อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต มนาปทายีสูตร มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมือง เวสาลี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปสู่นิเวศน์แห่งอุคคคฤหบดีชาวเมืองเวสาลี ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาตบแต่งไว้ ครั้งนั้น อุคคคฤหบดีได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
ผู้ให้ของที่พอใจ ย่อมได้ของที่พอใจ ดังนี้ ก็ขาทนียาหารชื่อ สาลปุบผกะของข้าพระองค์เป็นที่พอใจ ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์รับขาทนียาหารของข้าพเจ้าเถิด
พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์รับแล้ว
ขอเชิญรับฟัง
มนาปทายีสูตร ให้ของที่พอใจ ย่อมได้ของที่พอใจ
บางท่านอาจจะคิดว่า ทรงแสดงสูตรนี้จะทำให้เกิดความติดในผลของการให้ แต่อย่าลืมว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์แสดงธรรมเพื่อเกื้อกูลบุคคลให้ขัดเกลายิ่งขึ้น สามารถที่จะสละได้แม้สิ่งที่พอใจ นี่เป็นประโยชน์ของการที่จะฟังธรรม และรับส่วนที่เป็นประโยชน์ของธรรมด้วยความเข้าใจพระพุทธประสงค์ว่า การที่ทรงแสดงสภาพธรรมตามควรแก่เหตุเป็นสภาพธรรมที่จริง ถ้าให้สิ่งที่พอใจ ผลคือได้สิ่งที่พอใจ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ทรงแสดงอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ให้ติด ให้รู้ว่าการสละสิ่งที่พอใจได้ เป็นสิ่งที่ควรจะกระทำ เพราะว่าเป็นการขัดเกลามัจฉริยะ ความติด ความหวงแหน ความที่ยังยินดีติดข้องในสิ่งที่น่าพอใจนั้นอยู่ ซึ่งสภาพธรรมใดเป็นเหตุ สภาพธรรมใดเป็นผล ก็ทรงแสดงตามสภาพความจริงของธรรมนั้นๆ แต่ว่าผู้ฟังต้องถือประโยชน์ คือ สามารถสละแม้สิ่งที่ประณีตที่น่าพอใจได้ ทำให้เพิ่มพูนกุศลของการสละยิ่งขึ้น เป็นการขัดเกลายิ่งขึ้น