคุณกราบอนุโมทนาในธรรมอันประเสริฐค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย kukeart  วันที่ 18 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย Nattaya40  วันที่ 20 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย มังกรทอง  วันที่ 8 ธ.ค. 2564

ไม่มีอะไรที่น่าอัศจรรย์เท่ากับคำที่สามารถเปิดความจริงที่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ทีละคำๆ ไม่มีเรา ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ก็คลายหน่อยหนึ่งแล้ว จะโกรธเขา หรือว่ากลัวเขา หรือว่าครั่นคร้าม (ไม่แกล้วกล้า) ก็ค่อยๆ คลายไป ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่มีเรา (มีแต่ธรรม) น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ