ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “โอวาทปาติโมกฺข”
คำว่า โอวาทปาติโมกฺข เป็นคำภาษาบาลี มาจากคำ ๓ คำ รวมกัน คือ โอวาท (คำพร่ำสอน) ปาติ (การตกไป) และ โมกฺข (การพ้น,การหลุดพ้น) แปลว่า คำพร่ำสอนที่เป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไป ได้แก่ พ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์, ส่วนใหญ่แล้ว แปลทับศัพท์เป็น โอวาทปาติโมกข์ เขียนอีกอย่างหนึ่งว่า โอวาทปาฏิโมกข์ โดยที่โอวาท-ปาฏิโมกข์ นั้น เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง มีพระคาถา เป็นต้นว่า สพฺพปาปสฺส อกรณ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปน เอต พุทฺธาน สาสน.
(คำแปล) “การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อมการยังจิตของตนให้ผ่องใส นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
(จาก... พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งจะได้เกื้อกูลสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงสะสมอบรมมาก็เพื่ออุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก จึงทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดสัตว์โลก ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อย ๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษามีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตามจนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทรงแสดงนั้น ไม่มีความแตกต่างกันเลย เหมือนกันทั้งหมด คือ เป็นการแสดงถึงสิ่งที่มีจริงเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นพระธรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา และมีความเข้าใจ อย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละอกุศล เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น (ละชั่ว) การยังกุศลให้ถึงพร้อม(ทำดี) และการยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์นั้น ก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่ว ไม่มีตัวตนที่จะทำความดี และไม่มีตัวตนที่จะยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม และธรรมฝ่ายดีนั้นเอง จะทำหน้าที่ละชั่ว ทำความดี และยังจิตของตนให้ผ่องใส ไปตามระดับขั้นของความเข้าใจถูกเห็นถูก เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเองเป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) สะสมปัญญาไปตามลำดับ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมด เป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะขาดปัญญา ไม่ได้เลย.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ