กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคาพรพทุกท่าน
กระผมช่วงหลังๆ นี้เริ่มคิดและมีความเห็นว่าพระธรรมนั้นมีส่วนที่ละเอียดมากและเข้าใจ ได้ยาก ทั้งปัญญาเราก็คงจะเข้าใจได้ไม่ถึงอรรถ จึงมีความคิดว่าก็การบรรลุธรรมของ พระโสดาบัน พระโสดาบันและพระอริยบุคคลแต่ละท่านก็มีปัญญาสั่งสมมาไม่เท่ากัน แต่ ก็บรรลุธรรมเหมือนกัน กระนั้นเราก็ศึกษาแค่บางส่วนที่จะเกื้อกูล ส่วนละเอียดๆ ก็ไม่ศึกษา เพราะถ้าเข้าใจผิดก็จะลำบาก และก็ให้มีความคิดเห็นอีกประการว่า ศึกษาธรรมและฟัง ธรรมเรื่อยๆ ไม่ต้องศึกษาโดยละเอียดทุกประการก็คงพอจะยังให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน
แม้ที่มีปัญญาน้อยที่สุด น้อยกว่าพระโสดาบันท่านอื่นๆ ก็พอแก่เราแล้ว จึงจะไม่ศึกษาพระ ธรรมส่วนที่ละเอียดเกินกว่าปัญญาปุถุชนจะเข้าใจ เช่นวิถีจิต ฯลฯ ไม่ทราบว่าเพียงพอหรือไม่ ที่จะเป็นปัจจัย ให้ถึงความเป็นพระโสดาบันที่มีปัญญาน้อย ที่สุด แต่ก้ยังถึงความเป็นพระโสดาบัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นครับ
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความ เป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะทรงแสดงในส่วนใด ก็ตาม ย่อมไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ โดยโวหาร โดยพยัญชนะต่างๆ ทั้ง หมดทั้งปวงเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง อันเป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ที่หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ไม่ได้เลย สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา อย่างแท้จริง ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทพระธรรมว่าง่าย ศึกษาด้วย ความตั้งใจ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ พระธรรม แม้จะยาก แต่ก็ไม่ เหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้
สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษาพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ว่างเว้นจากการ ฟังพระธรรม และมีจุดประสงค์ที่ถูกต้องในการศึกษาว่า เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เรื่องการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นเรื่องที่ไกลมากคงยังไม่ต้องพูดถึงในชาตินี้ แต่จะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน ในการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เมื่อสะสมกุศลและอบรมเจริญปัญญาต่อไป เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันได้
เข้าใจแค่ไหน ก็แค่นั้น จะให้มีความเข้าใจมากๆ ในทันทีทันใด ย่อมเป็นไปไม่ได้ พระธรรมในส่วนละเอียด ที่แสดงถึงจิตขณะต่างๆ เช่น โวฏฐัพพนจิต สันตีรณจิต เป็นต้น ถึงแม้จะยังไม่สามารถประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง ก็สามารถเริ่มสะสมเข้าใจในขั้นการ ฟังถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วมีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ก็คงจะต้องฟัง ต้องศึกษาต่อไป การไม่ศึกษา ย่อมไม่ควร ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม จะเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้องได้ไหม
ความจำเป็นของการศึกษาพระอภิธรรม
มุ่งเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว ไม่พอ
จะเป็นคนดีหรือพระโสดาบัน (ถอดเทป)
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การศึกษาพระธรรม สำคัญ คือ เริ่มจากจุดประสงค์ที่ถูกต้อง คือ เป็นไปเพื่อสละความไม่รู้และขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม และศรัทธา สติ และปัญญา เป็นต้น ซึ่งหากเราเริ่มจากจุดประสงค์ที่ถูกเช่นนี้แล้ว ก็เป็นการศึกษา ธรรมที่เบาสบาย ศึกษาตามกำลังที่จะเข้าใจ เพราะไม่ได้ศึกษาเพื่อที่อยากจะเข้าใจ อยากจะรู้มากๆ ศึกษาส่วนไหนก็ได้ เข้าใจเท่าไหร่ก็เท่านั้นครับ ซึ่งไม่ได้จำเป็นจะ ต้องไปศึกษาส่วนละเอียดลึกซึ้งอย่างมาก เพราะจะต้องรู้ว่า ปัญญาของตนระดับไหน ที่จะไม่สามารถเข้าใจส่วนละเอียดได้ทั้งหมด หากเรื่องใด ศึกษาไม่เข้าใจก็ข้ามไป ก็ฟังส่วนที่เข้าใจ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น ปรุงแต่ง ทีละเล็กละน้อย ซึ่งจุดหมาย ของการศึกษาพระธรรม ไม่ใช่การจำชื่อ รู้ชื่อมากๆ แต่ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งเมื่อได้อ่าน พระธรรมส่วนใด ก็ เข้าใจในส่วนนั้น ว่าเป็นแต่เพียงธรรมเมื่อศึกษาด้วยจุดประสงค์ที่ถูกต้อง ปัญญาก็จะ ค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ จนเมื่อปัญญาถึงพร้อมก็จะเข้าใจตัวจริง ที่เป็นอภิธรรม ที่มีจริงในขณะนี้ โดยไม่ได้มีชื่อเรียกเลยว่า เป็นจิตประเภทอะไร วิถีจิตอย่างไหน เพราะ กำลังรู้ตัวลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้นครับ
การศึกษาธรรมจึงไม่ช่การศึกษาแบบวิชาการที่จะต้องมาเป็นบทเรียน เรียนเป็นเล่ม เป็นบท เพราะพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น มีหลากหลายนัย ด้วยเหตุผลที่ว่า สัตว์โลก มีหลากหลายอัธยาศัย สะสมมาไม่เหมือนกัน พระองค์จึงทรงแสดงเทศนาที่ เป็นทั้งสมมติเทศนา มีพระสูตร เป็นต้น ที่เป็นเรื่องราว และ ปรมัตถเทศนาที่เป็นอภิธรรม จิต เจตสิก วิถีจิต ผู้ใดฟังเรื่องใด เข้าใจเรื่องใดบรรลุ พระองค์ก็ทรงแสดงเรื่องนั้น ผู้ใด ฟังพระสูตรเข้าใจ พระองค์แสดงเรื่องนั้น และก็บรรลุธรรม ผู้ใด ฟังพระอภิธรรมเข้าใจ พระองค์แสดงเรื่องนั้น และ ก็เข้าใจ บรรลุธรรมได้
จากที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่กฎตายตัวที่จะต้องเรียนเป็นบทเรียนแบบ วิชาการ ทุกๆ คน เพราะสัตว์โลกสะสมมาแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากศึกษาพระธรรมด้วยจุดประสงค์ที่ถูกต้อง แยบคาย ศึกษาตามกำลังปัญญาของตน ที่่เพื่อจะเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อที่จะได้ เข้าใจเท่าไหร่ก็เท่านั้น เพราะไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมด ก็เบาสบายด้วยการศึกษา และก็ฟังพระธรรมในส่วนต่างๆ ต่อไปตามที่จะเข้าใจได้ ครับ ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ในเรื่องการศึกษาวิถีจิต ตามที่ถามมา ครับ
อย่าเพิ่งไปไหนไกล
อรวรรณ แต่ในการศึกษาเพื่อให้ทราบความละเอียดของวิถีจิต ผู้ศึกษาฟังทั้งศัพท์ ภาษาบาลีและความยุ่งยากก็แยกแยะไม่ออกว่า แล้วความละเอียดขนาดไหนที่สามารถ ทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้
สุ. คุณอรวรรณมีเพื่อนหลายคนไหมคะ
อรวรรณ หลายคนค่ะ
สุ. เพื่อนดีของคุณอรวรรณคือใคร ไม่ต้องเป็นชื่อ คนที่สามารถจะทำให้คุณอรวรรณ มีความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่ให้เห็นผิด เข้าใจผิด ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสภาพ ธรรมที่ปรากฏ ถ้าเป็นเพื่อนที่ดี จะพาให้คุณอรวรรณห่างไกลจากสิ่งที่ปรากฏ ไปสนใจ เรื่องที่คุณอรวรรณไม่สามารถจะรู้ได้ หรือรู้ว่าแม้ว่าสิ่งนี้มีแต่ก็ยากแสนยาก เพราะว่าไม่ เคยคิดที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ คิดเรื่องราวทั้งหมด มาจากสิ่งที่เห็นบ้าง ได้ ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง คิดนึกบ้าง เป็นเรื่องราวมากมาย โดยที่แม้ขณะนี้ก็มีสิ่งที่ ปรากฏทางตา แต่ก็เห็นเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นอย่างนี้ไปทุกชาติ กับคนที่รู้ว่า ทำไมไม่รู้สิ่ง ที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดที่จะรู้ว่า อะไรเป็นปรมัตถ์ อะไรเป็นบัญญัติ มิฉะนั้นก็พูดแต่ชื่อ ปรมัตถ์กับบัญญัติ บัญญัติเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง ปรมัตถ์เป็นสิ่งที่มีจริง และเมื่อไรจะรู้จักตัวปรมัตถ์ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นใครจะพาคุณอรวรรณไปไหนไกลๆ ตามไป หรือให้มาสู่การเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ และยังจะมีต่อไปอีกนานแสนนาน ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลัง ปรากฏในขณะนี้จริงๆ ประโยชน์อะไรกับการที่มีเห็นแล้วกี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้เลยว่า เป็น ธรรม
เพราะฉะนั้นไม่อยากจะพาไปไหน แต่ว่าให้ฟังจนกระทั่งสามารถไม่สนใจสิ่งอื่น และมีสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้าจริงๆ ไม่ห่างเหินจากสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขออนุโมทนา
ผมขอแสดงความคิดเห็น เพื่อให้กำลังใจแก่ทุกๆ ท่าน ที่ต้องการ เดินตาม รอย พระพุทธองค์ และให้ตัวผมเองด้วย ว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว อย่าท้อ เพราะตัวผมเอง อายุ ๖๙ ปีแล้ว มีเวลาเหลือไม่มาก ที่จะได้ทำกุศล ละ กิเลส ทั้งมวล
ผมใช้เวลาว่างเท่าที่จะหาได้ เข้าไปอ่าน ทุกข้อความใน เว็บไซต์บ้านธัมมะ นี้แบบไม่ต้องจำภาษาบาลีเลย แต่เรียนรู้วิธีการทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดกุศล ให้ได้มากๆ และ ละทิ้ง สิ่งที่ไม่ดี ทุกๆ วัน โดย ไม่ต้องตั้งความหวังอะไร ให้เกิด โลภะ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะสิ้นชีวิต ได้เท่าไร ก็เท่านั้น ข้อความไหนไม่เข้าใจก็ ก๊อปปี้ เอาใว้ใน คอมฯ อ่านหลายๆ เที่ยว แล้วเราก็จะค่อยๆ เข้าใจเอง ถ้ายังไม่เข้าใจอีกก็เขียนถามไปใน เว็บไซต์นี้ก็จะได้รับคำตอบที่ดี และที่ดีมากๆ คือ บทความ ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ของท่าน อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผมก๊อปใว้ตั้งแต่ ครั้งที่ ๑ ถึง ครั้งที่๘๘ แล้วก็อ่านเป็นประจำหลายเที่ยวแล้ว ผมจำคำสอนที่ว่า ตื่นนอนขึ้นมาอย่าให้ จิต คิด อกุศล ทำจิตใจให้เบิกบานเข้าใว้ ทุกสิ่งคือ ธรรม เป็น อนัตตา ผมขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ สมาชิก ทุกๆ ท่านในเว็บไซต์บ้านธัมมะนี้
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กระผมจะอบรมปัญญา ขัดเกลากิเลส ฟังพระธรรม พิจารณาธรรมต่อไปเท่าที่ปัญญาจะสามารถ โดยไม่หวัง แต่ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อละคลายอกุศลละคลายความไม่รู้ต่อไปครับ
กราบขอบพระคุณครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ