อ่านชาดกหลายเรื่อง ในเรื่องฉัททันตชาดก พระนางสุภัททากลับชาติมาเกิดเป็นภิกษุณี นายพรานโสณุดรกลับชาติมาเกิดเป็นเทวทัต ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลายจงดูกุมารีสาวคนนั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ประพฤติอนาคาริยวัตร นางกุมารีคนนั้นแล เป็นนางสุภัททาในกาลนั้น เราตถาคต เป็นพญาช้างในกาลนั้น. นายพรานผู้ถือเอางาทั้งคู่ของพญาคชสารอันอุดม หางาอื่นเปรียบปานมิได้ในปฐพี กลับมายังพระนครกาสีในกาลนั้นเป็นเทวทัต
(ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้าที่ 370)
เพราะชาติมีจึงมีเราหรือ? ไม่ใช่ชั่วเวลาเป็นกัปๆ แต่มากกว่า สิ่งที่มีในชาติต่างๆ นั้นมีหรือไม่มี สิ่งนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร?
ชาติ คือ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมตามเหตุปัจจัย เมื่อชาติมี จึงเป็นปัจจัยให้ชรามี เมื่อชรามี จึงเป็นปัจจัยให้พยาธิมี เมื่อพยาธิมี จึงเป็นปัจจัยให้มรณะมี ทั้งหมดเป็นสภาพธรรมที่เกิดและดับไป บ่ายหน้าจากความมีชั่วขณะ สู่ความไม่มีอยู่ตลอดเวลา สภาพธรรมใดที่ปรากฏ แล้วไม่รู้ตามเป็นจริง จึงเป็นปัจจัยให้เห็นผิดว่าเป็นเรา ชาติที่แล้วเป็นเราหรือไม่ สภาพธรรมของชาติที่แล้วเกิดและดับไปแล้วทั้งหมด หมดแล้ว ก็ยังเห็นผิดว่าเป็นเราในชาติที่แล้ว นี่คือ "อัตตสัญญา"
ชาตินี้ก็เช่นกัน สภาพธรรมกำลังกำลังทยอยเกิด-ดับอย่างรวดเร็ว เมื่อยังไม่รู้ และเห็นผิด ชาตินี้ก็ยึดมั่นเห็นผิดอีกว่าเป็นเรา ต่อเมื่อใดอบรมปัญญา จนปัญญารู้ชัดขึ้น จึงจะค่อยๆ เห็นถูกว่า "ไม่ใช่เรา" เป็นเราตรงไหน สิ่งใดที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิด-ดับหมดไป จะเป็นเรา เป็นของเรา หรือเป็นตัวตนได้อย่างไร แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก และไม่ได้รู้เพียงฟังแล้วคิดตามว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นหน้าที่ของปัญญาที่ต้องเริ่มจากขั้นการฟัง ฟังให้เข้าใจขึ้น จนกว่าจะรู้ถูกว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แม้ไม่เรียกชื่อของธรรมะนั้น ธรรมะนั้นก็มีสภาวะที่เป็นจริง และธรรมะก็มีหลากหลายจึงมีชื่อเรียกธรรมะประเภทต่างๆ มากมายให้เข้าใจตรงกัน แต่ชื่อต่างๆ ไม่ใช่ตัวจริงของธรรมะ เช่น คำว่า "เห็น" ใช้แทนอาการรู้ที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เราจะไม่ใช้คำว่า "เห็น" ก็ได้ แต่อาการรู้นั้นก็มีจริง แต่ที่ต้องใช้เพราะ "เห็น" ไม่ใช่ "คิด" เป็นคนละสภาพธรรมกัน ไม่อย่างนั้นก็สื่อกันไม่ถูกว่าหมายถึงธรรมะใด ชาตินี้มี "เห็น" หรือไม่ คำว่า "เห็น" ไม่ใช่ตัวสภาวะจริงๆ ที่กำลังเห็น เพราะสภาวะที่กำลังเห็นแม้ไม่ใช้คำว่า "เห็น" ก็มีจริง เพราะเป็นสภาพรู้ที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏทางตาครับฉะนั้น สิ่งที่มีในชาติต่างๆ จึงไม่พ้นไปจากธรรมะ จะเรียกก็ได้ ไม่เรียกก็ได้ สิ่งที่มีจริงก็คงลักษณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงอยู่เสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ขาดแต่ความเข้าใจที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงนั้นเป็นธรรมะอย่างไร ไม่ใช่เราอย่างไร ต้องอบรมปัญญาและเจริญกุศลบารมีกันต่อไปครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณ chaiyut ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณครับ ทำไมสภาพธรรมจึงต้องทยอยเกิด-ดับ? อย่างเช่นพระนางสุภัททาได้เกิดเป็นช้างจุลลสุภัททา เป็นพระนางสุภัททา และเป็นภิกษุณี
เรียน ความเห็นที่ 4
เพราะเกิดเป็นทั้ง ๓ คนในชาติเดียวกันไม่ได้ครับ จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไป จิตดวงใหม่เกิดสืบต่อทันที จิตขณะสุดท้ายของแต่ละชาติ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส เมื่อจิตดวงนี้ดับไป ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตขณะแรกของชาติใหม่เกิดสืบต่อ สภาพธรรมที่ทยอยเกิดดับสืบต่อกัน จึงทำให้มีการสมมติการเกิดของสภาพธรรมใหม่ในชาติใหม่แต่ละชาติว่าเป็นบุคคลใหม่ ซึ่งภายหลังอาจจะมีการตั้งชื่อคล้ายกัน แต่กรรมที่ทำให้เกิดในสุคติภูมิ หรือ อบายภูมิ นั้นต้องแตกต่างกัน ส่วนที่เหมือนกันก็คือ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร เมื่อเกิดใหม่ ก็แสดงว่า ได้สิ้นสุดความเป็นบุคคลเดิมในชาติก่อนหลังจากที่จิตดวงสุดท้ายของชาตินั้นดับไปแล้วครับ
เรียนคุณชีวิตคือขณะจิตครับ
พิสูจน์ความเข้าใจในขณะที่กำลังเห็นตอนนี้ครับ จริงหรือไม่? สิ่งที่ปรากฏทางตาจะสีอะไรก็ตาม เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ไม่เรียกชื่อก็ได้ เพราะมีจริง กำลังปรากฏให้รู้ได้ทางตา เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ใช้คำว่า "รูป" แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็คงความจริงเสมอว่าไม่ปรากฏทางอื่น เช่น ทางหู แต่กำลังปรากฏให้รู้ได้ขณะนี้ กำลังปรากฏทางตา
สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏให้สภาพ "เห็น" รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ว่าจะสีอะไร สภาพเห็นก็รู้แจ้งได้ทั้งหมด ตัวสีต่างๆ ไม่รู้ตัวเองว่าสีอะไร แต่ที่รู้ว่าสีต่างกันเพราะความวิจิตรของสภาพรู้ ที่สามารถรู้แจ้งได้ แม้ความแตกต่างกันของสิ่งที่ปรากฏจะไม่พูดว่า "เห็น" ก็ได้ เพราะขณะนี้กำลังเห็น มีสภาพที่เห็นจริงๆ เป็นสภาพที่กำลังรู้แจ้ง คือ มีสิ่งที่ถูกเห็นเป็นอารมณ์ ก็เป็นขณะที่นามธรรมเกิดขึ้น รู้แจ้งรูปธรรมที่ปรากฏทางตาครับ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน นามธรรม รูปธรรม เป็นคุณชีวิตคือขณะจิตหรือไม่ครับ
"สภาพเห็นก็รู้แจ้งได้ทั้งหมด ตัวสีต่างๆ ไม่รู้ตัวเองว่าสีอะไร แต่ที่รู้ว่าสีต่างกันเพราะความวิจิตรของสภาพรู้ ที่สามารถรู้แจ้งได้ แม้ความแตกต่างกันของสิ่งที่ปรากฏจะไม่พูดว่า "เห็น" ก็ได้ เพราะขณะนี้กำลังเห็น"
สาธุ สาธุ ___/l___
สภาพเห็นเป็นอันเดียวกับรูปหรือท่านchaiyut
สภาพเห็นเป็นอย่างหนึ่ง รูปก็เป็นอย่างหนึ่ง เป็นธรรมคนละสภาพกัน ไม่ระคนกันครับ
ขณะเห็นมีรูปไหมครับ มีสภาพรูปไหมครับ
ขณะเห็น เห็นรูปที่ปรากฏทางตา จิตเห็นมีสภาพของรูปที่ปรากฏทางตา เป็นอารมณ์เพียงแต่มีรูปเป็นอารมณ์ ไม่ได้มีไว้เพื่ออย่างอื่นเลยครับ แล้วก็มีแสนสั้น ชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้รูปนั้นเป็นอารมณ์ได้เท่านั้น ไม่นานเลย และจะเห็นได้ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงให้เห็นความละเอียดของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่มีในขณะนั้น ว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนจริงๆ จิตเห็นก็เป็นจิตเห็น เป็นใครเห็นได้ไหม สภาพของรูปก็เป็นรูป เป็นรูปของใครได้ไหม จิตจะไปเป็นรูป หรือรูปจะไปเป็นจิตก็ไม่ได้ ธรรมแต่ละอย่างก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่เป็นของใครแต่เมื่อมีการประชุมกันของสภาพธรรมต่างๆ ที่สมควรตามปัจจัย การเห็น ฯลฯ จึงเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าธรรมนั้นจะเป็นอารมณ์ (รูปารมณ์) ธรรมนั้นจะเป็นรูปที่รับกระทบอารมณ์ (จักขุปสาท) หรือ ธรรมนั้นจะเป็นธาตุรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา (จิตเห็น ฯลฯ) แต่ละธรรมก็ไม่ปะปนกัน เป็นธรรมแต่ละธรรมที่เกิดตามเหตุปัจจัยของตนๆ นี่คือการศึกษาให้เข้าใจธรรมขั้นปริยัติครับ เรียนให้เข้าใจถูกว่า ที่ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเหตุอย่างไรจึงไม่ใช่เรา เพราะเหตุอย่างไรถึงไม่มีเรา จนกว่าจะค่อยๆ รู้ความจริงในขณะที่มีปัจจัยให้เกิดการระลึกรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้โดยไม่เลือกครับ
ท่านchaiyut กรุณาตอบแล้ว ผมไม่สงสัยครับ ผมขอถามต่อไปว่า ขณะสภาพรูปปรากฎ มีสภาพเห็นไหมครับ? (สภาพทั้งสอง หมายถึง นาม-รูป ปรากฎพร้อมกันไหมครับ?) ถ้าอนุมานจากคำตอบที่ท่านตอบแล้วนั้น ผมฟังได้ว่าสภาพรูปปรากฎเพราะสภาพเห็นเป็นปัจจัย ก็สิ่งที่เป็นปัจจัยเมื่อให้ปัจจัยแล้วย่อมดับไปแล้ว สิ่งที่เกิดเพราะปัจจัยจึงไม่ใช่ปัจจัย นามจึงไม่ใช่รูป เป็นคนละสภาพกัน ความเป็นเราจะมาจากที่ไหน ความเป็นเราจึงไม่มี นีคือการอนุมานจากคำตอบของท่าน chaiyut ถูกต้องไหมครับ ขออนุญาตเรียนถามครับ
เรียนคุณชีวิตคือขณะจิตครับ
คำถาม : ขณะสภาพรูปปรากฏ มีสภาพเห็นไหม?
สภาพของรูปมีมากมายหลากหลายครับ สีก็เป็นรูป เสียงก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป รสก็เป็นรูป เย็น-ร้อน, อ่อน-แข็ง, ตึง-ไหวก็เป็นรูป เป็นลักษณะของรูปที่ปรากฏให้รู้ได้ในแต่ละทาง ขณะที่สีปรากฏ ปรากฏทางตา ขณะนั้นมีสภาพเห็นที่กำลังรู้สีนั้น แต่ขณะที่เสียงกำลังปรากฏ จะมีสภาพเห็นไปรู้เสียงไม่ได้ เพราะปรากฏคนละทางกัน และรูปก็ปรากฏกับรูปไม่ได้ เพราะรูปทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้ รูปไม่รู้อะไร แต่นาม คือ จิต เจตสิก เป็นสภาพรู้ และสามารถรู้รูปได้ตามกำลัง ตามประเภทของนามนั้นๆ
สภาพเห็น เป็นนามอย่างหนึ่ง สามารถรู้รูปที่ปรากฏทางตาได้ ขณะนี้ ทางตา มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะมีการเห็น ถ้าเป็นความรู้ถูก เป็นปัญญาจริงๆ จะไม่ห่วงคำนึงถึงความพร้อม หรือ ไม่พร้อมของธรรมใดๆ ที่เกิดแล้วทั้งสิ้น ธรรมใดปรากฏก็ศึกษาให้เข้าใจธรรมนั้นตามความเป็นจริง เพราะปัญญาขั้นต้นไม่สามารถที่จะรู้ความละเอียดของสภาพธรรมโดยชัดเจนทันทีได้ เพียงแต่เริ่มรู้ว่า สิ่งที่มีตามความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ เมื่อกำลังมีให้รู้ ทางใดปรากฏ ก็ศึกษาทางนั้น จนกว่าจะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เรา เพียงอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอนัตตาไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
เมื่อเราเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ปัญญาก็จะค่อยๆ น้อมไปรู้ความจริงของธรรมได้ถูกต้อง ตรงตามปริยัติที่ได้ศึกษามา ไม่ควรกังวลเรื่องพยัญชนะจากตำรามากเกินไปแต่ควรศึกษาลักษณะของธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ให้เกิดความรู้ที่จะเป็นที่พึ่งให้เข้าถึงตัวจริงของธรรม ด้วยปัญญาที่ได้อบรมดีแล้วครับ
ขอบพระคุณครับท่านchaiyut ท่านตอบว่า "ถ้าเป็นความรู้ถูก เป็นปัญญาจริงๆ จะไม่ห่วงคำนึงถึงความพร้อม หรือ ไม่พร้อมของธรรมใดๆ ที่เกิดแล้วทั้งสิ้น ธรรมใดปรากฏ ก็ศึกษาให้เข้าใจธรรมนั้นตามความเป็นจริง" ผมเห็นด้วยครับ ขอบพระคุณอีกครั้งครับ "แนวทางเจริญวิปัสสนา" มีผู้ศึกษารู้ตามได้จริง
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ