มีท่านผู้ถามท่านอาจารย์ว่า การพิจารณาเห็นกายในกาย กายหมายความถึงอะไร เวลานี้มีกายไหม? เห็นกายหรือยังว่าเป็นกาย กายหมายถึงธรรมะที่กาย ธรรมที่เข้าใจว่าเป็นร่างกายแต่ความจริงเป็นสภาพธรรมแต่ละรูปที่กาย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่แขน ไม่ใช่ขา ในชีวิตประจำวันธรรมที่ยึดถือว่าเป็นกาย เป็นรูปธรรมที่กำลังปรากฏให้ยึด ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากโผฏฐัพรมณ์ ๓ รูป คือ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เมื่อสติเกิดขึ้นรู้เพียงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏที่กาย เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เป็นเพียงธาตุที่ปรากฏที่กาย ผู้เจริญกายคตสติก็จะไม่ยึดถือว่าอ่อนแข็งนี้ว่าเป็นแขน เป็นกระดูก เป็นส่วนของร่างกาย ไม่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ดังพระสูตรวุฏฐิสูตร ที่ท่านพระสารีบุตรเดินผ่านกระทบจีวรของภิกษุท่านหนึ่ง หากภิกษุท่านนี้เจริญกายคตสติแล้วก็คงไม่กล่าวหาท่านพระสารีบุตร
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
คุณสมบัติของผู้เจริญกายคตาสติ [วุฏฐิสูตร]
ขออนุโมทนาค่ะ...
สิ่งที่จิตรู้ ด้วยการคิดด้วยการปรุงแต่ง จึงเกิดเป็นรูปกาย เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตน เป็นเรื่องราว แต่สิ่งที่จิตรู้ ด้วยการไม่ปรุงแต่ง ก็จะมีเพียง สภาพธรรม สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว เท่านั้น ไม่เกินไปจากนี้ได้เลย เป็นการรู้โดยสภาพปรมัตถ์ ...แต่ที่มีการปรุงเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เสียงนั้นเสียงนี้ ฯลฯ เพราะมีการจำอารมณ์ของสัญญาเกิดแทรกคั่น ถ้าสติตามรู้ได้เร็วก็จะทันการรู้ของจิตซึ่งจะตัดการจำออกจึงจะเห็นสภาพปรมัตถ์
ขออนุโมทนาครับ
ไม่ต้องหวังให้สติเกิด ไม่มีตัวตนที่จะไปให้สติตามรู้ได้เร็ว เพราะสติก็เป็นอนัตตา เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ มีสภาพธรรมที่ปรากฏให้เริ่มเข้าใจได้ เพราะคิดจึงเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เสียงนั้นเสียงนี้ เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของจิตจึงปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เสียงนั้นเสียงนี้ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏให้มั่นคงจริงๆ จึงจะเป็นปัจจัยให้สติตามรู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยดีด้วยปัญญา..
ขออนุโมทนาค่ะ
เมื่อร่างกายที่ปราศจากลมหายใจแล้ว
ก็ไม่ต่างจากท่อนไม้ที่ถูกทิ้งไว้ในป่าจะหา
ประโยชน์อันใดไม่ได้นอกจากรอเวลาเน่าเปื่อยอย่างเดียว
ขออนุโมทนาค่ะ
เรียนพี่เมตตา ที่เคารพ
"ถ้า...สติตามรู้ได้เร็ว" ผมไม่ได้หมายถึงสำหรับปุถุชนทั่วไป ...แต่หมายถึงผู้ที่อบรมเจริญปัญญามาดีแล้ว ซึ่งท่านเหล่านั้นย่อมรู้ดีว่าสติเป็นอนัตตา และรู้ว่าการตามรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างเป็นปัจจุบัน ต้องเจริญอย่างไรจึงจะสมบูรณ์ ต้องกำหนดอย่างไรเพื่อเพิกบัญญัติ แยกรูปแยกนาม เพื่อให้สติปัฏฐานเกิดได้ในขณะที่ใช้ชีวิตประจำวัน
ขออนุโมทนาครับ
สวัสดีค่ะน้องรากไม้
ขอร่วมสนทนาด้วยค่ะ ทั้งน้องรากไม้กับพี่จะได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น.....ผู้ที่สติเกิดเป็นปกตินั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมเนืองๆ บ่อยๆ จนสามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และขณะที่คิดนึก ส่วนเรืองที่น้องรากไม้กล่าวว่า ถ้าสติตามรู้ได้เร็วก็จะทันการรู้ของจิตซึ่งจะตัดการจำออกจึงจะเห็นสภาพปรมัตถ์นั้น แท้จริงจิตไม่มีการตัดการจำออกค่ะ เพราะสัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวงอยู่แล้ว ทำกิจจำอารมณ์ค่ะ สัญญาจำอารมณ์ทุกอย่าง ขณะที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม สติเกิดขึ้นระลึกรู้ในลักษณษณะปรมัตถ์ ขณะนั้นสัญญาก็จำหมายในอารมณ์ปรมัตถ์นั้นค่ะ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคหรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรม ก็จะรู้ได้ว่า ไม่มีตัวตัวตนที่เจริญสติ ไม่มีตัวเราทำสติให้เกิด แต่สตินั่นเองเกิดขึ้น หรือ เจริญขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า สติก็เป็นอนัตตาเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ถ้าไม่อาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นปกติ บ่อยๆ เนืองๆ จนมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นไปตามลำดับแล้ว ย่อมไม่ได้เหตุได้ปัจจัยให้สติเกิดขึ้นหรือเจริญขึ้นได้ เพราะเหตุว่าที่ตั้งให้สติระลึกและปัญญารู้ตามความเป็นจริง คือ สภาพธรรมที่มีในขณะนี้นั่นเอง ซึ่งไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกายและทางใจ เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมพิจารณาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งให้สติและปัญญาเกิดขึ้น ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการละคลายความยึดถือในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ ครับ ...
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ