[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 324
๓. วัมมิกสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 18]
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 324
๓. วัมมิกสูตร
[๒๘๙] ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น ท่านพระกุมารกัสสปะพักอยู่ที่ป่าอันธวัน. ครั้งนั้นเทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงามยิ่ง เมื่อราตรีล่วงปฐมยามแล้ว ยังป่าอันธวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะ ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะท่านพระกุมารกัสสปะว่า ดูก่อนภิกษุ จอมปลวกนี้พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราไปขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นลิ่มสลัก จึงเรียนว่า ลิ่มสลักขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกลิ่มสลักขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นอึ่ง จึงเรียนว่าอึ่งขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกอึ่งขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นทาง ๒ แพร่ง จึงเรียนว่าทาง ๒ แพร่งขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไปได้เห็นหม้อกรองน้ำด่าง จึงเรียนว่า หม้อกรองน้ำด่างขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นเต่า จึงเรียนว่า เต่าขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเต่าขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดดูไปได้เห็นเขียงหั่นเนื้อ จึงเรียนว่า เขียงหั่นเนื้อ ขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเขียงหั่นเนื้อขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นชิ้นเนื้อ จึงเรียนว่าชิ้นเนื้อขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 325
ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกชิ้นเนื้อขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นนาค จึงเรียนว่า นาคขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า นาคจงอยู่เจ้าอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทําความนอบน้อมต่อนาค. ดูก่อนภิกษุ ท่านพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามปัญหา ๑๕ ข้อเหล่านี้แล ท่านพึงทรงจำปัญหาเหล่านั้น ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์. ดูก่อนภิกษุ ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ ที่จะยังจิตให้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ นอกจากพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต หรือเพราะฟังจากสํานักนี้. เทวดานั้นครั้นกล่าวคํานี้แล้ว ได้หายไปในที่นั้นแล.
ทูลถามปัญหา ๑๕ ข้อ
[๒๙๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสปะ เมื่อราตรีนั้นล่วงไปแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อคืนนี้เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงามยิ่ง ราตรีล่วงปฐมยามไปแล้ว ยังป่าอันธวันทั้งสิ้นให้สว่าง แล้วเข้าไปหาข้าพระองค์ ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ดูก่อนภิกษุ จอมปลวกนี้พ่นควัน ในเวลากลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นลิ่มสลัก จึงเรียนว่า ลิ่มสลักขอรับ. พราหมณ์ กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกลิ่มสลักขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นอึ่ง จึงเรียนว่า อึ่งขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกอึ่งขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นทาง ๒ แพร่ง จึงเรียนว่า ทาง ๒ แพร่งขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นหม้อกรองน้ำด่าง จึงเรียนว่า หม้อกรองน้ำด่างขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 326
เจ้าจงยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นเต่า จึงเรียนว่า เต่าขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเต่าขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นเขียงหั่นเนื้อ จึงเรียนว่า เขียงหั่นเนื้อขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเขียงหั่นเนื้อขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นชิ้นเนื้อจึงเรียนว่า ชิ้นเนื้อขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกชิ้นเนื้อขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นนาคจึงเรียนว่า นาคขอรับ.พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า นาคจงอยู่เถิด เจ้าจงอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทําความนอบน้อมต่อนาค. ดูก่อนภิกษุ ท่านพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถาม ปัญหา ๑๕ ข้อเหล่านี้แล ท่านพึงจําทรงปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์. ดูก่อนภิกษุ ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ ที่ยังจิตให้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ นอกจากพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต หรือเพราะฟังจากสํานักนี้. เทวดานั้น ครั้นกล่าวคํานี้แล้วได้หายไปในที่นั้นแล.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลชื่อว่าจอมปลวก อย่างไรชื่อว่าพ่นควันในกลางคืน อย่างไรชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน อะไรชื่อว่าพราหมณ์ อะไรชื่อว่าสุเมธะ อะไรชื่อว่าศาสตรา อย่างไรชื่อว่าการขุด อะไรชื่อว่าลิ่มสลัก อะไรชื่อว่าอึ่ง อะไรชื่อว่าทาง ๒ แพร่ง อะไรชื่อว่าหม้อกรองน้ำด่าง อะไรชื่อว่าเต่า อะไรชื่อว่าเขียงหั่นเนื้อ อะไรชื่อว่าชิ้นเนื้อ อะไรชื่อว่านาค ดังนี้.
ทรงพยากรณ์ปัญหา ๑๕ ข้อ
[๒๙๑] ผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดูก่อนภิกษุ คําว่าจอมปลวกนั่นเป็นชื่อของกายนี้ อันประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญด้วยข้าวสุก และขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องอบรม ต้องนวด
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 327
ฟั้น มีอันทําลายและกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา. ปัญหาข้อว่าอย่างไรชื่อว่าพ่นควันในกลางคืนนั้น ดูก่อนภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลขมักเขม้นการงานในกลางวัน แล้วตรึกถึง ตรองถึงในกลางคืน นี้ชื่อว่าพ่นควันในกลางคืน. ปัญหาข้อว่าอย่างไรชื่อว่าลุกโพลงในกลางวันนั้น ดูก่อนภิกษุได้แก่การที่บุคคลตรึกถึง ตรองถึง (การงาน) ในกลางคืน แล้วย่อมประกอบการงานในกลางวันด้วยกาย ด้วยวาจา นี้ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน. ดูก่อนภิกษุ คําว่าพราหมณ์นั้น เป็นชื่อของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. คําว่าสุเมธะนั้น เป็นชื่อของเสขภิกษุ. คําว่าศาสตรานั้นเป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ. คําว่าจงขุดนั้นเป็นชื่อของการปรารภความเพียร. คําว่าลิ่มสลักนั้น เป็นชื่อของอวิชชา. คํานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาสตรา ยกลิ่มสลักขึ้น คือจงละอวิชชาเสีย จงขุดมันขึ้นเสีย. คําว่าอึ่งนั้นเป็นชื่อแห่งความคับแค้น ด้วยอํานาจความโกรธ. คํานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกอึ่งขึ้นเสีย คือจงละความคับแค้นด้วยอํานาจความโกรธเสีย จงขุดมันเสีย. คําว่าทาง ๒ แพร่งนั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา. คํานั้นมีอธิบายดังนี้ว่าพ่อสุเมธะเจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาสตราก่นทาง ๒ แพร่งเสีย คือจงละวิจิกิจฉาเสียจงขุดมันเสีย. คําว่าหม้อกรองน้ำด่างนั้น เป็นชื่อของนิวรณ์ ๕ คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์. คํานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นเสีย คือจงละนิวรณ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย. คําว่าเต่านั้น เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์. คํานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะเจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกเต่าขึ้นเสียคือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ เสียจงขุดขึ้นเสีย. คําว่าเขียงหั่นเนื้อนั้น เป็นชื่อของกามคุณ ๕ คือ รูปอันจะพึงรู้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 328
แจ้งด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกําหนัด เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยโสต ... กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ... รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกําหนัด. คํานั้น มีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกเขียงหั่นเนื้อเสีย คือ จงละกามคุณ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย. คําว่าชิ้นเนื้อนั้น เป็นชื่อของนันทิราคะ. คํานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกชิ้นเนื้อขึ้นเสีย คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นเสีย. คําว่านาคนั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้ขีณาสพ. คํานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า นาคจงหยุดอยู่เถิด เจ้าอย่าเบียดเบียนนาค จงทําความนอบน้อมต่อนาคดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระกุมารกัสสปะมีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้แล.
จบ วัมมิกสูตร ที่ ๓
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 329
อรรถกถาวัมมิกสูตร
วัมมิกสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในวัมมิกสูตรนั้น คําว่า อายสฺมา นี้เป็นคํากล่าวแสดงถึงความน่ารัก. คําว่า กุมารกสฺสโป เป็นชื่อของท่าน. แต่เพราะท่านบวชในเวลายังเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จงเรียกกัสสปมา จงให้ผลไม้ หรือของเคี้ยวนี้แก่กัสสป เพราะภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า กัสสป องค์ไหนจึงขนานนามท่านอย่างนี้ว่า กุมารกัสสป ตั้งแต่นั้นมา ในเวลาที่ท่านแก่เฒ่าก็ยังเรียกว่า กุมารกัสสปอยู่นั้นเอง. อีกอย่างหนึ่ง คนทั้งหลายจําหมายท่านว่ากุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา. จะกล่าวให้แจ่มแจ้งตั้งแต่บุพพประโยคของท่าน ดังต่อไปนี้.
ดังได้สดับมา พระเถระเป็นบุตรเศรษฐี ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ต่อมาวันหนึ่ง พระเถระเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาสาวกของพระองค์รูปหนึ่ง ผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรไว้ในฐานันดร ถวายทาน ๗ วันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทําความปรารถนาว่า ข้าแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์ ก็พึงเป็นสาวกผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรเหมือนพระเถระรูปนี้ ของพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ดังนี้แล้ว กระทําบุญทั้งหลายบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป ไม่อาจทําคุณวิเศษให้บังเกิดได้. ได้ยินว่า ครั้งนั้นเมื่อพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วเสื่อมลง ภิกษุ ๕ รูปผูกบันไดขึ้นภูเขา กระทําสมณธรรม. พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตต์วันที่ ๓. พระอนุเถระเป็นพระอนาคามีวันที่ ๔. ฝ่ายพระเถระอีก ๓ รูปไม่อาจทําคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ไปบังเกิดในเทวโลก. เมื่อเทพเหล่านั้นเสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ตลอดพุทธันดร
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 330
หนึ่ง องค์หนึ่งก็ไปเกิดในราชตระกูล กรุงตักกสิลา เป็นพระราชาพระนามว่า ปุกกุสาติ บวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า มาสู่กรุงราชคฤห์ ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โรงช่างหม้อ บรรลุอนาคามิผล. องค์หนึ่ง บังเกิดในเรือนสกุลใกล้ท่าเรือแห่งสุปารกะแห่งหนึ่ง ขึ้นเรือ เรืออัปปาง นุ่งท่อนไม้แทนผ้า ถึงลาภสมบัติเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าเป็นพระอรหันต์ ถูกเทวดาผู้หวังดีตักเตือนว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ดอก ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดาเถิด ได้กระทําเหมือนอย่างนั้น บรรลุอรหัตตผล. องค์หนึ่งเกิดในท้องของหญิงผู้มีสกุลคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. นางได้อ้อนวอนมารดาบิดา เมื่อไม่ได้บรรพชาก็แต่งงาน ไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ อ้อนวอนสามี สามีอนุญาตก็บวชในสํานักภิกษุณี. ภิกษุณีทั้งหลายเห็นนางตั้งครรภ์จึงถามพระเทวทัต. พระเทวทัตตอบว่า นางไม่เป็นสมณะแล้ว. เหล่าภิกษุณีจึงไปทูลถามพระทศพล. พระศาสดาโปรดให้พระอุบาลีรับเรื่องไว้พิจารณา พระเถระให้เชิญสกุลชาวพระนครสาวัตถีและนางวิสาขาอุบาสิกา ให้ช่วยกันชําระ (ได้ข้อเท็จจริงแล้ว) จึงกล่าวว่า นางมีครรภ์มาก่อน บรรพชาจึงไม่เสีย. พระศาสดาประทานสาธุการแก่พระเถระว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ชอบแล้ว. ภิกษุณีนั้นคลอดบุตรมีประพิมประพายดังแท่งทอง. พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรับเด็กนั้นมาชุบเลี้ยง. ประทานนามเด็กนั้นว่า กัสสป ต่อมาทรงเลี้ยงเจริญวัยแล้ว นําไปยังสํานักพระศาสดาให้บรรพชา. ดังนั้น คนทั้งหลายจึงหมายชื่อเด็กนั้นว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา แล.
บทว่า อนฺธวเน ได้แก่ ป่ามีชื่ออย่างนี้. เขาว่า ป่านั้น มีชื่ออย่างนี้ในครั้งพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ ปรากฏชื่อว่า อันธวัน นั่นแล. ในป่าอันธวันนั้นจะกระทําเรื่องราวให้แจ่มแจ้งดังต่อไปนี้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 331
จริงอยู่ สรีรธาตุของพระพุทธเจ้าผู้มีชนมายุน้อย ไม่เป็นแท่งเดียวกัน ย่อมกระจัดกระจายไปด้วยอานุภาพแห่งการอธิษฐาน. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงอธิษฐานว่า เราดํารงอยู่ได้ไม่ยั่งยืน เหล่าสัตว์เป็นจํานวนน้อยเห็นเรา ที่ไม่เห็นเราจํานวนมากกว่า สัตว์เหล่านั้นถือเอาธาตุของเราบูชาอยู่ในที่นั้น จักมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น คราวปรินิพพาน ขอสรีรธาตุของเราจงกระจัดกระจายไป. ส่วนพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืน พระสรีรธาตุตั้งอยู่เป็นแห่งเดียวกัน เหมือนแท่งทองคํา. พระสรีรธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระนามว่ากัสสปะ ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน. แต่นั้น มหาชนก็ประชุมปรึกษากันว่า เราไม่อาจจะแยกพระธาตุที่เป็นแท่งเดียวกันได้ พวกเราจะทําอย่างไร จึงตกลงกันว่า เราจักทําพระธาตุแท่งเดียวนั้นแลให้เป็นพระเจดีย์ จะมีขนาดเท่าไหร่. พวกหนึ่งบอกว่า เอา ๗ โยชน์ แต่ตกลงกันว่า นั่นใหญ่เกินไป ใครๆ ไม่อาจจะบํารุงได้ในอนาคตกาลเอา ๖ โยชน์ ๕ โยชน์ ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ ๒ โยชน์ ๑ โยชน์ปรึกษากันว่า จะใช้อิฐเช่นไร ตกลงกันว่า ภายนอกเป็นอิฐแท่งเดียวทําด้วยทองสีแดงมีค่า ๑๐๐,๐๐๐ ภายใน มีค่า ๕๐,๐๐๐ ฉาบด้วยหรดาล และมโนสิลาแทนดิน ชะโลมด้วยน้ำมันแทนน้ำ แยกมุขทั้ง ๔ ออกด้านละ ๔. พระราชาทรงรับมุขหนึ่ง ปฐวินธรกุมารราชบุตรรับมุขหนึ่ง เสนาบดีหัวหน้าอํามาตย์รับมุขหนึ่ง เศรษฐีหัวหน้าชาวชนบทรับมุขหนึ่ง. บรรดาชนเหล่านั้น เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ แม้พระราชาให้ขนทองมา ทรงเริ่มงานที่มุขที่พระองค์รับไว้ ทั้งอุปราชทั้งเสนาบดีก็เหมือนกัน. ส่วนงานที่มุขที่เศรษฐีรับไว้หย่อนไป. ครั้นนั้นอุบาสกคนหนึ่ง ชื่อยโสธร เป็นอริยสาวกชั้นอนาคามีทรงพระไตรปิฏก รู้ว่า เศรษฐีนั้นทํางานหย่อนไป จึงให้เทียมเกวียน ๕๐๐ เล่มไปในชนบทชักชวนคนทั้งหลายว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระชนม์ ๒๐,๐๐๐ ปี ปรินิพพานนานแล้ว พวกเราจักทํา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 332
รัตนเจดีย์โยชน์หนึ่งของพระองค์ ผู้ใดจะสามารถจะให้สิ่งใด จะเป็นทองหรือเงิน แก้ว ๗ ประการ หรดาล หรือมโนสิลา ก็ตามที ผู้นั้นจงให้สิ่งนั้น. ชนทั้งหลายได้ให้เงินและทองเป็นต้น ตามกําลังของตนๆ เมื่อไม่สามารถจะให้ ก็ให้น้ำมันและข้าวสารเป็นต้นเท่านั้น. อุบาสกส่งน้ำมันและข้าวสารเป็นต้นเพื่อเป็นอาหารประจําวัน แก่กรรมกรทั้งหลาย ที่เหลือจงใจจะให้ทองส่งไป ได้ป่าวร้องไปทั่วชมพูทวีปด้วยอาการอย่างนี้. งานที่พระเจดีย์เสร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พวกเขาส่งหนังสือไปจากเจดีย์สถานว่า การงานเสร็จแล้ว ขออาจารย์จงมาไหว้พระเจดีย์. แม้อาจารย์ก็ส่งหนังสือไปว่า เราชักชวนชมพูทวีปทั่วแล้วสิ่งใดที่มีอยู่ จงถือเอาสิ่งนั้นทําการงานให้สําเร็จ. หนังสือ ๒ ฉบับมาประจวบกันระหว่างทาง แต่หนังสือจากเจดีย์สถานมาถึงมือของอาจารย์ก่อนหนังสือของอาจารย์. อาจารย์นั้นอ่านหนังสือแล้วก็คิดว่า จักไหว้พระเจดีย์ ก็ออกไปตามลําพัง. ระหว่างทางโจร ๕๐๐ ก็ปรากฏขึ้นที่ดง. บรรดาโจรเหล่านั้นบางพวกเห็นอาจารย์นั้น คิดว่า คนผู้นี้รวบรวมเงินและทองจากชมพูทวีปทั้งสิ้น คนทั้งหลาย ผู้รักษาขุมทรัพย์คงมากันแล้ว จึงบอกแก่โจรที่เหลือแล้ว จับอาจารย์นั้น. อาจารย์ถามว่า พ่อเอย เหตุไรพวกเจ้าจึงจับเรา. พวกโจรตอบว่า ท่านรวบรวมเงินและทองทั้งหมดจากชมพูทวีป ท่านจงให้ทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ แก่พวกเราเถอะ. อาจารย์ถามว่า พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ปรินิพพานแล้ว พวกเรากําลังสร้างพระรัตนเจดีย์โยชน์หนึ่งสําหรับพระองค์ ก็ข้าชักชวนเขาเพื่อประโยชน์นั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตน ฉะนั้น จําส่งของที่เก็บไว้ๆ แล้วไปในที่นั้นแหละ ส่วนผ้านอกจากที่นุ่งมา ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นแม้แต่กากณึกหนึ่ง. โจรพวกหนึ่งกล่าวว่า ข้อนั้นจริงอย่างนั้น ก็จงปล่อยอาจารย์ไปเสีย. โจรพวกหนึ่งกล่าวว่า อาจารย์ผู้นี้ พระราชาก็บูชา อํามาตย์ก็บูชา เห็นบางคนในพวกเราที่ถนนพระนคร พึงบอกพระราชา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 333
และมหาอํามาตย์ของพระราชาเป็นต้น จะทําให้พวกเราถึงความย่อยยับได้. อุบาสกกล่าวว่า พ่อเอย ข้าจักไม่ทําอย่างนั้นแน่ ก็ข้อนั้นแล มีด้วยความกรุณาในโจรเหล่านั้น ไม่ใช่มีด้วยความรักในชีวิตของตน. เมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาโจรเหล่านั้นซึ่งกําลังทุ่มเถียงกันว่า ควรจับไว้ ควรปล่อยไป พวกโจรเหล่าที่มีความเห็นว่าควรจับ มีจํานวนมากกว่า ก็ฆ่าอาจารย์นั้นเสีย. ดวงตาของโจรเหล่านั้น ก็อันตรธานไปเหมือนประทีปด้ามที่ดับ เพราะผิดในพระอริยสาวกผู้มีพลังคุณ. โจรเหล่านั้นรําพันว่า ดวงตาอยู่ไหน ดวงตาอยู่ไหน บางพวกญาติก็นํากลับบ้าน บางพวกไม่มีญาติ ก็กลายเป็นเป็นคนอนาถา เพราะฉะนั้นจึงอาศัยอยู่ที่บรรณศาลาที่โคนไม้ในดงนั้นเอง. เหล่ามนุษย์ที่มาในดง ก็ให้ข้าวสารบ้าง ห่อข้าวบ้าง เสบียงบ้าง แก่โจรเหล่านั้นด้วยความความกรุณา. เหล่ามนุษย์ที่ไปแสวงหาไม้และใบไม้เป็นต้นกลับมากันแล้ว เมื่อถูกถามว่าพวกท่านไปไหนกัน ตอบว่าพวกเราไปป่าคนตาบอด. ป่านั้นปรากฏชื่อว่าอันธวัน ครั้งพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ด้วยประการฉะนี้.
ก็ป่านั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ได้กลายเป็นดง ในชนบทที่ร้างไป. แต่ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ได้กลายเป็นเรือนสําหรับทําความเพียร เป็นสถานที่อยู่ของเหล่ากุลบุตรผู้ต้องการความสงัด อยู่หลังพระเชตวันไม่ไกลกรุงสาวัตถี. สมัยนั้นท่านกุมารกัสสปก็บําเพ็ญเสกขปฎิปทาอยู่ที่อันธวันนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อนฺธวเน วิหรติ.
บทว่า อฺตรา เทวตา ความว่า เทวดาองค์หนึ่งไม่ปรากฏนามและโคตร. แม้ท้าวสักกเทวราชที่รู้กันชัดแจ้ง ท่านก็ยังเรียกว่า อฺตโร ในบาลีนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบหรือไม่ว่า พระองค์ได้ตรัส ตัณหาสังขยวิมุตติ โดยสังเขปแก่ยักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่องค์หนึ่ง. แม้คําว่า เทวตา นี้เป็นคําเรียกทั่วไป แม้สําหรับเทวดาทั้งหลาย. แต่ในที่
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 334
นี้ท่านประสงค์เอาเทพในคําว่า เทวตา นั้น. อภิกกันตศัพท์ ในคําว่า อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา ปรากฏในอรรถทั้งหลายมี สิ้นไป งาม สวย และความยินดียิ่งยวดเป็นต้น. ในอรรถเหล่านั้น อภิกกันตศัพท์ปรากฎในอรรถว่าสิ้นไปได้ในคําเป็นต้นอย่างนี้ว่า ราตรีสิ้นไปแล้ว ปฐมยามล่วงไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งคอยนานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงปาฎิโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า. ปรากฏในอรรถว่า งาม ได้ในคําเป็นต้นอย่างนี้ว่า ผู้นี้งามกว่า ประณีตกว่า บุคคล ๔ จําพวกเหล่านี้. ปรากฏในอรรถว่า สวยได้ในคําเป็นต้นอย่างนี้ว่า
ใครรุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ ยศ มีวรรณสวยงาม ทําทิศทั้งปวงให้สว่างมาไหว้เท้าทั้ง ๒ ของเรา.
ปรากฏในอรรถว่า ยินดีอย่างยิ่งยวด ได้ในคําเป็นต้นอย่างนี้ว่า พระโคดมผู้เจริญน่ายินดีจริงๆ. แต่ในที่นี้ อภิกกันตศัพท์ปรากฎในอรรถว่า สิ้นไป. เพราะเหตุนั้น บทว่า อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา ท่านจึงอธิบายว่า เมื่อราตรีสิ้นไปแล้ว. ในข้อนั้นพึงทราบว่า เทพบุตรนี้มาในระหว่างมัชฌิมยาม.
อภิกกันตศัพท์ ในบทว่า อภิกฺกนฺตวณฺณา นี้ปรากฎในอรรถว่า สวย ส่วนวัณณศัพท์ปรากฏในอรรถมีอาทิว่าผิว น่าชมเชย พวกตระกูล เหตุ ทรวดทรง ประมาณและรูปายตนะ. ในอรรถเหล่านั้น อภิกกัตนศัพท์ปรากฎในอรรถว่า ผิว ได้ในคําเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์มีวรรณดังทองคํา. ปรากฏในอรรถว่า น่าชมเชย ได้ในคําเป็นต้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนคฤหบดี ในกาลไหนวรรณะของพระสมณโคดมอันท่านควรชมเชย. ปรากฏในอรรถว่า พวกตระกูล ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ตระกูล ๔ เหล่านี้. ปรากฏในอรรถว่า เหตุ ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้เพราะเหตุอะไรหนอ ท่านจึงกล่าวว่าขโมยกลิ่น. ปรากฎในอรรถว่า ทรวดทรง ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า นิรมิตทรวดทรงพญาช้างใหญ่. ปรากฏในอรรถ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 335
ว่าประมาณ ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า บาตร ๓ ขนาด. ปรากฏในรูปายตนะ ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า รูปายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ และโผฏฐัพพายตนะ. อภิกกันตศัพท์นั้น พึงเห็นว่า ลงในอรรถว่า ผิวในที่นี้. ด้วยเหตุนั้น บทว่า อภิกฺกนฺตวณฺณา ท่านอธิบายไว้ว่า มีผิวสวย มีผิวน่าปรารถนา น่าชอบใจ. จริงอยู่ เทวดาทั้งหลาย เมื่อมาสู่มนุษยโลกละผิวอย่างปกติ ฤทธิ์ปกติ ทําอัตภาพให้หยาบ เนรมิตผิวเกินปกติ ฤทธิ์เกินปกติ มาด้วยกายที่ปรุงแต่งแล้ว เหมือนมนุษย์ไปสู่ที่ชุมนุมฟ้อนรําเป็นต้น. เทพบุตรแม้นี้ ก็มาโดยอาการอย่างนั่นนั้นแล. เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อภิกฺกนฺตวณฺณา.
เกวลศัพท์ ในคําว่า เกวลกปฺปํ นี้ มีอรรถเป็นอเนก เช่น ไม่มีส่วนเหลือ โดยมาก ไม่ผสม ไม่เกิน แน่นหนา ไม่ประกอบ เป็นต้น. จริงอย่างนั้น เกวลศัพท์นั้น มีอรรถว่าไม่เหลือ ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า พรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยไม่เหลือ. มีอรรถว่า โดยมาก ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า โดยมาก ชาวอังคะ และมคธ ถือของเคี้ยว ของกินเป็นอันมาก เข้าไปเฝ้า. มีอรรถว่า ไม่ผสม ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า กองทุกข์ล้วนๆ ย่อมเกิดขึ้น. มีอรรถว่า ไม่เกิน ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า มีศรัทธาเพียงอย่างเดียวแน่แท้ ท่านผู้นี้. มีอรรถว่า แน่นหนา ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า สัทธิวิหาริกของท่านพระอนุรุทธ ชื่อว่า พาหิกะ ตั้งอยู่ในสังฆเภทตลอดวันแน่แท้. มีอรรถว่า ไม่ประกอบ ได้ในคํามีอาทิว่า ผู้อยู่ อยู่จบพรหมจรรย์เสร็จแล้ว ท่านเรียกว่าบุรุษสูงสุด. แต่ในที่นี้ท่านประสงค์เอาว่า มีอรรถว่า ไม่เหลือ. ส่วน กัปปะศัพท์นี้ มีอรรถเป็นอเนก เช่น เชื่ออย่างยิ่ง-โวหาร-กาล-บัญญัติ-ตัด-วิ-กัปป-เลส-โดยรอบ. จริงอย่างนั้น กัปปศัพท์นั้น มีอรรถว่า น่าเชื่ออย่างยิ่ง ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า คํานี้ของท่านพระโคดมผู้เป็นเสมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ น่าเชื่อจริง. มีอรรถว่าโวหารได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่าดูก่อนภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 336
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ฉันผลไม้ โดยสมณโวหาร ๕ อย่าง. มีอรรถว่า กาละ ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า ได้ยินว่าด้วยเหตุที่เราอยู่ตลอดกาลเป็นนิจ. มีอรรถว่า บัญญัติ ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า ท่านบัญญัติดังนี้. มีอรรถว่า ตัด ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ แต่งตัว ตัดผม และหนวด. มีอรรถว่า วิกัปป ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า วิกัปป ๒ องคุลีควร. มีอรรถเลิศ ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า มีเลิศเพึ่อจะนอน. มีอรรถว่า โดยรอบ ได้ในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า ทําให้สว่างโดยรอบพระเชตวัน. แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอากัปปศัพท์นั้นว่า มีอรรถะว่าโดยรอบ. เพราะฉะนั้น ในคําว่า เกวลกปฺปํ อนฺธวนํ นี้ พึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า โดยรอบอันธวัน ไม่มีส่วนเหลือ. บทว่า โอภาเสตฺวา ความว่าแผ่ไปด้วยรัศมีที่เกิดขึ้นจากสรีระอันประดับด้วยผ้าทําให้มีโอภาสเป็นอันเดียวกันเหมือนดวงจันทร์และดวงอาทิตย์. บทว่า เอกมนฺตํ อฏฺาสิ ได้แก่ ยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง คือในโอกาสหนึ่ง. บทว่า เอตทโวจ ได้แก่ ตรัสกะภิกษุนั่นว่า ภิกษุ ภิกษุ ดังนี้เป็นต้น.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร เทวดานี้ไม่ไหว้ กล่าวโดยสมณโวหารอย่างเดียว.
ตอบว่า โดยการร้องเรียกด้วยสมณสัญญา. ได้ยินว่า เทพบุตรได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ผู้นี้ อยู่ในระหว่างกามาวจรภูมิ ส่วนเราเป็นพรหมจารี ตั้งแต่กาลนั้นในเวลานั้น. แม้สมณสัญญาของเทพบุตรนั้น ยังปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้นเทพบุตรนั้นจึงไม่ไหว้ กล่าวโดยสมณโวหารอย่างเดียว. ถามว่า ได้ยินว่าเทพบุตรนั้น เป็นบุรพสหายของพระเถระ ตั้งแต่ครั้งไหน. ตอบว่า ตั้งแต่กาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสปะ. จริงอยู่ บรรดาสหายทั้ง ๕ ที่มาในครั้งก่อน สหายนั้นใด ที่ท่านกล่าวว่า พระอนุเถระ ได้เป็นพระอนาคามี ในวันที่ ๔ สหายนั้นก็คือผู้นี้. ได้ยินว่า ครั้งนั้น บรรดาพระเถระเหล่านั้นอภิญญา กับพระอรหัตต์นั้นแลมาถึงแก่สังฆเถระ. พระสังฆเถระนั้นคิดว่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 337
กิจของเราถึงที่สุดแล้ว จึงเหาะสู่นภากาศ บ้วนปากที่สระอโนดาต รับบิณฑบาตจากอุตตรกุรุทวีป กลับมาแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุ จงฉันบิณฑบาตนี้ อย่าประมาท กระทําสมณธรรม. เหล่าภิกษุนอกนี้กล่าวว่า ผู้มีอายุ พวกเราไม่มีกติกาอย่างนี้ว่า ผู้ใดบังเกิดคุณวิเศษก่อนก็นําบิณฑบาตมา พวกที่เหลือ ฉันบิณฑบาตที่ผู้นั้นนํามา กระทําสมณธรรม พวกท่านบรรลุที่สุดกิจด้วยอุปนิสสัยของตน ถ้าว่าพวกเราจักมีอุปนิสสัยก็จักบรรลุที่สุดกิจ นั่นเป็นความชักช้าของพวกเราเอง พวกท่านจงไปเถิด. สังฆเถระนั้นไปตามความผาสุก ปรินิพพานเมื่อสิ้นอายุ. วันรุ่งขึ้น พระอนุเถระกระทําให้แจ้งพระอนาคามิผล อภิญญาทั้งหลายก็มาถึงท่าน. แม้ท่านก็นําบิณฑบาตมาเหมือนอย่างนั้นเหมือนกัน ถูกภิกษุเหล่านั้นปฏิเสธ ก็ไปตามความผาสุก เมื่อสิ้นอายุก็บังเกิดในชั้นสุทธาวาส. พระอนุเถระนั้นครั้นดํารงอยู่ในชั้นสุทธาวาสแล้ว ตรวจดูสหายเหล่านั้น ก็เห็นว่าสหายผู้หนึ่งปรินิพพานในครั้งนั้นแล ผู้หนึ่งบรรลุอริยภูมิในสํานักของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยไม่นาน ผู้หนึ่งอาศัยลาภสักการะเกิดความคิดขึ้นว่า เราเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ท่าเรือชื่อสุปปารกะนั่นแล แล้วเข้าไปหาเขา สั่งเขาไปด้วยกล่าวว่า ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ยังปฏิบัติไม่ถึงพระอรหัตตมรรค จงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าฟังธรรมเสีย. แม้สหายผู้นั้นทูลขอโอวาทกะพระผู้มีพระภาคเจ้าในละแวกบ้าน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทโดยสังเขปว่า พาหิยะ เพราะฉะนั้นแล เธอพึงศึกษาในสิ่งที่ท่านเห็นแล้ว จงเป็นสักแต่ว่าเห็นก็บรรลุอริยภูมิ. สหายผู้หนึ่งนอกจากนั้นมีอยู่ เขาตรวจดูว่า อยู่ที่ไหน ก็เห็นว่ากําลังบําเพ็ญเสกขปฏิปทาอยู่ในอันธวัน จึงคิดว่า เราจักไปยังสํานักของสหาย แต่เมื่อไป ไม่ไปมือเปล่า ควรจะถือเครื่องบรรณาการบางอย่างไปด้วย แต่สหายของเราไม่มีอามิสอยู่บนยอดเขา แต่สหายนั้นจักไม่ฉันแม้บิณฑบาต ที่เรายืนอยู่บนอากาศถวาย ได้กระทําสมณธรรม บัดนี้ท่านจักรับอามิสบรรณาการหรือจําเรา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 338
จักถือธรรมบรรณาการไป แล้วดํารงในพรหมโลกนั่นแล จําแนกปัญหา ๑๕ ข้อ เหมือนร้อยรัตนวลีพวงแก้วถือธรรมบรรณาการนั้นมา ยืนอยู่ในที่ไม่ไกลสหาย ไม่อภิวาทพระเถระนั้นโดยกล่าวด้วยสมณสัญญาเรียกว่า ภิกษุ ภิกษุ จึงกล่าวว่า อยํ วมฺมิโก เป็นต้น. ในคํานั้นพึงทราบคําที่ท่านกล่าวซ้ำว่า ภิกษุ ภิกษุ โดยเรียกเร็วๆ. หน้าผากย่อมไม่งามด้วยการเจิมจุดเดียวเท่านั้น ต่อเมื่อเจิมจุดอื่นๆ ล้อมจุดนั้น จึงจะงามเหมือนประดับด้วยดอกไม้ที่บานฉันใด ถ้อยคําจะไม่งามด้วยบทๆ เดียวเท่านั้น ต่อประกอบด้วยบทแวดล้อมจึงจะงามเหมือนตกแต่งด้วยดอกไม้ที่บานฉะนั้น เพราะฉะนั้น เทพบุตรผู้นั้น กระทําถ้อยคําโดยบทแวดล้อมนั้นกระทําให้เหมือนตกแต่งดอกไม้ที่บาน จึงกล่าวอย่างนี้.
ขึ้นชื่อว่า จอมปลวก ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าไม่มี แต่เทพบุตรเหมือนจะแสดงจอมปลวกที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยอํานาจเทศนาวิธี จึงกล่าวว่า อยํ ในบทว่า อยํ วมฺมิโก. บทว่า ลงฺคิํ ความว่า ถือศาสตราขุดพบกลอนเหล็ก. บทว่า อุกฺขิป ลงฺคึ อภิกฺขน สุเมธ ได้แก่ พ่อบัณฑิต ชื่อว่า กลอนเหล็กกลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เมื่อยกกลอนเหล็กขึ้นขุดต่อ พึงเห็นความในบททั้งปวงอย่างที่กล่าวมานี้. บทว่า อุทฺธูมายิกํ ได้แก่ อึ่ง. บทว่า ปงฺกวารํ ได้แก่ หม้อกรองน้ำด่าง. บทว่า กุมฺมํ ได้แก่ เต่า. บทว่า อสิสูนํ ได้แก่เขียงหั่นเนื้อ. บทว่า มํ สเปสิํ ได้แก่ ชิ้นเนื้อสดขนาดลูกหินบด. บทว่า นาคํ ได้แก่ ได้เห็นพญานาคแวดล้อมด้วยดอกจันทร์ ๓ ดอก มีพังพานใหญ่เช่นกับกําดอกมะลิ. บทว่า มา นาคํ ฆฏฺเฏสิ ได้แก่ อย่าใช้ปลายไม้ ปลายเถาวัลย์ หรือโปรยฝุ่นลงไปกระทบกระทั่งนาค. บทว่า นโม กโรหิ นาคสฺส ความว่า จงหลีกไปเหนือลม นุ่งผ้าสะอาดกระทําการนอบน้อมพญานาค ขึ้นชื่อว่า ทรัพย์ที่พญานาคปกครอง กิน ๗ ชั่วตระกูลก็ไม่หมดพญานาคจักให้ทรัพย์ที่ตนปกครองแก่เธอ เพราะฉะนั้น เธอจงกระทําความ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 339
นอบน้อมแก่พญานาค. บทว่า อิโต วา ปน สุตฺวา ความว่า หมดความสงสัยในกองทุกข์จากสํานักเรานี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า หมดความสงสัยในศาสนาอย่างใด ในที่นี้หาเป็นอย่างนั้นไม่ แต่ในที่นี้หมดความสงสัยในเพราะเทพบุตร เพราะฉะนั้นในข้อนี้ จึงมีใจความดังนี้ว่า บทว่า อิโต วา ปน ได้แก่ ก็หรือว่า เพราะฟังจากสํานักของเรา.
บทว่า จาตุมฺมหาภูมิกสฺส ได้แก่ สําเร็จด้วยมหาภูตทั้ง ๔. บทว่า กายสฺส อธิวจนํ แปลว่า เป็นชื่อของสรีระ. เหมือนอย่างว่า กายภายนอกท่านเรียกว่า วัมมิกะ เพราะเหตุ ๔ อย่าง คือ จอมปลวกย่อมคาย ๑ ผู้คาย ๑ ผู้คายร่างที่ประชุมธาตุสี่ ๑ ผู้คายความสัมพันธ์ด้วยเสน่หา ๑ จริงอยู่สภาพนั้นย่อมคายสัตว์เล็กๆ มีประการต่างๆ เช่นงู พังพอน หนู งูเหลือมเป็นต้น เพราะฉะนั้น กายนั้น ชื่อว่า วัมมิกะ กายอันตัวปลวกคายแล้วเหตุนั้นจึงชื่อว่า วัมมิกะ กายอันตัวปลวกก่อขึ้นด้วยผงฝุ่น ที่ตัวคายยกขึ้นด้วยจะงอยปากประมาณเพียงสะเอวบ้าง ชั่วบุรุษบ้าง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วัมมิกะ กายเมื่อฝนตก ๗ สัปดาห์ อันตัวปลวกเกลี่ย เพราะเนื่องด้วยยางน้ำลายที่คายออกแม้ในฤดูแล้งมันก็คายเอาฝุ่นจากที่นั้น บีบที่นั้นให้เป็นกอง ยางเหนียวก็ออกแล้วก็ติดกันด้วยยางเหนียวที่คาย เหตุนั้นจึงชื่อว่า วัมมิกะ ฉันใดนั้นแล แม้กายนี้ก็ฉันนั้น ชื่อว่า วัมมิกะ เพราะคายของไม่สะอาด ของมีโทษ และมลทินมีประการต่างๆ โดยนัยเป็นต้นว่า ขี้ตาออกจากลูกตา เป็นต้น และชื่อว่า วัมมิกะ เพราะอันพระอริยเจ้าคายแล้ว เหตุพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธะและพระขีณาสพ ทิ้งอัตภาพไป เพราะหมดความเยื่อใยในอัตตภาพนี้ ชื่อว่า วัมมิกะ เพราะคายหมดทั้งร่างที่ประชุมธาตุ ๔ เหตุที่พระอริยเจ้าคายร่างทั้งหมดที่กระดูก ๓๐๐ ท่อน ยกขึ้นรัดด้วยเอ็น ฉาบด้วยเนื้อ ห่อด้วยหนังสดย้อมผิว ลวงสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่า วัมมิกะ เพราะผูกด้วยเสน่หา ที่คาย
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 340
เสียแล้ว เหตุกายนี้ผูกด้วยใยยางคือตัณหา ที่พระอริยทั้งหลายคายแล้ว เพราะตัณหาก่อให้เกิดตามพระบาลีอย่างนี้ว่า ตัณหาทําคนให้เกิด จิตของคนนั้น ย่อมแล่นไป. อนึ่ง สัตว์เล็กๆ มีประการต่างๆ ภายในจอมปลวกย่อมเกิด ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ. นอนป่วย ย่อมตายตกไปในจอมปลวกนั้นนั่นเองดังนั้นจอมปลวกนั้น จึงเป็นเรือนเกิด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาล และเป็นสุสานของสัตว์เล็กๆ เหล่านั้นฉันใด กายแม้ของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น ก็ฉันนั้น เหล่าสัตว์ที่อาศัยผิว หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เหยื่อในกระดูก มิได้คิดว่า กายนี้ถูกคุ้มครองรักษาแล้ว ประดับตกแต่งแล้ว เป็นกายของผู้มีอานุภาพใหญ่ รวมความว่า หมู่หนอนโดยการนับตระกูลมีประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตระกูลย่อมเกิด ย่อมถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอนกระสับกระส่าย เพราะความป่วยไข้ ตายตกคลักอยู่ในกายนี้เอง เหตุนั้น จึงนับได้ว่าเป็นจอมปลวก เพราะเป็นเรือนตลอด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาล และเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่าดูก่อนภิกษุ คําว่า วัมมิกะ นี้เป็นชื่อของกายนี้ ที่เกิดจากมหาภูตทั้ง ๔.
บทว่า มาตาเปติกสมฺภวสฺส ความว่า ที่เกิดจากการรวมตัวของ สุกกาซึ่งเกิดจากมารดาบิดา ที่ชื่อว่า มาตาเปติกะ. บทว่า โอทน กมฺมาสูปจยสฺส ความว่า ก่อเติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมกุมมาส. พึงทราบวินิจฉัยในคําว่า อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธมฺมสฺส ดังต่อไปนี้ กายนี้ชื่อว่ามีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา เพราะอรรถาว่า มีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่ามีการฉาบทาเป็นธรรมดา เพราะฉาบทาด้วยหนังบางเพื่อประโยชน์แก่การกําจัดกลิ่นเหม็น ชื่อว่า มีการนวดฟั้นเป็นธรรมดา เพราะมีการนวดฟั้นเล็กๆ น้อยๆ เพื่อประโยชน์แก่การบรรเทา ความเจ็บป่วยทางอวัยวะน้อยใหญ่ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามีการประคบประหงมเป็นธรรมดา โดยการหยอดยาตาและบีบเป็นต้น เพื่อความ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 341
สมบูรณ์แห่งทรวดทรง แห่งอวัยวะเหล่านั้น ที่ตั้งอยู่ไม่ดี โดยให้นอนอยู่บนขา ให้นอนแต่ในห้องในเวลาเป็นเด็ก อธิบายว่า แม้ถึงจะถูกประคบประหงมอยู่อย่างนี้ ก็ยังมีอันแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา กายมีสภาพอย่างนี้. ท่านกล่าวกายที่ตั้งขึ้นด้วย บทคือ มาตาเปติกสัมภวะ โอทนะ กุมมาสอุปัจยะอุจฉาทนะ และปริมัททนะ ในคํานั้น. ท่านกล่าวการดับด้วยบทคือ อนิจจะอุจฉาทนะ เภทนะ วิทธังสนะ ภาวะที่สูงต่ํา ความเจริญ ความเสื่อม ความเกิด และความดับ แห่งกายอันเกิดแต่มหาภูตทั้ง ๔ พึงทราบว่าท่านกล่าวไว้ด้วยบททั้ง ๗ อย่างด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ทิวา กมฺมนฺเต ได้แก่ การงานที่จะพึงทําในกลางวัน. ธูมศัพท์นี้ในบทว่า ธูมายนา นี้เป็นไปในอรรถเหล่านี้ คือ ความโกรธ ตัณหา วิตก กามคุณ ๕ ธรรมเทศนา ควันตามปกติ. จริงอยู่ ธูมศัพท์เป็นไปในความโกรธ ในคํานี้ว่า ความโกรธเป็นดังควันไฟ โทษของโจรกรรมเป็นดังเถ้า. เป็นไปในตัณหา ในคํานี้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีตัณหาดังควันไฟ. เป็นไปในวิตก ได้ในคํานี้ว่า สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งนั่งตรึกดังควันไฟในที่ไม่ไกล พระผู้มีพระภาคเจ้า. เป็นไปในกามคุณ ๕ ได้ในคํานี้ว่า
กามเป็นดังเปือกตม กามเป็นดังทางอ้อมและเป็นภัย ภัยนั้น เรากล่าวว่ามีมูล ๓ เราประกาศกิเลสเป็นดังธุลี และเป็นดังควันไฟ ดูก่อนท่านท้าวพรหมทัต ขอพระองค์โปรดละมันเสียแล้วทรงผนวช.
เป็นไปในธรรมเทศนา ได้ในคํานี้ว่า เป็นผู้กระทําธรรมเป็นดังควัน. เป็นไปในควันตามปกติได้ในคํานี้ว่า ธงเป็นเครื่องหมายของรถ ควันเป็นเครื่องหมายของไฟ. แต่ในที่นี้ ธูมศัพท์นี้ ท่านประสงค์เอาว่าเป็นไปในวิตก ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า นี่การหวนควันในกลางคืน. บทว่า ตถาคตสฺ-
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 342
เสตํ อธิวจนํ ความว่า แท้จริง พระตถาคตชื่อว่า พราหมณ์ เพราะทรงลอยธรรมทั้ง ๗ ได้แล้ว. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุชื่อว่า พราหมณ์ เพราะลอยธรรมทั้ง ๗ ได้แล้ว ธรรมทั้ง ๗ คืออะไร คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลีพพตปรมาส ที่ภิกษุชื่อว่า พราหมณ์เพราะลอยธรรมทั้ง ๗ เหล่านี้ได้แล้ว. บทว่า สุเมโธ แปลว่า ผู้มีปัญญาดี. ในบทว่า เสกฺขสฺส นี้ชื่อว่า เสกขะ เพราะยังต้องศึกษา. เหมือนที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ ภิกษุยังต้องศึกษาๆ อยู่เพราะเหตุฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าเสกขะ ศึกษาอะไรเล่า ศึกษาอธิศีลบ้าง ศึกษาอธิศีลจิตบ้าง ศึกษาอธิปัญญาบ้าง. บทว่า ปฺาเยตํ คือ คํานี้เป็นชื่อของปัญญา ที่เป็นโลกิยะและ โลกุตตระไม่ใช่เป็นชื่อของอาวุธ และศาสตรา. บทว่า วิริยารมฺภสฺส ได้แก่ ความเพียรทางกายและทางใจ. ความเพียรนั้น ย่อมเป็นคติแห่งปัญญาทีเดียว ความเพียรที่เป็นคติแห่งโลกิยปัญญา จัดเป็นโลกิยะ เป็นคติแห่งโลกุตตรปัญญาจัดเป็นโลกุตตระ. ในข้อนี้ ขอชี้แจงความดังนี้.
เล่ากันมาว่า พราหมณ์ชาวชนบทคนหนึ่ง ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ พร้อมด้วยเหล่ามาณพ ตอนกลางวันสอนมนต์ในป่า ตอนเย็นก็กลับบ้าน. ระหว่างทางมีจอมปลวกจอมหนึ่ง จอมปลวกนั้น กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ พราหมณ์จึงพูดกะสุเมธมาณพศิษย์ว่า พ่อเอย จอมปลวกนี้ กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอมปลวกนั้น เจ้าจงทําลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน ทิ้งไป. ศิษย์นั้นก็รับคํา จับจอบใช้ ๒ เท้าเหยียบเสมอกัน ยืนหยัดที่พื้นดินแล้วได้กระทําอย่างนั้น. ใน ๒ อาจารย์และศิษย์นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนพราหมณ์ผู้อาจารย์ เสกขภิกษุเปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์ กายเปรียบเหมือนจอมปลวก เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงแบ่งกายที่เกิดแต่มหาภูตรูปทั้ง ๔ ส่วน กําหนดถือเอา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 343
เป็นอารมณ์ ก็เปรียบเหมือนเวลาที่พราหมณ์ผู้อาจารย์กล่าวว่า พ่อเอ๋ย จอมปลวกนี้กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอมปลวกนั้น เจ้าจงทําลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วทิ้งไป. พึงทราบกําหนดกายสําหรับเสกขภิกษุ โดยกําหนดธาตุ ๔ เป็นอารมณ์ อย่างนี้ คือ ความที่กายเป็นของแข้น ๒๐ ส่วนจัดเป็นปฐวีธาตุ ความที่กายเอิบอาบ ๑๒ ส่วน จัดเป็นอาโปธาตุ ความที่กายอบอุ่น ๔ ส่วน จัดเป็นเตโชธาตุ ความที่กายเคลื่อนไหว ๖ ส่วน จัดเป็นวาโยธาตุ เปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์ รับคําแล้วจับจอบแล้วกระทําอย่างนั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอวิชชาชื่อว่ากลอนเหล็กในคําว่า ลงฺคีติ โข ภิกฺขุ. ตอบว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อปิดประตูพระนคร ใส่ลิ่มสลัก มหาชนก็ขาดการไป เหล่าชนที่อยู่ภายในพระนครก็คงอยู่ภายในนั้นเอง พวกที่อยู่ภายนอกพระนครก็อยู่ภายนอกฉันใด กลอนเหล็กคืออวิชชาตกไปในปากคือ ญาณ ของผู้ใด การไปคือญาณที่ให้ถึงพระนิพพานของผู้นั้นก็ขาด. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอวิชชาให้เป็นดังกลอนเหล็ก ในคําว่า ปชหถ อวิชฺชํ นี้ ท่านกล่าวการละอวิชชาด้วยอํานาจการเรียนและการสอบถามกัมมัฏฐาน. ในบทว่า อุทฺธูมายิกาติ โข ภิกฺขุ นี้ขึ้นชื่อ อึ่ง ที่พองขึ้นไม่ใหญ่ ประมาณเท่าหลังเล็บอยู่ในระหว่างใบไม้เก่าๆ ในระหว่างกอไม้ หรือระหว่างเถาวัลย์ มันถูกปลายไม้ ปลายเถาวัลย์ หรือละอองฝุ่นเสียดสีขยายออกมีปริมณฑลใหญ่ ขนาดเท่าแว่นมะตูม ๔ เท้าขวักไขว่ในอากาศขาดการไป (เดินไม่ได้) ตกอยู่ในอํานาจของศัตรู เป็นเหยื่อของกาและนกเค้า เป็นต้น ฉันใด ความโกรธนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเกิดขึ้นคราวแรก ก็เป็นเพียงความขุ่นมัวแห่งจิตเท่านั้น ไม่ถูกข่มเสียในขณะนั้นก็ขยายให้ถึงการหน้านิ้วคิ้วขมวด ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงคางสั่น ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 344
การเปล่งวาจาหยาบ ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ก็ให้ถึงการมองไม่เห็นทิศ ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการยื้อกันมายื้อกันไป ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ก็ให้ถึงการจับมือ ก้อนดิน ท่อนไม้และศาสตรา ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการประหารด้วยท่อนไม้ และศาสตรา ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการฆ่าผู้อื่นบ้าง ฆ่าตัวเองบ้าง. สมจริงดังคําที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความโกรธนี้ ฆ่าผู้อื่นแล้ว ฆ่าตนเพียงใด ความโกรธเพียงนี้ ก็จะหนาแน่นยิ่งขึ้น กําเริบเสิบสานอย่างยิ่ง. ในข้อนั้น เมื่อเท้าทั้ง ๔ ของตัวอึ่ง ขวักไขว่ในอากาศ ก็ขาดการไป (เดินไม่ได้) ตัวอึ่งก็ตกอยู่ในอํานาจของศัตรู เป็นเหยื่อของสัตว์มีกาเป็นต้นฉันใด บุคคลผู้ตกอยู่ในอํานาจของความโกรธก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สามารถจะกําหนดกัมมัฏฐานให้ขยายไปได้ ตกอยู่ในอํานาจของศัตรู เป็นผู้อันปวงมารพึงทําได้ตามความปรารถนา. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คําว่า อุทฺธูมายิกา นี้เป็นชื่อของความโกรธและความคับแค้นใจ. ในข้อนั้น ความโกรธจัด ชื่อว่าแค้นด้วยอํานาจความโกรธ ท่านกล่าวการละด้วยการพิจารณา ในคําว่า ปชห โกธูปายาสํ.
พึงทราบวินิจฉัยในคําว่า เทฺวธาปโถ ดังต่อไปนี้ บุรุษผู้มีทรัพย์โภคะ เดินทางไกลอันกันดาร ถึงทาง ๒ แพร่ง ไม่อาจตัดสินใจว่า ควรไปทางนี้ หรือไม่ควรไปทางนี้ หยุดอยู่ในที่นั้นนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่าโจรปรากฏตัวขึ้นมาก็จะทําผู้นั้นให้ถึงความย่อยยับฉันใด ภิกษุผู้นั่งกําหนดกัมมัฏฐานเบื้องต้น ก็ฉันนั้นนั่นแล เมื่อเกิดความสงสัยในพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็ไม่อาจเจริญกัมมัฏฐานได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ปวงมารมีกิเลสมารเป็นต้น ย่อมทําภิกษุนั้นให้ถึงความย่อยยับ วิจิกิจฉา จึงเสมอด้วยทาง ๒ แพร่ง ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คําว่า ทาง ๒ แพร่งนี้เป็นชื่อของ วิจิกิจฉา. ในคําว่า ปชห วิจิกิจฺฉํ นี้ ท่านกล่าวการละวิจิกิจฉา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 345
ด้วยการเรียน และการสอบถามกัมมัฏฐาน. พึงทราบวินิจฉัยในคําว่า ปงฺกวารํ ดังต่อไปนี้ เมื่อช่างย้อมใส่น้ำลงในหม้อกรองน้ำด่าง หม้อน้ำ ๑ หม้อ ๒ หม้อบ้าง ๑๐ หม้อบ้าง ๒๐ หม้อบ้าง ๑๐๐ หม้อบ้าง ก็ไหลออก น้ำแม้ฟายมือเดียวก็ไม่ขังอยู่ฉันใด กุศลธรรมภายในของบุคคลผู้ประกอบด้วยนีวรณ์ ย่อมไม่ตั้งอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คําว่า หม้อกรองน้ำด่างนี้ เป็นชื่อของนีวรณ์ทั้ง ๕. ในคําว่า ปชหปฺจ นีวรเณ นี้ ตรัสการละนีวรณ์ด้วยวิกขัมภนปหาน และตทังคปหาน. พึงทราบวินิจฉัยในคําว่า กุมฺโม ดังต่อไปนี้ เต่ามีอวัยวะ ๕ คือ เท้า ๔ ศีรษะ ๑ ฉันใด สังขตธรรมทั้งหมด เมื่อรวบรัดก็มีขันธ์ ๕ เท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คําว่าเต่านี้เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕. ในคําว่า ปชห ปฺจูปาทานกฺขนฺเธ นี้ ตรัสการละความกําหนัดด้วยอํานาจความพอใจในขันธ์ ๕. พึงทราบวินิจฉัย ในคําว่า อสิสูนา ดังต่อไปนี้ เอาเนื้อวางบนเขียง เอามีดสับ ฉันใด สัตว์เหล่านี้ เมื่อถูกกามกิเลสกระทบ เพื่อประโยชน์แก่ทําไว้บนวัตถุกาม ถูกกิเลสกาม ตัด สับ ก็ฉันนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คําว่าเขียงมีด นี้เป็นชื่อของกามคุณทั้ง ๕. ในคําว่า ปชห ปฺจ กามคุเณ นี้ ตรัสการละความกําหนัดด้วยอํานาจความพอใจในกามคุณ ๕. พึงทราบวินิจฉัยในคําว่า มํสเปสีติ โข ภิกฺขุ ดังต่อไปนี้ ขึ้นชื่อว่าชิ้นเนื้อนี้ คนเป็นอันมากปรารถนากันแล้ว ทั้งเหล่ามนุษย์ มีกษัตริย์เป็นต้น ทั้งสัตว์ดิรัจฉาน มีกาเป็นต้น ต่างปรารถนามัน สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยอวิชชา อาศัยความกําหนัดด้วยอํานาจความเพลิดเพลิน ต่างก็ปรารถนาวัฏฏะ ชิ้นเนื้อย่อมติดอยู่ในที่วางไว้ๆ ฉันใด สัตว์เหล่านี้ ถูกความกําหนัดด้วยอํานาจความเพลิดเพลินผูกไว้ ก็ติดอยู่ในวัฏฏะ แม้ประสบทุกข์ ก็ไม่เบื่อฉันนั้น ความกําหนัดด้วย
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 346
อํานาจความเพลิดเพลิน ย่อมเสมือนชิ้นเนื้อด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คําว่าชิ้นเนื้อนี้ เป็นชื่อของความกําหนัดด้วยอํานาจความเพลิดเพลิน. ในคําว่า ปชห นนฺทิราคํ นี้ ตรัสการละความกําหนัดด้วยอํานาจความเพลิดเพลิน ด้วยมรรคที่ ๔.
ในคําว่า ดูก่อนภิกษุ คําว่า นาคนี้เป็นชื่อของพระขีณาสพนี้ พระขีณาสพท่านเรียกว่านาค ด้วยอรรถใด อรรถนั้นท่านประกาศไว้แล้วในอนังคณสูตร. ในคําว่า นโม กโรหิ นาคสฺส นี้มีเนื้อความดังนี้คือ ท่านจงกระทําการนอบน้อมพระพุทธนาคผู้พระขีณาสพว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสรู้แล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อความรู้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงฝึกแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นสงบแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงข้ามแล้ว แสดงธรรมเพื่อข้าม พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดับสนิทแล้ว แสดงธรรมเพื่อดับสนิท. พระสูตรนี้ได้เป็นกัมมัฏฐานของพระเถระด้วยประการฉะนี้ ฝ่ายพระเถระ ทําพระสูตรนี้แล ให้เป็นกัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต์. บทว่า อยเมว ตสฺส อตฺโถ ความว่า นี้เป็นใจความของปัญหานั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนทรงถือเอายอดมณีในกองรัตนะ ทรงจบเทศนาตามลําดับ อนุสนธิด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวัมมิกสูตรที่ ๓