[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 880
๕. กโปตกชาดก
ว่าด้วยโภคะของมนุษย์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 880
๕. กโปตกชาดก
ว่าด้วยโภคะของมนุษย์
[๘๒๕] บัดนี้ เราเป็นสุข ไม่มีโรค นกพิราบผู้เหมือนหนามในหทัยบินไปแล้ว บัดนี้ เราจักกระทําความยินดีแห่งหทัย เพราะเหตุว่าชิ้นเนื้อและแกงจะทําให้เราเกิดกําลัง.
[๘๒๖] นกยางอะไรนี่มีหงอน ขี้ขโมย เป็นปู่นก โลดเต้นอยู่ แน่ะนกยาง ท่านจงออกมีข้างนอกเสีย กาผู้เป็นสหายของเราดุร้าย.
[๘๒๗] ท่านได้เห็นเรามีขนปีก อันพ่อครัวถอนแล้วทาด้วยน้ำข้าวเช่นนี้ ไม่ควรจะมาหัวเราะเยาะเลย.
[๘๒๘] ท่านอาบดีแล้ว ลูบไล้ดีแล้ว เอิบอิ่มไปด้วยข้าวแลน้ำ และมีแก้วไพฑูรย์อยู่ที่คอได้ไปกชังคละประเทศมาหรือ.
[๘๒๙] เราจะเป็นมิตรหรือมิใช่มิตรของท่านก็ตาม ท่านอย่าได้กล่าวว่า ท่านได้ไปยังกชัง-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 881
คละประเทศมีหรือ เพราะว่าในกชังคละ-ประเทศนั้น ชนทั้งหลายถอนขนของเราออกแล้ว ผูกชิ้นกระเบื้องไว้ที่คอ.
[๘๓๐] แน่ะสหาย ท่านจะประสบสภาพเห็นปานนี้อีก เพราะปกติของท่านเป็นเช่นนั้นอันโภคของพวกมนุษย์ไม่ใช่เป็นของที่นกจะกินได้ง่ายเลย.
จบ กโปตกชาดกที่ ๕
อรรถกถากโปตกชาดกที่ ๕
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุโลภรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า อิทานิโขมฺหิ ดังนี้.
เรื่องภิกษุโลภ ได้ให้พิสดารแล้วโดยเรื่องราวมิใช่น้อยเลย.ส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้โลภจริงหรือ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เธอก็เป็นคนโลภมาแล้ว ก็เพราะความเป็นคนโลภ จึงได้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 882
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกําเนิดนกพิราบอยู่ในกระเช้าที่เขาทําเป็นรังนก ในโรงครัวของท่านพาราณสีเศรษฐี. ครั้งนั้น มีกาตัวหนึ่งอยากได้เนื้อปลา จึงกระทําไมตรีกับนกพิราบนั้น ได้อยู่ในกระเช้ารังนั้นเหมือนกัน. วันหนึ่ง กานั้นเห็นเนื้อปลามากมาย คิดว่าจักกินเนื้อปลานี้ จึงนอนถอนใจอยู่ในกระเช้าที่เป็นรังนั่นแหละ แม้นกพิราบจะกล่าวว่า มาเถอะสหาย พวกเราจักไปหากินกัน ก็กล่าวว่า ฉันมึนเมาเพราะอาหารไม่ย่อย ท่านจงไปเถอะ. เมื่อนกพิราบนั้นไปแล้ว คิดอยู่ว่า เสี้ยนหนามคือศัตรูของเราไปแล้ว บัดนี้ เราจักกินเนื้อปลาได้ตามชอบใจ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
บัดนี้ เราเป็นสุข ไม่มีโรค นกพิราบเป็นเสี้ยนหนามในหทัย บินไปแล้ว บัดนี้เราจักกระทําความยินดีแห่งหทัย เพราะเหตุว่าชิ้นเนื้อและแกงจะทําให้เราเกิดกําลัง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิปฺปติโต แปลว่า ออกไปแล้ว.บทว่า กโปโต ได้แก่ นกพิราบ. บทว่า กาหามิทานิ แปลว่า บัดนี้เราจักกระทํา. บทว่า ตถา หิ มํ มํ สสากํ พเลติ ความว่า เพราะเนื้อและแกงที่เหลือ ย่อมทํากําลังให้แก่เราโดยแท้ อธิบายว่า เนื้อและแกงย่อมทําความอุตสาหะแก่เรา เสมือนจะพูดว่า จงลุกขึ้นกินเถิด.
กานั้น เมื่อพ่อครัวทอดเนื้อปลาแล้วออกไปเช็ดเหงื่อออกจากตัว จึงออกจากกระเช้าแล้วแอบอยู่ในภาชนะใส่เครื่องปรุงอาหารให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 883
มีรส ภาชนะใส่เครื่องเทศ ทําให้เกิดสียงดังกริ้กๆ พ่อครัวจึงมาจับกาถอนขนออกหมด แล้วบดขิงสดกับแป้งและเมล็ดผักกาดขยํากระเทียมเข้ากับเปรียงบูด ทาจนทั่วตัว แล้วเราะกระเบื้องอันหนึ่งเจาะให้ทะลุร้อยด้ายผูกไว้ที่คอกานั้น ใส่มันเข้าไว้ในรังกระเช้าตามเดิม ได้ไปแล้ว. นกพิราบกลับมาเห็นดังนั้น เมื้อจะทําการเยาะเย้ยว่า นี่นกยางอะไรมานอนอยู่ในกระเช้าของสหายเรา ก็สหายของเรานั้นดุร้าย กลับมาแล้วจะพึงฆ่าเจ้าเสีย จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
นี่นกยางอะไรมีหงอน ขี้ขโมยเป็นปู่นกโลดเต้นอยู่ แน่ะนกยาง ท่านจงออกมาข้างนอกเสีย กาผู้เป็นสหายของเราดุร้าย.
คาถานั้น มีเนื้อความได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังแล. กาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
ท่านได้เห็นเรามีขนอันพ่อครัวถอนหมดแล้วทาด้วยแป้งเช่นนี้ ไม่ควรจะหัวเราะเยาะเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลํ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่าปฏิเสธ. บทว่า ชคฺฆิตาเส (๑) แปลว่า หัวเราะ. ท่านกล่าวอธิบายนี้ไว้ว่า บัดนี้ ท่านเห็นเราได้รับทุกข์เช่นนี้ คืออย่างนี้ ไม่ควรจะหัวเราะคือ ท่านอย่ากระทําการหัวเราะเยาะในกาลเช่นนี้.
นกพิราบนั้น กระทําการหัวเราะอยู่นั่นแล จึงกล่าวคาถาที่
(๑) บาลีว่า ชคฺฆิตาเย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 884
๔ อีกว่า :-
ท่านอาบดีแล้ว ลูบไล้ดีแล้ว เอิบอิ่มไปด้วยข้าวและน้ำ และมีแก้วไพฑูรย์อยู่ที่คอได้ไปกชังคละประเทศมาหรือ.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า กณฺเ จ เต เวฬุริโย นี้นกพิราบหมายเอา กระเบื้องนั่นแหละ กล่าวว่า แม้แก้วไพฑูรย์ขอท่านนี้ ก็ประดับอยู่ที่คอ. ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ท่านไม่แสดงแก้วไพฑูรย์นี้แก่เราเลย. ด้วยบทว่า กชงฺคลํ นี้ เมืองพาราณสีเท่านั้นท่านประสงค์เอาว่า กชังคละประเทศ ในที่นี้. นกพิราบถามว่า ท่านออกจากที่นี้ไป ได้ไปยังภายในเมืองมาหรือ?
ลําดับนั้น กาจึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า :-
คนผู้เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูของท่านก็ตามอยู่ได้ไปกชังคละประเทศเลย เพราะในกชังคละประเทศนั้น คนทั้งหลายถอนขนของเราออกแล้วผูกกระเบื้องกลมไว้ที่คอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิฺชานิ ได้แก่ ขนหางทั้งหลายบทว่า ตตฺถ ลายิตฺวา ความว่า ในนครพาราณสีนั้น ชนทั้งหลายถอน. บทว่า วฏฎนํ ได้แก่ กระเบื้อง.
นกพิราบได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 885
แน่ะสหาย ท่านจะประสบสภาพเห็นปานนี้อีก เพราะปกติของท่านเป็นเช่นนี้ธรรมดาของบริโภคของมนุษย์ ไม่เป็นของที่พวกนกจะกินได้ง่ายเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุนปาปชฺชสี ความว่า ท่านจักถึงสภาพเห็นปานนี้แม้อีก เพราะปกติของท่านเห็นปานนี้.
นกพิราบนั้นโอวาทกานั้น ด้วยประการยังนี้แล้วก็ไม่อยู่ในที่นั้น ได้กางปีกบินไปที่อื่นแล้ว. ฝ่ายกาก็ถึงความสิ้นชีวิตอยู่ในที่นั้นนั่นเอง.
พระศาสดา ครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งสี่ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้โลภได้ดํารงอยู่ในอนาคามิผล. กาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้โลภในบัดนี้ ส่วนนกพิราบในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากโปตกชาดกที่ ๕
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ทีฆีติโกสลชาดก
๒. มิคโปตกชาดก
๓. มูสิกชาดก
๔. จุลลธนุคคหชาดก
๕. กโปตกชาดก.
จบ อัฑฒวรรคที่ ๓
รวมวรรคที่มีในปัญจกนิบาตคือ
๑. มณิกุณฑลวรรค
๒.วรรณาโรหวรรค
๓. อัฑฒวรรค
จบ อรรถกถาปัญจกนิบาต