[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 411
สุตตนิบาต
มหาวรรคที่ ๓
สุภาษิตสูตรที่ ๓
ว่าด้วยวาจาเป็นสุภาษิต
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 411
สุภาษิตสูตรที่ ๓
ว่าด้วยวาจาเป็นสุภาษิต
[๓๕๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และวิญญูชนไม่พึงติเตียน องค์ ๔ เป็นไฉน. คือ ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมกล่าวแต่คำที่เป็นสุภาษิต ไม่กล่าวคำที่เป็นทุพภาษิต ๑ ย่อมกล่าวคำที่เป็นธรรม ไม่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม ๑ ย่อมกล่าวแต่คำอันเป็นที่รัก ไม่กล่าวคำอันไม่เป็นที่รัก ย่อมกล่าวแต่คำสัตย์ ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ นี้แลเป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และวิญญูชนไม่พึงติเตียน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
สัตบุรุษทั้งหลาย ได้กล่าวคำอันเป็นสุภาษิตว่าเป็นคำสูงสุด บุคคลพึงกล่าวแต่คำที่เป็นธรรม ไม่พึงกล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 412
ข้อนั้นเป็นที่ ๒ บุคคลพึงกล่าวคำอันเป็นที่รัก ไม่พึงกล่าวคำอันไม่เป็นที่รัก ข้อนั้นเป็นที่ ๓ บุคคลพึงกล่าวคำสัตย์ ไม่พึงกล่าวคำเหลาะแหละ ข้อนั้นเป็นที่ ๔ ดังนี้.
[๓๕๗] ลำดับนั้นแล ท่านพระวังคีสะลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมเทศนา ย่อมแจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต พระธรรมเทศนาย่อมแจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวังคีสะ ธรรมเทศนาจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด.
ลำดับนั้นแล ท่านพระวังคีสะได้ชมเชยด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควร ในที่เฉพาะพระพักตร์ว่า
บุคคลพึงกล่าววาจาอันไม่เป็นเครื่องทำตนให้เดือดร้อน และไม่พึงเบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นเป็นสุภาษิตแท้.
บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก อันชนชื่นชม ไม่ถือเอาคำอันลามก กล่าววาจาอันเป็นที่รักของผู้อื่น.
คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งมั่นแล้วในคำสัตย์ ที่เป็นอรรถและเป็นธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 413
วาจาที่พระพุทธเจ้าตรัส เป็นวาจาเกษม เพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดทุกข์ วาจานั้นแลเป็นวาจาสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย.
จบสุภาษิตสูตรที่ ๓
อรรถกถาสุภาษิตสูตรที่ ๓
สุภาสิตสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าสดับมาแล้วอย่างนี้ ดังนี้.
พระสูตรนี้เกิดขึ้นโดยอัธยาศัยของพระองค์. ด้วยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าวคำน่ารัก. พระองค์ทรงห้ามการกล่าวคำชั่วของสัตว์ทั้งหลาย โดยทรงประกาศคำกล่าวที่เป็นสุภาษิตของพระองค์ จึงได้ตรัสพระสูตรนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้นเป็นคำของพระสังคีติกาจารย์. ในพระสูตร บทว่า ตตฺรโข ภควา ฯเปฯ ภทนฺเตติ เต ภิกฺขุ นี้ ไม่เคยมีมาแล้ว. บทที่เหลือมีนัยดังได้กล่าวแล้วนั่นแล. เพราะฉะนั้น เพื่อพรรณนาบทที่ไม่เคยมีมาแล้วท่านจึงกล่าวคำนี้. บทว่า ตตฺร แสดงถึงเทศะและกาละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงในสมัยที่พระองค์อยู่นั้น และในพระอารามที่เสด็จประทับอยู่นั้น อีกอย่างหนึ่ง ทรงแสดงในเทศะและกาละ อันควรที่จะพึงตรัส. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสธรรมในเทศะหรือในกาละ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 414
อันไม่สมควร ตัวอย่างในข้อนี้มีอาทิว่า อกาโล โข ตาว พาหิย ดูก่อนพาหิยะ ยังไม่ถึงกาละอันควรก่อน ดังนี้. บทว่า โข เป็นนิบาตลงในอรรถ เพียงให้เต็มบท หรือในอรรถแห่งกาลอันเป็นอวธารณะเป็นต้น. บทว่า ภควา แสดงถึงความเคารพของชาวโลก. บทว่า ภิกฺขุ เแสดงถึงบุคคลที่ควรฟังถ้อยคำ. บทว่า อามนฺเตสิ คือ ร้องเรียกกล่าวให้รู้ บทว่า ภิกฺขโว แสดงอาการเรียกหา อนึ่งบทนั้นท่านกล่าว เพราะสำเร็จด้วยคุณมีความเป็นผู้มีปรกติขอเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศถึงความประพฤติที่ชนเลวและชนดีเสพ ของภิกษุเหล่านั้นจึงทรงกระทำการข่มบุคคลผู้ฟุ้งซ่านเป็นคนเลว อนึ่ง ด้วยบทว่า ภิกฺขโว นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเรียกภิกษุเหล่านั้น ให้หันหน้าไปหาพระองค์ด้วยพระดำรัสอันถึงก่อนคือ มุ่งความกรุณาและพระทัยสุภาพเยือกเย็นและดวงพระเนตรตก แล้วให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดความใคร่ที่จะฟังพระดำรัสอันแสดงถึงความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะกล่าวนั้นนั่นแล อนึ่ง ทรงชักชวนภิกษุเหล่านั้นแม้ใส่ใจที่จะฟังด้วยดี ด้วยพระดำรัส ให้ตั้งอยู่ในความตรัสรู้นั้นนั่นเอง. จริงอยู่ การถึงพร้อมด้วยคำสอนอาศัยการใส่ใจเพื่อฟังด้วยดี.
หากถามว่าเมื่อมีเทวดาและมนุษย์แม้อื่นๆ อยู่ เพราะเหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นเล่า. ตอบว่า เพราะภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ใกล้ชิดและเตรียมพร้อมอยู่ทุกเมื่อ. จริงอยู่ พระธรรมเทศนานี้ทั่วไปแก่บริษัททั้งหมดไม่เฉพาะบุคคล. ภิกษุชื่อว่า ผู้ใหญ่ในบริษัทเพราะเกิดก่อน ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ เพราะรู้ตามพระจริยาของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 415
พระศาสดาตั้งแต่ออกบวชและรับคำสอนได้ตลอด ชื่อว่าเป็นผู้ใกล้ชิด เพราะ เมื่อภิกษุเหล่านั้นนั่งในที่นั้นก็นั่งใกล้พระศาสดา ชื่อว่าเตรียมพร้อมทุกเมื่อ เพราะเป็นผู้อยู่ในสำนักของพระศาสดา ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมทั่วไปแก่บริษัททั้งหมด จึงตรัสเรียกภิกษุเท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง ท่านจำแนกไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นด้วยพระดำรัสนี้ว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติตามที่สอน. บทว่า ภทนฺเต นี้ เป็นชื่อของความเคารพ. บทว่า เต ภิกฺขู ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุเหล่าใด ภิกษุเหล่านั้นแลทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระองค์ตรัสเรียก.
บทว่า จตูหิ องฺเคหิ คือแต่เหตุ ๔ หรือด้วยส่วน ๔. เหตุแห่งวาจาสุภาษิต ๔ มีเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น ส่วน ๔ มีพูดจริงเป็นต้น. อนึ่ง อังคศัพท์ใช้ในอรรถว่า เหตุ. บทว่า สมนฺนาคตา คือมาตามเสมอ เป็นไปแล้วและประกอบแล้ว. บทว่า วาจา ได้แก่วาจาที่สนทนากันมาในบทมีอาทิว่า การเปล่งวาจาไพเราะ และการเปล่งวาจาไม่มีโทษ ไพเราะหู, วิญญัตติวาจา (พูดขอร้อง) อย่างนี้ว่า หากท่านทำกรรมด้วยวาจาเป็นต้น. วิรติวาจา (พูดเว้น) อย่างนี้ว่า การงดเว้นจากวจีทุจริต ๔ นี้เรียกว่าสัมมาวาจา (๑) เป็นต้น และเจตนาวาจา (พูดด้วยเจตนา) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายวาจาหยาบที่เสพมาก อบรมแล้วทำให้มากจะยังสัตว์ให้ไปนรก ดังนี้เป็นต้น ย่อมมาด้วยบทว่า วาจา วาจานั้นท่านไม่ประสงค์เอาในสูตรนี้. เพราะเหตุไร เพราะไม่ควรพูด.
บทว่า สุภาสิตา โหติ ได้แก่ กล่าวคำชอบ ด้วยเหตุนั้นท่านแสดงความที่วาจานั้นนำประโยชน์มาให้. บทว่า น ทุพฺภาสิตา ได้แก่ กล่าว
๑. อภิ. วิ. ๓๕/ ข้อ ๑๗๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 416
ไม่ชอบ. ด้วยบทนั้นท่านแสดงความที่วาจานั้นนำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์มาให้. บทว่า อนวชฺชา ได้แก่ เว้นจากโทษมีราคะเป็นต้นที่จัดว่าเป็นโทษ. ด้วยบทนั้นท่านแสดงความที่วาจานั้นบริสุทธิ์ด้วยเหตุ และความที่วาจานั้นไม่มีโทษ อันทำให้ถึงอคติเป็นต้น. บทว่า อนนุวชฺชา จ ได้แก่ เว้นจากการติเตียน. ด้วยบทนั้นท่านแสดงถึงความถึงพร้อมด้วยอาการทั้งหมดของวาจานั้น. บทว่า วิญฺญูนํ ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลาย. ด้วยบทนั้นท่านแสดงว่า ในการนินทาและสรรเสริญ คนพาลเอาเป็นประมาณไม่ได้. บทว่า กตเมหิ จตูหิ เป็นคำถามที่พระองค์มีพระประสงค์จะตอบเอง. บทว่า อิธ คือในศาสนานี้. บทว่า ภิกฺขเว ได้แก่ ร้องเรียกผู้ที่ประสงค์จะกล่าวด้วย. บทว่า ภิกฺขุ ชี้ถึงบุคคลที่จะกล่าวถึง โดยประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า สุภาสิตํเยว ภาสติ ได้แก่ โดยเทศนาเป็นบุคลาธิษฐาน เป็นคำชี้ถึงองค์ใดองค์หนึ่งในองค์ของวาจา ๔. บทว่า โน ทุพฺภาสิตํ ได้แก่ ห้ามการกล่าวทักท้วงองค์ของวาจานั้น. ด้วยบทนั้นย่อมปฏิเสธความเห็นว่า บางครั้งแม้มุสาวาทเป็นต้นก็ควรพูดได้. หรือว่าด้วยบทว่า โน ทุพฺภาสิตํ นี้ ท่านแสดงการละมิจฉาวาจา. บทว่า สุภาสิตํ นี้เป็นลักษณะของคำพูดที่ผู้ละมิจฉาวาจานี้ได้แล้วควรกล่าว เหมือนกล่าวถึง ปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺส อุปสมฺปทํ การไม่ทำความชั่ว การเข้าถึงกุสล. แต่ท่านกล่าวถึงคำที่ไม่ควร กล่าวเพื่อแสดงองค์ ควรกล่าวเฉพาะคำที่ไม่ได้กล่าวมาในบท. แม้ในคำมีอาทิว่า ธมฺมํเยว ก็มีนัยนี้แล. ในสูตรนี้ท่านกล่าวถึงคำที่ทำให้สุภาพเว้นจาก โทษมีส่อเสียดเป็นต้น ด้วยบทนี้ว่า สุภาสิตํเยว ภาสติ โน ทุพฺภาสิตํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 417
กล่าวแต่คำที่เป็นสุภาษิต ไม่กล่าวคำที่เป็นทุพภาษิต. ด้วยบทว่า ธมฺมํเยว ภาสติ โน อธมฺมํ ย่อมกล่าวคำที่เป็นธรรมเท่านั้น ไม่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรมนี้ ท่านกล่าวถึงคำที่เป็นปัญญา ไม่ปราศจากธรรมเว้นจากโทษคือคำเพ้อเจ้อ. ด้วยบททั้งสองนี้ ท่านกล่าวถึงคำน่ารักเป็นสัจจะ เว้นจากคำหยาบ และคำเหลาะแหละ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงองค์เหล่านั้นโดยประจักษ์ จึงทรงสรุปคำนั้นด้วยบทมีอาทิว่า อิเมหิ โข ดังนี้. ส่วนโดยพิสดารในบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ทรงปฏิเสธคำที่พวกอื่นบัญญัติว่า วาจาสุภาษิต ประกอบด้วยส่วนทั้งหลายมีปฏิญญาเป็นต้น ด้วยบทนามเป็นต้น และด้วยการประกอบลิงค์ วจนะ วิภัตติ์ กาล และการกเป็นต้น จากธรรม.
วาจาประกอบด้วยการพูดส่อเสียดเป็นต้น แม้ถึงพร้อมด้วยส่วนเป็นต้น ก็เป็นวาจาทุพภาษิตอยู่นั่นเอง เพราะเป็นวาจาที่นำความฉิบหายมาให้แก่ตนและคนอื่น. วาจาประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้ แม้หากว่านับเนื่องด้วยภาษาของชาวมิลักขะ (คนป่าเถื่อน) หรือนับเนื่องด้วยภาษาของหญิงรับใช้และนักขับร้องแม้ดังนั้นก็เป็นวาจาสุภาษิตได้เหมือนกัน เพราะนำโลกิยสุขและโลกุตรสุข มาให้. เมื่อหญิงรับใช้ผู้ดูแลข้าวกล้าที่ข้างทางในเกาะสีหลขับเพลงขับเกี่ยวด้วยชาติ ชรา พยาธิ และมรณะด้วยภาษาสีหล ภิกษุผู้บำเพ็ญวิปัสสนาประมาณ ๖๐ รูป เดินไปตามทางได้ยินเข้าก็บรรลุพระอรหัต ณ ที่นั้นเอง นี่เป็นตัวอย่าง. อนึ่ง ภิกษุผู้เริ่มวิปัสสนาชื่อติสสะไปใกล้สระปทุม เมื่อหญิงรับใช้เด็ดดอก ปทุมในสระปทุมขับเพลงขับนี้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 418
ปาตผุลฺลํ โกกนทํ สูริยาโลเกน ตชฺชียเต เอวํ มนุสฺสตฺตคตา สตฺตา ชราภิเวเคน มิลายนฺติ
ดอกบัวบานในเวลาเช้า ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาย่อมเหี่ยวแห้ง สัตว์ทั้งหลาย ผู้ถึงความเป็นมนุษย์ก็เหมือนอย่างนั้น ย่อมเหี่ยวแห้งไปด้วยอำนาจของเรา ดังนี้.
ภิกษุนั้นก็บรรลุพระอรหัต.
ในระหว่างพุทธกาล บุรุษผู้หนึ่งมาจากป่าพร้อมด้วยบุตร ๗ คน ได้ ยินเพลงขับของหญิงคนหนึ่งซ้อมข้าวอยู่ว่า
ชราย ปริมทฺทิตํ เอตํ มิลาตจฺฉวิจมฺมนิสฺสิตํ มรเณน ภิชฺชติ เอตํ มจฺจุสฺส ฆสมามิสํ คตํ กิมีนํ อาลยํ เอตํ นานากุณเปน ปูริตํ อสุจิสฺส ภาชนํ เอตํ กทลิกฺขนฺธสมํ อิทํ.
สรีระนี้ถูกชราย่ำยี ผิวหนังเหี่ยวแห้ง ย่อมแตกไปด้วยมรณะ ถึงความเป็นอาหาร และเหยื่อของมัจจุ.
สรีระนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าหนอน เต็มไปด้วยซากศพนานาชนิด สรีระนี้เป็นภาชนะของอสุจิ สรีระนี้ เสมอด้วยต้นกล้วย ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 419
บุรุษนั้นได้บรรลุปัจเจกโพธิญาณ พร้อมกับบุตรทั้งหลาย. อนึ่ง ยังมีตัวอย่างผู้อื่นที่บรรลุอริยภูมิด้วยอุบายเช่นนี้อีก. นั้นยังไม่น่าอัศจรรย์นัก ภิกษุ ๕๐๐ รูปฟังคาถาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฉลาดในอาสยานุสยญาณ (รู้อัธยาศัยของสัตว์) ตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้ ได้บรรลุพระอรหัต. อนึ่ง เทวดา และมนุษย์เหล่าอื่นไม่น้อย ฟังกถาภาษิตประกอบด้วยขันธ์และอายตนะเป็นต้น ได้บรรลุพระอรหัต.
วาจาประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้อย่างนี้ แม้หากว่าเป็นวาจาที่เนื่องด้วยภาษาของพวกมิลักขะ และเนื่องด้วยภาษาของหญิงรับใช้ และนักขับร้อง พึงทราบว่าเป็นวาจาสุภาษิตเหมือนกัน. เพราะเป็นวาจาสุภาษิตนั่นเอง จึงเป็นวาจาไม่มีโทษ และวิญญูชน คือ กุลบุตรผู้ต้องการประโยชน์ ยึดอรรถไม่ยึดพยัญชนะไม่พึงติเตียน.
บทว่า อิทมโวจ ภควา คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสลักษณะของคำเป็นสุภาษิตนี้แล้ว. บทว่า อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา พระสุคตผู้ศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีก ความว่า พระสุคต ตรัสลักษณะนี้แล้ว พระศาสดาได้ตรัสอย่างอื่นต่อไปอีก. พระสังคีติกาจารย์ ครั้นแสดงคาถาที่ควรกล่าวในบัดนี้แล้ว จึงกล่าวบทนี้ทั้งหมด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อปรํ ท่านกล่าวหมายถึงคำเป็นคาถาประพันธ์. คาถาประพันธ์นั้นมีสองอย่าง แสดงถึงประโยชน์อันหมายถึงคนที่มาภายหลัง หรือการไม่ได้ฟัง การได้ฟัง การทรงจำและการทำให้มั่นเป็นต้น และแสดงถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 420
ความวิเศษของประโยชน์ โดยการชี้แจงถึงประโยชน์อันจะให้เกิดความเสียหาย ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อน ดุจในประโยคมีอาทิว่า ปุริสสฺส หิ ชาตสฺส กุารี ชายเต มุเข ขวานเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว. แต่ในที่นี้เป็นคำแสดงถึงประโยชน์อย่างเดียว. ในบทเหล่านั้นบทว่า สนฺโต คือพระพุทธเจ้า เป็นต้น. จริงอยู่ สัตบุรุษเหล่านั้นย่อมกล่าวคำอันเป็นสุภาษิตว่าเป็นคำสูงสุด ประเสริฐสุด. บทว่า ทุติยํ ตติยํ จตุตฺถํ นี้ ท่านกล่าวหมายมุ่งถึงลำดับที่แสดงไว้ก่อนแล้ว.
ก็ในที่สุดแห่งคาถา พระวังคีสเถระ เลื่อมใสสุภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระสังคีติกาจารย์เมื่อแสดงคำที่พระวังคีสเกระทำอาการเลื่อมใส และคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อถโข อายสฺมา ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิภาติ มํ คือพระธรรมเทศนาย่อมแจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์. บทว่า ปฏิภาตุ ตํ คือ พระธรรมเทศนาจงแจ่มแจ้งแก่เธอเถิด. บทว่า สารุปฺปาหิ คือ สมควร. บทว่า อภิตฺถวิ คือ สรรเสริญ. บทว่า น ตาปเย คือไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วยความร้อนใจ. บทว่า น วิหึเสยฺย คือไม่พึงทำลายเบียดเบียนกันและกัน. บทว่า สา เว วาจา คือวาจานั้น เป็นสุภาษิตโดยส่วนเดียว. พระวังคีสเถระชมพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอันไม่ส่อเสียดด้วยเหตุเพียงนี้. บทว่า ปฏินนฺทิตา ได้แก่ มีใจร่าเริงยินดีน่ารัก จนปรากฏออกเฉพาะหน้า. บทว่า ยํ อนาทาย ปาปานิ ปเรสํ ภาสเต ปิยํ บุคคลพึงกล่าววาจาอันเป็นที่รักไม่ถือเอาคำอันลามกของผู้อื่น อธิบายว่า บุคคลเมื่อจะกล่าววาจาใด ย่อมกล่าวคำน่ารักไพเราะด้วยอรรถและพยัญชนะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 421
ไม่ถือเอาคำลามก คือ คำไม่เป็นที่รัก คำน่าเกลียด คำหยาบแก่ผู้อื่น พึงกล่าวแต่วาจาน่ารักอย่างเดียวนั้น. พระวังคีสเถระสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาน่ารักด้วยคาถานี้. บทว่า อมตา ได้แก่ วาจาเช่นอมตะ เพราะไพเราะ. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ คำสัจแลประเสริฐกว่ารสทั้งหลาย.
อีกอย่างหนึ่ง วาจาชื่อว่าเป็นอมตะ เพราะเป็นปัจจัยแห่งอมตะ คือนิพพาน. บทว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ได้แก่ ธรรมคือสัจวาจาเป็นของเก่า เป็นจริยธรรม ปเวณิธรรม. สัจจะนี้แลประพฤติกันมาแต่โบราณ ท่านเหล่านั้นไม่พูดเหลาะแหละ. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺิตา สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่ในสัจจะที่เป็นอรรถและธรรม. ในบทนั้นพึงทราบว่า เพราะตั้งอยู่ในสัจจะนั่นแล จึงชื่อว่าตั้งอยู่ในประโยชน์ตนและผู้อื่น เพราะตั้งอยู่ในประโยชน์นั้นแล จึงชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม. พึงทราบว่า ทั้งสองนั้นเป็นวิเสสนะของสัจจะนั่นเอง. ตั้งอยู่ในสัจจะเป็นเช่นไร คือที่เป็นอรรถและเป็นธรรม. ท่านอธิบายไว้ว่า ทำความพอใจ ชื่อว่าเป็นประโยชน์ เพราะไม่ปราศจากประโยชน์ของผู้อื่น. อนึ่ง ท่านอธิบายไว้ว่า เมื่อมีความพอใจ ย่อมทำสิ่งที่มีความเป็นธรรมอันชื่อว่าธรรม เพราะไม่ปราศจากธรรม ให้สำเร็จ. พระวังคีสเถระสรรเสริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำสัจ ด้วยคาถานี้. บทว่า เขมํ ได้แก่ ไม่มีภัย คือ ไม่มีอันตราย. หากมีคำถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า ให้ถึงการดับกิเลสด้วยการบรรลุพระนิพพาน ทำที่สุดแห่งทุกข์ อธิบายว่า ย่อมเป็นไป เพื่อทำที่สุดทุกข์ในวัฏฏะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 422
บทว่า ยํ พุทฺโธ นิพฺพานปตฺติยา ทุกฺขสฺสนฺตกิริยาย วาจาที่พระพุทธเจ้าตรัส เป็นวาจาเกษมเพื่อบรรลุพระนิพพาน เพื่อทำที่สุดทุกข์ความว่า พระพุทธเจ้าตรัสวาจาเกษมเพราะประกาศทางอันเกษมเพื่อประโยชน์แก่พระนิพพานทั้งสอง. บทว่า สา เว วาจานมุตฺตมา พึงทราบความในคาถานี้อย่างนี้ว่า วาจานั้นเป็นวาจาประเสริฐกว่าวาจาทั้งปวง. พระวังคีสเถระสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาปัญญาด้วยคาถานี้ ยังเทศนาให้จบลงด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต นี้เป็นการพรรณนาบทตามลำดับในพระสูตรนี้. บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสุภาสิตสูตรที่ ๓ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อว่าปรมัตถโชติกา