[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 676
อุทยัพพยญาณนิทเทส
อรรถกถาอุทยัพพยญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 676
อุทยัพพยญาณนิทเทส
[๑๐๓] ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจุบัน เป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณอย่างไร?
รูปที่เกิดแล้วเป็นปัจจุบัน ชาติแห่งรูปที่เกิดแล้วนั้นมีความเกิดเป็นลักษณะ ความเสื่อมมีความแปรปรวนเป็นลักษณะ ปัญญาที่พิจารณาเห็นดังนี้ เป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ เวทนาเกิดแล้ว สัญญาเกิดแล้ว สังขารเกิดแล้ว วิญญาณเกิดแล้ว จักษุเกิดแล้ว ฯลฯ ภพเกิดแล้วเป็นปัจจุบัน ชาติแห่งภพที่เกิดแล้วนั้นมีความเกิดเป็นลักษณะ ความเสื่อมมีความแปรปรวนเป็นลักษณะ ปัญญาที่พิจารณาเห็นดังนี้ เป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 677
[๑๐๔] พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะเท่าไร เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะเท่าไร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะเท่าไร?
พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๒๕ ประการ เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๒๕ ประการ เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕๐ ประการ.
[๑๐๕] พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะเท่าไร เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเป็นลักษณะเท่าไร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะเท่าไร พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนาขันธ์ แห่งสัญญาขันธ์ แห่งสังขารขันธ์ แห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็น ลักษณะเท่าไร เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะเท่าไร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะเท่าไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 678
พระโยคาวจร ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการ เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการ เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๑๐ ประการ เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนาขันธ์ แห่งสัญญาขันธ์ แห่งสังขารขันธ์ แห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการ เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อม พิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการ เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๑๐ ประการ.
[๑๐๖] พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการ เป็นไฉน?
พระโยคาวจร ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์ โดยความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยว่า เพราะอวิชชาเกิด รูปจึงเกิด เพราะตัณหาเกิด รูปจึงเกิด เพราะกรรมเกิด รูปจึงเกิด เพราะอาหารเกิด รูปจึงเกิด แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความบังเกิด ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์ พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้.
[๑๐๗] พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการเป็นไฉน?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 679
พระโยคาวจร ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ โดยความดับแห่งปัจจัยว่า เพราะอวิชชาดับ รูปจึงดับ เพราะตัณหาดับ รูปจึงดับ เพราะกรรมดับ รูปจึงดับ เพราะอาหารดับ รูปจึงดับ แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความแปรปรวน ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้ เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและ ความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๑๐ ประการนี้.
[๑๐๘] พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนาขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการเป็นไฉน?
พระโยคาวจร ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนาขันธ์ โดยความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยว่า เพราะอวิชชาเกิดเวทนาจึงเกิด เพราะตัณหาเกิด เวทนาจึงเกิด เพราะกรรมเกิด เวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะเกิด เวทนาจึงเกิด แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งการเกิด ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนา พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนาขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้.
[๑๐๙] พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเวทนาขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ การเป็นไฉน? พระโยคาวจร ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเวทนาขันธ์ โดยความดับแห่งปัจจัยว่า เพราะอวิชชาดับ เวทนาจึงดับ เพราะตัณหา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 680
ดับ เวทนาจึงดับ เพราะกรรมดับ เวทนาจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความแปรปรวน ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเวทนาขันธ์ พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเวทนาขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้ เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเวทนาขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๑๐ ประการนี้.
[๑๑๐] พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดแห่งสัญญาขันธ์ แห่งสังขารขันธ์ แห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการเป็นไฉน?
พระโยคาวจร ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดแห่งวิญญาณขันธ์ โดยความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยว่า เพราะอวิชชาเกิด วิญญาณจึงเกิด เพราะตัณหาเกิด วิญญาณจึงเกิด เพราะกรรมเกิด วิญญาณจึงเกิด เพราะนามรูปเกิดวิญญาณจึงเกิด แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความเกิด ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณขันธ์ พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้.
[๑๑๑] พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งสัญญาขันธ์ แห่งสังขารขันธ์ แห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการเป็นไฉน?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 681
พระโยคาวจร ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ โดยความดับแห่งปัจจัยว่า เพราะอวิชชาดับ วิญญาณจึงดับ เพราะตัณหาดับ วิญญาณจึงดับ เพราะกรรมดับ วิญญาณจึงดับ เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความแปรปรวน ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้ เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๑๐ ประการนี้ เมื่อพิจารณาเห็น ความเกิดขึ้นแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๒๕ ประการนี้ เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๒๕ ประการนี้ เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕๐ ประการนี้ ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจุบัน เป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ.
รูปขันธ์เกิดเพราะอาหารเกิด ขันธ์ที่เหลือ คือ เวทนา สัญญา สังขารเกิดเพราะผัสสะเกิด วิญญาณขันธ์เกิดเพราะนามรูปเกิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 682
อรรถกถาอุทยัพพยญาณนิทเทส
๑๐๓ - ๑๑๑] บัดนี้ เพื่อกำหนดสังขารทั้งหลายอันผู้ไปถึงฝั่งตั้งอยู่แล้วด้วยทำภาวนาให้มั่นคงโดยนัยต่างๆ แห่งสัมมสนญาณดังกล่าวแล้วในลำดับ เห็นแล้วโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ด้วยอุทยัพพยญาณ แล้วพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น พระสารีบุตรจึงแสดงรูปอันเกิดด้วยปัจจัยทั้งหลายตามที่เป็นของตน ด้วยสันตติในบทมีอาทิว่า ชาตํ รูปํ - รูปที่เกิดแล้ว ในนิทเทสแห่ อุทยัพพยานุปัสนาญาณ ดังกล่าวแล้ว.
บทว่า อุทโย ได้แก่ ชาติ คือ ความเกิดเป็นอาการใหม่แห่งรูปที่เกิดแล้วนั้น มีความเกิดเป็นลักษณะ.
บทว่า วโย ได้แก่ ความสิ้นไป ความดับไป มีความแปรปรวน เป็นลักษณะ, การพิจารณาถึงบ่อยๆ ชื่อว่า อนุปัสนา, อธิบายว่า ได้แก่ อุทยัพพยานุปัสนาญาณ. แม้ในเวทนาเป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ไม่แตะต้องชาติชราและมรณะ เพราะความเกิดความเสื่อมอันผู้มีชาติชราและมรณะควรกำหนดถือเอา ไม่แตะต้องชาติชราและมรณะ เพราะไม่มีความเกิดและความเสื่อม แล้วท่านทำไปยาลว่า ชาตํ จกฺขุํ ฯ เปฯ ชาโต ภโว - จักษุเกิดแล้ว... ภพเกิดแล้ว ดังนี้. พระโยคาวจรนั้น เมื่อเห็นความเกิดและความเสื่อมของขันธ์ ๕ อย่างนี้ ย่อมรู้อย่างนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 683
ว่า การรวมเป็นกองก็ดี การสะสมก็ดี ย่อมไม่มีแก่ขันธ์ที่ยังไม่เกิดก่อนแต่ขันธ์เหล่านี้เกิด, ชื่อว่าการมา โดยรวมเป็นกอง โดยความสะสม ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่เกิดขึ้น, ชื่อว่าการไปสู่ทิศน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับ, ชื่อว่าการตั้งลงโดยรวมเป็นกอง โดยสะสม โดยเก็บไว้ในที่แห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับแล้ว. เหมือนนักดีดพิณ เมื่อเขาดีดพิณอยู่ เสียงพิณก็เกิด, มิใช่มีการสะสมไว้ก่อนเกิด, เมื่อเกิดก็ไม่มีการสะสม, การไปสู่ทิศน้อยใหญ่ออกเสียงพิณที่ดับไปก็ไม่มี, ดับแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ไม่สะสมตั้งไว้, ที่แท้แล้วพิณก็ดี นักดีดพิณก็ดี อาศัยความพยายามอันเกิดแต่ความพยายามของลูกผู้ชายไม่มีแล้วยังมีได้, ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ฉันใด, ธรรมมีรูปและไม่มีรูปแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้น ไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ พระโยคาวจรย่อมเห็นด้วยประการฉะนี้แล.
พระสารีบุตรครั้นแสดงการเห็นความเกิดและความเสื่อมโดยสังเขปอย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะแสดงโดยพิสดาร จึงถามถึงจำนวนโดยรวมเป็นกองด้วยบทมีอาทิว่า ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยํ ปสฺสนฺโต กติ ลกฺขณานิ ปสฺสติ - พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดแห่งขันธ์ ๕ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะเท่าไร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดแห่งขันธ์ ๕ จึงแก้ถึงจำนวนโดยรวมเป็นกองด้วยบทมีอาทิว่า ปญฺจวีสติ ลกฺขณานิ ปสฺสติ - ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๒๕ แล้วถาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 684
ถึงจำนวนโดยการจำแนกอีกด้วยบทมีอาทิว่า รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสนฺโต กติ ลกฺขณานิ ปสฺสติ - พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดแห่งรูปขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะเท่าไร แล้วแก้จำนวน โดยการจำแนกด้วยบทมีอาทิว่า รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสนฺโต ปญฺจ ลกฺขณานิ ปสฺสติ - พระโยคาวจร เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดของ รูปขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ แล้วถามถึงการจำแนกลักษณะอีกด้วยบทมีอาทิว่า รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสนฺโต กตมานิ ปญฺจ ลกฺขณานิ ปสฺสติ - เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดแห่งรูปขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะ ๕ เป็นไฉน แล้วจึงได้แก้ต่อไป.
ในบทเหล่านั้นบทว่า อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทฺทโย - เพราะอวิชชาเกิด รูปจึงเกิด ความว่า เมื่อมีอวิชชาดังกล่าวแล้วว่า โมหะในกรรมภพก่อนเป็นอวิชชา ย่อมเกิดรูปในภพนี้. บทว่า ปจฺจยสมุทยฏฺเน ความว่า โดยความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยนี้. อนึ่ง อวิชชา ตัณหา กรรมเป็นปัจจัยในอดีตเป็นเหตุแห่งปฏิสนธิในภพนี้. และเมื่อยึดถือ อวิชชา ตัณหา กรรม ๓ อย่างเหล่านี้ เป็นอันยึดถือสังขารุปาทาน - ความยึดมั่นในสังขารนั่นเอง.
บทว่า อาหารสมุทยา - เพราะอาหารเกิด ได้แก่ เพราะกวฬิงการาหารมีกำลังในปัจจัยอันเป็นไป จึงถือเอาอาหารนั่นแล. ก็เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 685
ถือเอาอาหารนั้นก็เป็นอันถือเอาแม้อุตุและจิตอันเป็นเหตุแห่งความเป็นไปด้วยเหมือนกัน.
บทว่า นิพฺพตฺติลกฺขณํ - มีการบังเกิดเป็นลักษณะ ความว่า ท่านกล่าวถึงความเกิดแห่งรูปด้วยสามารถแห่งอัทธา - กาล สันตติและ ขณะ, อนึ่ง การเกิดนั่นแล ชื่อว่าลักษณะ เพราะเป็นลักษณะแห่งสังขตะ.
บทว่า ปญฺจ ลกฺขณานิ - ลักษณะ ๕ ได้แก่ ลักษณะ ๕ เหล่านี้ คือ อวิชชา ตัณหา กรรม อาหาร และ การบังเกิด. จริงอยู่ แม้ธรรม ๔ มีอวิชชาเป็นต้น ก็ชื่อว่า ลักษณะ เพราะเป็นเครื่องกำหนดความเกิดแห่งรูป. ส่วน นิพฺพตฺติ - การบังเกิดเป็นลักษณะแห่งสังขตะ ชื่อว่า ลักษณะ เพราะเป็นเครื่องกำหนดว่า แม้ความเกิดนั้นก็เป็น สังขตะ.
บทว่า อวิชฺชานิโรธา รูปนิโรโธ - เพราะอวิชชาดับ รูปจึงดับ ความว่า เมื่อดับอวิชชาในภพนี้ เพราะเป็นปัจจัยแห่งภพอนาคตด้วยอรหัตตมรรคญาณ รูปอนาคตย่อมไม่เกิด คือ ดับเพราะไม่มีปัจจัย
บทว่า ปจฺจยนิโรธฏฺเน - ด้วยความดับแห่งปัจจัย คือ ด้วยความที่ปัจจัยดับ. อนึ่ง ในความดับในบทนี้เป็นความดับ อวิชชา ตัณหา และกรรม อันเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอนาคต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 686
บทว่า อาหารนิโรธา รูปนิโรโธ - เพราะอาหารดับ รูปจึงดับ ได้แก่ ความไม่มีรูปอันมีอาหารนั้นเป็นสมุฏฐานย่อมมีได้ ในเพราะความไม่มีกวฬิงการาหาร อันเป็นปัจจัยแห่งความเป็นไป.
บทว่า วิปริณามลกฺขณํ - มีความแปรปรวนเป็นลักษณะ ได้แก่ ความดับแห่งรูปด้วยสามารถ อัทธา - กาล สันตติและขณะ, ความดับนั่นแล ท่านกล่าวว่า เป็นลักษณะ เพราะเป็นลักษณะแห่งสังขตะ.
บทว่า ปญฺจ ลกฺขณานิ - ลักษณะ ๕ ในบทนี้ ได้แก่ ดับ ความไม่มีอวิชชา ตัณหา กรรม และอาหาร ๔, ความแปรปรวน ๑ รวมเป็น ๕. ในเวทนาขันธ์เป็นต้น ก็มีนัยนี้. แต่ต่างกัน คือ การเห็นความเกิดและความเสื่อมแห่งอรูปขันธ์ด้วยสามารถแห่งอัทธา - กาล และสันตติ มิใช่ด้วยขณะ. ผัสสะเป็นปัจจัยแห่งความเป็นไปของเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์, นิโรธเป็นปัจจัยแห่งความเป็นไปของเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ เพราะดับผัสสะนั้น. นามรูปเป็นปัจจัยแห่งความเป็นไปของวิญญาณขันธ์. เพราะดับนามรูปนั้น วิญญาณขันธ์จึงดับแล.
แต่อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า นามรูปไม่แตะต้องการจำแนกอดีต เป็นต้น ในเพราะเห็นความเกิดและความเสื่อมโดยปัจจัย ๔ แล้วเกิดขึ้น ด้วยอวิชชาเป็นต้น ด้วยสามารถความเสมอกันทั้งหมด เพราะเหตุนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 687
จึงถือเอาเหตุสักว่าความเกิดขึ้น มิใช่ความเกิด. เพราะอวิชชาเป็นต้น ดับนามรูปจึงดับ เพราะเหตุนั้นจึงถือเอาเหตุสักว่าความไม่เกิด มิใช่ถือเอาความดับ. นามรูป ได้แก่ พระโยคาวจร ย่อมถือเอาความเกิดความดับแห่งขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุบัน ในเพราะการเห็นความเกิดและความเสื่อมโดยขณะดังนี้.
ผู้เจริญวิปัสสนา เมื่อเจริญวิปัสสนาใส่ใจถึงความเกิดและความเสื่อมโดยความเป็นปัจจัยก่อนแล้วและธรรม ๔ มีอวิชชาเป็นต้น ในขณะเจริญวิปัสสนาถือเอาขันธ์ทั้งหลายที่มีความเกิดและความเสื่อมนั่นแล แล้วจึงเห็นความเกิดและความเสื่อมของขันธ์เหล่านั้น. เมื่อผู้เจริญวิปัสสนาอย่างนี้เห็นความเกิดและความเสื่อมโดยพิสดาร โดยปัจจัย และโดยลักษณะว่า ความเกิดแห่งรูปเป็นต้นอย่างนี้, ความเสื่อมอย่างนี้, รูปเป็นต้นเกิดขึ้นอย่างนี้, เสื่อมไปอย่างนี้ ญาณว่า นัยว่าธรรมเหล่านี้ไม่มี แล้วมี มีแล้วเสื่อมดังนี้ เป็นญาณบริสุทธิ์กว่า. ประเภทของสัจจะปฏิจจสมุปปาทนัย และลักษณะย่อมปรากฏ. พระโยคาวจรนั้น ย่อมเห็นความเกิดขันธ์ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นต้นเกิด และความดับแห่งขันธ์ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นต้นดับ, นี้เป็นการเห็นความเกิดและความดับโดยปัจจัยของพระโยคาวจรนั้น.
อนึ่ง พระโยคาวจร เมื่อเห็นความเกิดเป็นลักษณะ ความแปรปรวนเป็นลักษณะ ชื่อว่าย่อมเห็นความเกิดและความเสื่อมของขันธ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 688
ทั้งหลาย นี้เป็นการเห็นความเกิดและความเสื่อมโดยขณะของพระโยคาวจรนั้น. จริงอยู่ ความเกิดเป็นลักษณะในขณะเกิดนั่นเอง และความแปรปรวนก็เป็นลักษณะในขณะดับ.
สมุทยสัจ ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรด้วยการเห็นความเกิด โดยปัจจัยซึ่งเห็นความเกิดและความเสื่อมโดยส่วนทั้งสอง คือ โดยปัจจัยและโดยขณะของพระโยคาวจรผู้เข้าใจถึงตัณหาให้เกิด. ทุกขสัจย่อมปรากฏด้วยการเห็นความเกิด โดยขณะแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจถึงทุกข์ที่เกิด. นิโรธสัจ ย่อมปรากฏด้วยการเห็นความเสื่อมโดยปัจจัยแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจความไม่เกิดแห่งความมีปัจจัย โดยที่ปัจจัยไม่เกิด. ทุกขสัจ นั่นแลย่อมปรากฏด้วยการเห็นความเสื่อมโดยขณะแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจมรณทุกข์. อนึ่ง การเห็นความเกิดและความเสื่อมของพระโยคาวจรนั้น มรรคสัจ ย่อมปรากฏว่า มรรคนี้ยังเป็นโลกิยะ เพราะกำจัดความหลงในการเห็นความเกิดและความเสื่อมนั้น.
อนึ่ง ปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม ด้วยการเห็นความเกิด โดยปัจจัยย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรนั้น ผู้เข้าใจว่า อิมสฺมึ สติ, อิทํ โหติ (๑) - เมื่อสิ่งนี้มีอยู่, สิ่งนี้ย่อมมี. ปฏิจจสมุปบาทเป็นปฏิโลม ด้วยการเห็นความเสื่อม โดยปัจจัยย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจว่า อิมสฺส
๑. ม. มู. ๑๒/๔๔๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 689
นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ (๑) - เพราะสิ่งนี้ดับ, สิ่งนี้จึงดับ ดังนี้. อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่อาศัยกันเกิดขึ้น ด้วยการเห็นความเกิดและความเสื่อม โดยขณะย่อมปรากฏ ด้วยการเห็นความเกิดและความเสื่อมโดยขณะ แก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจลักษณะแห่งสังขตะ. เพราะสังขตธรรมทั้งหลายมีเกิดและเสื่อม, สังขตธรรมเหล่านั้นอาศัยกันเกิดขึ้น.
อนึ่ง นัย ๔ คือ เอกัตตนัย - นัยแห่งความเป็นอันเดียวกัน ด้วยการเห็นความเกิดโดยปัจจัย ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรนั้นผู้เข้าใจความขาดไปแห่งสันดานด้วยการสัมพันธ์กันด้วยเหตุผล ทีนั้น พระโยคาวจรย่อมละอุจเฉททิฏฐิได้เป็นอย่างดี. นานัตตนัย - นัยแห่งความต่างๆ กัน ด้วยการเห็นความเกิดโดยขณะย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจถึงความเกิดแห่งธรรมใหม่ๆ ทีนั้นพระโยคาวจรย่อมละ สัสสตทิฏฐิได้เป็นอย่างดี. อนึ่ง อัพยาปารนัย - นัยแห่งความไม่ขวนขวาย ด้วยการเห็นความเกิดโดยปัจจัย ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจถึงความที่ธรรมทั้งหลายไม่เป็นไปในอำนาจ ทีนั้นพระโยคาวจรย่อมละอัตทิฏฐิได้เป็นอย่างดี. อนึ่ง เอวังธรรมตานัย - นัยอันเป็นธรรมดาอย่างนี้ ด้วยการเห็นความเกิดโดยปัจจัย ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจความเกิดแห่งผลโดยความสมควรแก่ปัจจัย ทีนั้น พระโยคาวจรย่อมละอกิริยทิฏฐิได้เป็นอย่างดี.
๑. ม. มู. ๑๒/๔๕๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 690
อนึ่ง อนัตลักษณะ ด้วยการเห็นความเกิดโดยปัจจัย ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรนั้น ผู้เข้าใจถึงความประพฤติอันเนื่องด้วยปัจจัย คือไม่มีความเพียรในธรรมทั้งหลาย. อนิจลักษณะ ด้วยการเห็นความเกิดและความเสื่อมโดยปัจจัย ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจถึงความมีแล้วไม่มีและผู้เข้าใจถึงความสงัดจากที่สุดเบื้องต้นและเบื้องปลาย. แม้ทุกขลักษณะ ก็ปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจถึงความบีบคั้น ด้วยความเกิดและความเสื่อม. แม้สภาวลักษณะ ก็ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจถึงการกำหนดความเกิดและความเสื่อม แม้ความเป็นไปชั่วคราวของสังขตลักษณะในสภาวลักษณะ ก็ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้เข้าใจถึงความไม่มีความเสื่อม ในลักษณะแห่งการเกิด และการเกิดในขณะแห่งความเสื่อม.
สังขารทั้งหลายใหม่เป็นนิจ ย่อมปรากฏแก่ประเภทของสัจจะปฏิจจสมุปปาทนัยและลักษณะที่มีความปรากฏแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ที่ยังไม่เคยเกิดก็เกิด ที่เกิดแล้วก็ดับไป ดังนี้. สังขารทั้งหลายมิใช่ใหม่เป็นนิจอย่างเดียว, สังขารทั้งหลายย่อมปรากฏดุจหยาดน้ำค้างในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ดุจฟองน้ำ ดุจรอยไม้ขีดในน้ำ ดุจเมล็ดผักกาดบนปลายเข็ม ดุจฟ้าแลบ ดุจมายา พยับแดด, ความฝัน ลูกไฟ, ล้อรถ, คนธรรพ์, นคร, ต่อมน้ำและต้นกล้วยเป็นต้น หาแก่นสารมิได้ ไม่มีสาระ. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ วิปัสสนาอย่างอ่อนอันชื่อว่าอุท
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 691
ยัพพยานุปัสนาอันพระโยคาวจรนั้นแทงตลอดลักษณะ ๕๐ ถ้วน โดยอาการนี้ว่า ความเสื่อมเป็นธรรมดาย่อมเกิดขึ้น, และพระโยคาวจรย่อมเข้าถึงความเสื่อมที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ ตั้งอยู่เป็นอันบรรลุก่อน, เพราะบรรลุญาณใด พระโยคาวจรย่อมชื่อว่า อารทฺธวิปสฺสโก - ผู้ปรารภวิปัสสนา. วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ มีโอภาสเป็นต้น ย่อมเกิดแก่พระโยคาวจรผู้ตั้งอยู่ในญาณนี้, พระโยคาวจรผู้ไม่ฉลาดเป็นผู้มีความสำคัญในอุปกิเลสที่เกิดขึ้นว่าเป็นมรรคญาณ ย่อมถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นมรรคว่าเป็นมรรค, และเป็นผู้ถูกอุปกิเลสพัวพันให้ยุ่งเหยิง.
ส่วนพระโยคาวจรผู้ฉลาด ยกวิปัสสนาขึ้นในอุปกิเลสเหล่านั้น สะสางความยุ่งเหยิง คือ อุปกิเลสเสีย แล้วกำหนดมรรคคือ ทางและมิใช่มรรคว่า ธรรมเหล่านี้มิใช่มรรค. ส่วนวิปัสสนาญาณที่ปฏิบัติไปตามวิถี พ้นจากอุปกิเลสเป็นมรรค. ญาณที่รู้ว่าเป็นมรรคและมิใช่มรรคของพระโยคาวจรนั้น ตั้งอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง.
ก็และด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันทำความกำหนดสัจจะ ๔ ด้วยญาณนั้น. อย่างไร? เมื่อมีความเข้าใจนามรูปก็เป็นอันทำความกำหนดทุกขสัจด้วยให้กำหนดนามรูป กล่าวคือทิฏฐิวิสุทธิดังกล่าวแล้ว ด้วยคำว่า ธัมมฐิติญาณ เพราะมีความเข้าใจปัจจัย. การกำหนดสมุทยสัจด้วยความเข้าใจปัจจัยอันได้แก่กังขาวิตรณวิสุทธิ, เป็นอันทำความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 692
กำหนดทุกขสัจ ด้วยการเห็นความเกิดและความเสื่อมโดยขณะ ด้วยอุทยัพพยานุปัสนาญาณ, การกำหนดสมุทยสัจ ด้วยการเห็นความเกิดโดยปัจจัย, การกำหนดนิโรธสัจ ด้วยการเห็นความเสื่อมโดยปัจจัย, การเห็นความเกิดและความเสื่อมของพระโยคาวจรผู้เห็นแจ้งใน มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ นี้ โดยกำจัดความหลงในมรรคนั้นว่า นี้คือมรรคเป็นโลกิยะเป็นอันนำความกำหนดมรรคสัจ ด้วยการรับรองมรรคโดยชอบ. ด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นอันท่านทำความกำหนดสัจจะ ๔ ด้วยญาณเป็นโลกิยะ.
จบ อรรถกถาอุทยัพพยญาณนิทเทส