๓. ปฐมญาณวัตถุสูตร ว่าด้วยญาณวัตถุ ๔๔
โดย บ้านธัมมะ  3 ก.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 36516

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 183

๓. ปฐมญาณวัตถุสูตร

ว่าด้วยญาณวัตถุ ๔๔


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 183

๓. ปฐมญาณวัตถุสูตร

ว่าด้วยญาณวัตถุ ๔๔

[๑๑๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงญาณวัตถุ ๔๔ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังซึ่งญาณวัตถุนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.

[๑๑๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๔๔ เป็นไฉน.

คือความรู้ในชราและมรณะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ ๑

ความรู้ในชาติ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชาติ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชาติ ๑


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 184

ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชาติ ๑

ความรู้ในภพ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ๑ ความรู้ในความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งภพ ๑

ความรู้ในอุปาทาน ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในความดับแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน ๑

ความรู้ในตัณหา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งตัณหา ๑

ความรู้ในเวทนา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในความดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งเวทนา ๑

ความรู้ในผัสสะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งผัสสะ ๑

ความรู้ในสฬายตนะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ ๑

ความรู้ในนามรูป ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งนามรูป ๑

ความรู้ในวิญญาณ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ๑

ความรู้ในสังขาร ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในความดับแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร ๑.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๔๔.

[๑๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน. ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเป็นเกลียว ความเสื่อมแห่ง


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 185

อายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่งอินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้ เราเรียกว่ามรณะ ชราและมรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่าชราและมรณะ เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิด เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ.

อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือ ความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ความตั้งใจไว้ชอบ ๑ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับชราและมรณะ.

[๑๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดซึ่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้ชราและมรณะ ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ได้รู้ความดับแห่งชราและมรณะ ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่งก็จักรู้ชราและมรณะ จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ จักรู้ความดับแห่งชราและมรณะ จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชรา


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 186

และมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น.

[๑๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ (๑) ๑ อันวยญาณ (๒) ๑ เหล่านี้ของพระอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคลผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง.

[๑๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภพเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหาเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสะเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารเป็นไฉน. สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑ จิตตสังขาร ๑ นี้เรียกว่าสังขาร เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งใจไว้ชอบ ๑. เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับสังขาร.

[๑๒๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ รู้ชัดเหตุ


(๑) มรรคญาณ.

(๒) ผลญาณ.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 187

เป็นแดนเกิดแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขารอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นย่อมนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้สังขาร ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ได้รู้ความดับแห่งสังขาร ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็จักรู้สังขาร จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร จักรู้ความดับแห่งสังขาร จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น.

[๑๒๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือ ธรรมญาณ ๑ อันวยญาณ ๑ เหล่านี้ ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของเสขะบ้าง ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคลผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ดังนี้.

จบปฐมญาณวัตถุสูตรที่ ๓


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 188

อรรถกถาปฐมญาณวัตถุสูตรที่ ๓

พึงทราบวินิจฉัยในปฐมญาณวัตถุสูตรที่ ๓ ต่อไป.

ข้อว่า "ตํ สุณาถ พวกเธอจงฟังญาณวัตถุนั้น" ได้แก่ พวกเธอจงฟังการแสดงญาณวัตถุนั้น.

ญาณนั่นเอง พึงทราบว่า ญาณวัตถุ ในคำนี้ว่า าณวตฺถูนิ นี้.

ในญาณ ๔ มี ชรามรณญาณ เป็นอาทิ ญาณที่ ๑ มี ๔ อย่างคือ สวนมยญาณ (ความรู้อันสำเร็จด้วยการฟัง) สัมมสนญาณ (ความรู้อันเกิดจากการพิจารณา) ปฏิเวธญาณ (ความรู้อันเกิดจากการรู้แจ้งแทงตลอด) ปัจจเวกขณญาณ (ความรู้อันเกิดจากการพิจารณา). ญาณที่ ๒ ก็เหมือนกัน. ส่วนญาณที่ ๓ เว้นสัมมสนญาณเสีย จึงมีเพียง ๓ อย่างเท่านั้น. ญาณที่ ๔ ก็เหมือนกัน เพราะว่า ในโลกุตรธรรม ย่อมไม่มีสัมมสนญาณ.

แม้ในคำว่า "ชาติยา าณํ ความรู้ในชาติ" เป็นต้น ก็มีนัยนี้แหละ.

ข้อว่า "อิมินา ธมฺเมน ด้วยธรรมนี้" คือ ด้วยสัจธรรม ๔ นี้ หรือด้วยมรรคญาณธรรม.

ในบทว่า ทิฏฺเน เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า ทิฏฺเน ได้แก่ อันตนเห็นแล้วด้วยญาณจักษุ (ดวงตาคือปัญญา).

บทว่า วิทิเตน ได้แก่ รู้แล้วด้วยปัญญา.

บทว่า "อกาลิเกน ให้ผลไม่มีกำหนดกาล" ได้แก่ ให้ผลในลำดับแห่งการรู้แจ้งแทงตลอดไม่ละเลยกาลไรๆ เลย.

บทว่า "ปตฺเตน ถึงแล้ว" แปลว่า บรรลุแล้ว.

บทว่า "ปริโยคาฬฺเหน หยั่งรู้แล้ว" คือ อันตนหยั่งรู้แล้ว ได้แก่เข้าถึงด้วยปัญญา.

บทว่า "อตีตานาคเต นยํ เนติ นำนัยในอดีตและอนาคตไป" ได้แก่ นำนัยในอดีตและอนาคตไปโดยนัยมีอาทิว่า "สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง."


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 189

ก็ในคำนี้ พระสารีบุตรเถระอาจนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยสัจธรรม ๔ บ้าง ด้วยมรรคญาณธรรมบ้าง.

ก็เมื่ออริยสัจ ๔ ก็ดี มรรคญาณก็ดี อันตนแทงตลอดแล้ว หลังจากนั้น ปัจจเวกขณญาณย่อมมี.

พึงทราบอธิบายว่า นำนัยไปด้วยปัจจเวกขณญาณนั้น.

บทว่า อพฺภญฺิํสุ แปลว่า ได้รู้แล้ว. คือ ทราบแล้ว.

ข้อว่า "เสยฺยถาปิหํ เอตรหิ เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้" คือ เหมือนอย่างเรารู้ด้วยอำนาจอริยสัจ ๔ ในบัดนี้.

บทว่า อนฺวเย าณํ ได้แก่ ความรู้ในธรรมอันเหมาะสม คือ ความรู้ในอันติดตามญาณในธรรม.

คำว่า อนวยญาณ นี้ เป็นชื่อของปัจจเวกขณญาณ.

ข้อว่า "ธมฺเม าณํ ได้แก่ มรรคญาณ."

เสขภูมิของพระขีณาสพ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในพระสูตรนี้ ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาปฐมญาณวัตถุสูตรที่ ๓