๑. การเจริญสติปัฏฐานต้องเข้าใจอรรถในพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด เช่น เรื่องกิจ หน้าที่ จำนวนของจิตทุกประเภท รวมทั้งเรื่องภพ ภูมิ ว่ามีกี่ชั้นๆ หรือไม่
๒. ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันในครั้งพุทธกาล ท่านต้องมีความรู้แตกฉานเรื่องอภิธรรม ตามตัวอย่างในข้อ ๑ หรือไม่ ถ้าจะกล่าวว่า เข้าใจลักษณะของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็เพียงพอต่อการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ... ถูกต้องหรือไม่คะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
๑. ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานต้องเข้าใจปรมัตถธรรมอย่างถูกต้องและตรง เพราะอารมณ์ของสติปัฏฐานคือปรมัตถธรรม แต่ไม่ใช่ว่าต้องรู้ทั้งหมด
๒. ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันในสมัยครั้งพุทธกาล ท่านต้องรู้ตัวอภิธรรมจริงๆ ท่านจึงบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าไม่รู้ตัวปรมัตถธรรม สภาวธรรมของปรมัตถ์ ไม่สามารถดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะอริยสัจ ๔ ที่ท่านแทงตลอด ในขณะบรรลุก็เป็นอภิธรรมทั้งสิ้น ที่กล่าวว่า เข้าใจลักษณะของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็เพียงพอต่อการเจริญสติปัฏฐานแล้ว? ยังไม่พอครับ ต้องศึกษาพระธรรมส่วนอื่นๆ ด้วย จึงจะเกื้อกูลต่อการอบรมเจริญปัญญาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อ ๑. การที่เราศึกษาพระอภิธรรมเพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจความเป็นอนัตตา และเป็นเพียงสภาพธัมมะเพื่อเกื้อกูลในการเจริญสติปัฏฐาน จำได้หมด แต่ไม่เข้าใจว่าธรรมอยู่ในขณะนี้ ไม่ชื่อว่าศึกษาอภิธรรมเกื้อกูลสติปัฏฐานเลย เพราะยังไม่เข้าใจอภิธรรม เข้าใจชื่อ แต่ไม่เข้าใจว่า อภิธรรมก็อยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะธรรมอยู่ในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น ความเข้าใจกับความจำจึงต่างกัน การศึกษาอภิธรรมจึงไม่ใช่มุ่งเน้นที่จะให้ไปจำทุกอย่างที่มี แต่ศึกษาด้วยความเข้าใจ (ปัญญา) ว่าอภิธรรมอยู่ในขณะนี้ ที่กล่าวว่า จิตเห็น (จักขุวิญญาณจิต) มีเจตสิกเท่าไหร่ บางท่านจำไม่ได้แต่ศึกษาด้วยความเข้าใจว่า จิตเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงธรรมไม่ใช่เรา การศึกษาพระอภิธรรมอย่างนี้จึงถูกต้อง คือ เกื้อกูลในการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกสภาพธัมมะที่เห็น ขณะที่ระลึกที่เห็น ขณะนั้น มาคิดว่า มีเจตสิกประกอบกี่ดวงไหม ไม่เลย แต่รู้ลักษณะของสภาพธัมมะที่เป็นจิตเห็นจริงๆ นี่แหละคือการศึกษาอภิธรรม ด้วยการรู้ลักษณะจริงๆ แต่ก็อาศัยขั้นการฟังหรืออ่านจากพระอภิธรรมด้วยเข้าใจว่า ธรรมหรืออภิธรรมอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะอ่านในส่วนใดของอภิธรรม ครับ
ข้อ ๒. ความแตกฉานในพระอภิธรรม ก็มี ๒ นัย แตกฉานด้วยการศึกษาเล่าเรียน จำได้มาก อธิบายเหตุผลได้ด้วยความเข้าใจ เป็นต้น กับแตกฉานพระอภิธรรม ด้วยการบรรลุ (ปฏิเวธ) แตกฉานอย่างไร คือ เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธัมมะจริงๆ นั่นก็คือ อภิธรรมนั่นเอง อภิธรรมก็คือสภาพธัมมะที่มีจริงในขณะนี้ ไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่สภาพธัมมะกำลังมี ลักษณะของสภาพธัมมะนั่นแหละ เป็นอภิธรรมเพราะเป็นสิ่งที่มีจริง ดังนั้น พระโสดาบัน หรือผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ย่อมรู้ถึงลักษณะที่แท้จริงของสภาพธัมมะโดยไม่ใช่แค่ศึกษาชื่อ และที่เราจะบัญญัติชื่อขึ้นมาว่า จิตเห็น ก็ต้องมีลักษณะของเขา คือลักษณะเห็นนั่นเอง ดังนั้นตัวจริง (อภิธรรม) ก็คือลักษณะของสภาพธัมมะ ซึ่งพระอริยเจ้า แตกฉานด้วยการบรรลุ และรู้ลักษณะของสภาพธัมมะจริงๆ แตกฉานในปฏิเวธครับ
ส่วนความละเอียดที่เป็นไปในอภิธรรม เช่น ปัจจัยต่างๆ ซึ่งสามารถอธิบายได้นั้น ก็แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคลที่จะมีความเข้าใจในอภิธรรมในเรื่องชื่อมามากน้อย แล้วแต่การสะสมครับ แต่ที่สำคัญ ขอย้ำว่า ต้องรู้จุดประสงค์ในการศึกษาพระอภิธรรมว่าเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ สติปัฏฐานนั่นเอง)
ถ้าจะกล่าวว่าเข้าใจลักษณะของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็เพียงพอต่อการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ... ถูกต้องหรือไม่คะ.
การที่สติปัฏฐานจะเกิดต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายประการ และต้องรู้เหตุที่สติปัฏฐานเกิดคือ ศึกษาเรื่องสภาพธัมมะที่มีจริงในขณะนี้ รวมทั้งอบรมบารมี ๑๐ คือกุศลทุกประการ อันเนื่องมาจากการได้ฟังพระธรรมส่วนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
การศึกษาพระอภิธรรม เพื่อให้เราเข้าถึงปรมัตถธรรรม (ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมที่มีจริง) ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นจิต เจตสิก รูป เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เรายังตัองเป็นผู้ศึกษา และการศึกษาธรรม ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดคือไม่ใช่เราค่ะ
รู้ชื่อหรือเพื่อขัดเกลา
รู้ชื่อ รู้อรรถ คือเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
อนุโมทนาสหายธรรมทุกท่านค่ะ.
อ่านมาก จำเก่ง แต่ไม่เคยระลึกถึงสภาพธรรมตามความเป็นจริง หรือไม่อาศัยพระธรรมเพื่อเปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนดีมากขึ้น การศึกษาอย่างนี้ไม่เกิดประโยชน์เกื้อกูลแม้แต่น้อย เพราะไม่เห็นธรรม และไม่เห็นพระตถาคตครับ
อนุโมทนาด้วยนะ
เคยฟังเทปที่ท่านอาจารย์สุจินต์ถามผู้ฟังว่า ระหว่างเป็นคนดี กับเป็นพระโสดาบัน คุณจะเลือกเป็นอันไหนก่อนค่ะ
การเจริญสติปัฏฐาน คือ การเจริญความเข้าใจในโลกทั้ง ๖
ลักษณะของสภาพธรรมมีจริง และไม่ใช่เรา
ขออนุโมทนาทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ