ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในตอนที่แล้ว ข้าพเจ้าได้นำเสนอภาพและความการสนทนาธรรม ที่ เมือง มัณฑเลย์ สำหรับการเดินทางไปประเทศพม่าในครั้งนี้ โดยการเดินทางเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ สิ้นสุดลงที่วัดกุโสดอ (Kuthodaw Temple) ซึ่งเป็นวัดที่มีการจารึกพระไตรปิฎก คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้บนแผ่นศิลาจำนวนทั้งสิ้น ๗๒๙ แผ่น โดยสร้างพระเจดีย์ครอบไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา มีการจารึกเป็นภาษาบาลีด้านหนึ่ง และ อีกด้านหนึ่งเป็นภาษาพม่า ท่านที่สนใจสามารถคลิกชมย้อนหลังได้ที่นี่ครับ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศพม่า ๔ - ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ [มัณฑเลย์]
หลังจากนั้น พวกเราจึงออกเดินทางโดยสายการบินภายในประเทศ ในตอนบ่ายของวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๖ สู่เมืองพุกาม "ดินแดนแห่งเจดีย์หมื่นองค์" ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ข้าพเจ้าชอบที่จะได้เห็นสักครั้ง เมื่อมีโอกาสเยือนประเทศพม่า และ ความปรารถนานั้นก็สำเร็จแล้วในครั้งนี้
เมื่อเดินทางถึงพุกามในราว ๑๗.๓๐ น. ก่อนที่จะถึงเวลารับประทานอาหาร ยังมีเวลาเหลืออยู่ เพราะต้องรอเพื่อนสหายธรรมอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมาเที่ยวบินหลัง เนื่องจากเครื่องบินภายในประเทศมีขนาดเล็ก ไม่สามารถจุคนพอในลำเดียว จึงทำให้กลุ่มแรกที่ข้าพเจ้าโดยสารมาด้วย มีเวลาพอที่จะไปชมพระอาทิตย์ตก ที่ทุ่งพระเจดีย์ เป็นของแถมในวันแรกของเราที่พุกาม
เพื่อเป็นการรอเวลาให้เพื่อนสหายธรรมมารับประทานอาหารพร้อมๆ กัน
ดังที่พี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) ได้กล่าวไว้ใน
ธรรมะจากพม่า 2
ว่าได้ปีนขึ้นบนพระเจดีย์ ที่กำลังซ่อมอยู่ และ ไม่จำว่าชื่อพระเจดีย์อะไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ข้าพเจ้าเองก็เช่นเดียวกัน ที่ไม่ได้ใส่ใจในชื่อพระเจดีย์ หรือแม้ประวัติ จำได้เลาๆ จากที่ได้ยินแว่วๆ ว่าเป็นเจดีย์ทรงมอญที่สวยที่สุด จริงเท็จอย่างไร ท่านที่อยากรู้ก็ต้องไปค้นคว้าเอาเองนะครับ
มัวแต่ตื่นตากับภาพท้องทุ่งพระเจดีย์ ที่เคยใฝ่ฝันที่จะได้มาชม เมื่อได้เห็นภาพตัวอย่างในวันแรกที่มาถึง ก็สาลวนกับการบันทึกภาพความงดงาม หันมาอีกที มองเห็นพี่แดงที่ไต่พระเจดีย์ขึ้นมาด้วย และกำลังยืนยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ทั้งสหายธรรมหลายท่าน น้องๆ หลายคน ก็กำลังสนุกกับการถ่ายภาพ และ ชื่นชมความงามยามพระอาทิตย์ใกล้จะลับทิวเขาที่ไกลออกไปสุดสายตา
เมื่อได้ย้อนกลับมาดูภาพ ก็ทำให้คิดว่า แม้การที่ได้มีโอกาสชมพระอาทิตย์ตก ที่ทุ่งพระเจดียหมื่นองค์นี้ก่อน เป็นของแถมในวันแรก ของการเดินทางมาถึงพุกาม ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้เฉพาะหน้าที่มาถึง โดยไม่เคยคิดมาก่อนเลย เป็นเหตุให้พิจารณาถึงความเป็นอนัตตา และ ในผลของกรรมที่บุคคลได้กระทำไว้ ว่าเมื่อจะให้ผล ก็ให้ผลโดยไม่มีการติดข้องร้องขอแต่ประการใดเลย เหมือนจะมีคนรู้ใจว่าชอบที่จะเห็น จึงจัดให้ชมให้เห็นแบบลดแหลกแจกแถมอย่างเต็มที่ ส่วนที่จะได้มีการคิด พิจารณาธรรมะประการใดบ้าง ในขณะที่เห็น ข้าพเจ้าเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว รู้แต่เพียงในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้อยู่ว่า เกิดปีติขึ้น ในกุศลกรรมที่ได้เคยทำไว้ และ ให้ผลแล้วนั้นด้วยดี อันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เป็นผู้ที่มั่นคงขึ้น ในกรรมและผลของกรรม และ การเป็นผู้ที่มั่นคงขึ้น ที่จะน้อมไปในกุศลทุกประการ บ่อยๆ เนืองๆ
ภิกษุทั้งหลาย "ผู้มีกายกรรมคด วจีกรรมคด มโนกรรมคด ย่อมกระเสือกกระสนไปสู่นรก หรือ เดรัจฉาน ย่อมอุบัติตามกรรมที่ทำ ส่วนผู้ใด มีกายกรรมตรง วจีกรรมตรง มโนกรรมตรง การอุบัติของเขา ย่อมไปสู่สกุล ของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล มีสุขโดยส่วนเดียว สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้รับผลของกรรมดังนี้ "
หลังการได้ชมพระอาทิตย์ (ใกล้) ตก ทางผู้จัด ได้พาทุกคนไปรับประทานอาหารเย็น ที่ร้านอาหาร ที่เป็นลานโล่งกว้าง มีฉากหลังเป็นท้องทุ่งพระเจดีย์ ซึ่งในเวลาย่ำค่ำ แสงที่ทาบขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก จะมีสีสันที่งดงามจับตาอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ก่อนเข้าร้านอาหาร ได้มีการจัดทหารยามรักษาประตูไว้คอยต้อนรับทุกท่าน ด้วยใบหน้าที่ดูขึงขัง จนเกือบทำให้หลายๆ คน หายหิวไปเลยก็เป็นได้ ต้องยืนจดๆ จ้องๆ กันอยู่นาน กว่าจะมีหน่วยกล้าตาย วิ่งผ่านเข้าไปเป็นรายแรกครับ
เมื่อเข้าไปด้านใน ก็ได้เห็นเวทีกลางแจ้งขนาดใหญ่ มีโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ บนเวทีมีเครื่องดนตรีพม่า และ นักร้องสาวเสียงไพเราะ เริ่มทำการขับกล่อม ทำให้รู้สึกได้ถึงความเป็นพม่า ท่ามกลางบรรยากาศ และ กลิ่นอายของทะเลพระเจดีย์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่โดยรอบบริเวณ ได้อย่างดียิ่ง
ต้องขออภัยด้วยนะครับ สำหรับตอนนี้ ที่อาจนำเสนอภาพสันทนาการต่างๆ มากไปหน่อย คิดเสียว่า เป็นของแถม อย่างที่ข้าพเจ้าเองก็ได้รับแถมมา อย่างที่กล่าวในตอนต้นนะครับ ระหว่างการรับประทานอาหาร ก็มีการแสดงต่างๆ ให้ได้ชมมากมายหลายอย่าง แน่นอนว่า ชาวสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ย่อมเป็นผู้ที่เจริญกุศลทุกประการ หลังการแสดงแต่ละชุดจบลง น้องๆ เด็กๆ ที่มาทำการแสดง ก็จะได้รับความเมตาตา จากพี่ป้าน้าอา แจกค่าขนมจนยิ้มแป้นแทบทุกคนครับ
อันดับต่อไป ข้าพเจ้าขอนำความการสนทนาธรรมส่วนหนึ่ง ที่โรงแรมที่พัก ที่พุกาม และ ในตอนหลัง เป็นตอนที่ตัดมาจากการสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ที่ ย่างกุ้ง เพื่อประกอบกับภาพถ่ายที่ได้บันทึกมา เพื่อยังประโยชน์ในแก่ทุกๆ ท่าน ตามควรดังนี้ครับ
อ.กุลวิไล พอดีมีน้องเขามีคำถามว่า "ปัญญา" คือ อะไร? แล้วก็ ปัญญา รู้อะไร? เพราะบางที เราจะสับสน เราอาจจะคิดว่า คนที่เรียนเก่ง คนที่ฉลาด เขามีปัญญา แต่แท้ที่จริงแล้ว อาจารย์นิภัทรคะ
ปัญญา คือ อะไร? แล้วก็ ปัญญานั้น มีลักษณะอย่างไร?
อ.นิภัทร ปัญญา ก็แปลว่า "รู้" ความรู้ ความเข้าใจ เป็นปัญญา ความรู้ความเข้าใจของคนเรา มีตั้งแต่ วิญญาณ รู้แจ้งอารมณ์ แล้วก็สัญญา รู้จำอารมณ์ จำอะไรต่างๆ ได้ แล้วก็ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง ของสภาวธรรม ของสังขารธรรม รวมทั้งวิสังขารธรรมด้วย ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ ทั้งโลกิยะ ที่เป็นโลกิยธรรม และ โลกุตรธรรม
(โรงแรม Raza Gyo Hotel พุกาม)
ที่พุทธศาสนิกชน กล่าวอยู่เสมอ ไม่ว่าทำอะไร คือ "นะโม" ครับ
นะโม ตัสสะ ภควโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
เรากล่าวอยู่เป็นประจำ แทบจะทุกวัน
เราเข้าใจคำนี้ แค่ไหน?
การกล่าว "นะโม"เป็นการกล่าวสรรเสริญ พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยย่อแล้ว มี ๓ คือ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ แล้ว ๓ พระคุณนี้ มีอยู่ใน นะโม ที่เรากล่าว ก็ไปไหว้พระที่ผ่านๆ มา มีใครไม่เคยกล่าวบ้าง? นะโม หรือ สักแต่ไปไหว้เฉยๆ
พระคุณ ที่เรียกว่า พระบริสุทธิคุณ ก็คือ อะระหะโต นะโม แปลว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น อะระหะโต แปลว่า ผู้ห่างไกลจากกิเลส หรือ ดับกิเลส อันเป็นกงกำแห่งสารจักร ที่จะทำให้สัตว์ เวียนว่าย ตาย เกิด อยู่หมดสิ้น หักสะบั้นเลย กิเลสที่เรารู้กันอยู่ว่า ราคะ โทสะ โมหะ อะไรนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตัดกิเลสขาด ไม่เกิดได้อีกเลย จึงทรงพระนามว่า "อะระหะโต" แปลว่า ผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส หรือ เป็นผู้ที่ตัดกิเลสได้เด็ดขาด
"ภควโต" แปลว่า ผู้จำแนกแจกธรรม
จำแนกให้ใครฟัง?
ก็ให้พุทธบริษัท "ฟัง" จำแนกอย่างนี้ ก็เป็นพระมหากรุณาคุณ
ถ้าพระองค์ตรัสรู้ แล้วไม่แสดงธรรม พวกเราก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ไม่สามารถจะรู้ สิ่งที่มีอยู่จริง เป็นจริงได้
"สัมมาสัมพุทธธัสสะ" ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นพระปัญญาคุณ เพราะฉะนั้น "นะโม" นี้ กล่าวที่ไร ก็สรรเสริญพระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดเวลา
แต่ถ้าเรากล่าวอิติปิโสนี่ กล่าวพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ อย่าง ที่เรียกว่า พระพุทธคุณ ๙ แต่ว่า ๙ ประการนี้ ก็อันเดียวกัน สรุปแล้ว ย่อลงมาเหลือ ๓ พระพุทธคุณ ๙ พระธรรมคุณ ๖ พระสังฆคุณ ๓ ที่เราสวดกัน อิติปิโส ภควา ฯ ที่พุทธศาสนิกชนแต่ก่อน ก็สวดกันได้ทุกคน แต่ที่สวดได้ ไม่ได้หมายความว่า "เข้าใจ"
จะให้ดี ต้องเข้าใจ เข้าใจอะไร?
ก็เข้าใจ "คำสอน"
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรีกว่า พระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา แปลตามตัวว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ คำสอนของผู้ที่ตรัสรู้ ท่านสอนอะไร? พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร?
สอน เพื่อให้รู้แจ้ง เห็นจริง ในธรรมที่ควรรู้ ควรเห็น
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ผู้ฟัง ได้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น และ สอนมีเหตุ มีผล ที่ผู้ฟัง สามารถจะตรองตาม เห็นจริงได้
ไม่ใช่สอนลอยๆ ไม่มีเหตุ มีผล
มีเหตุมีผล ที่ผู้ฟัง
สามารถจะตรองตาม ว่าเป็นจริงอย่างนั้น จริงๆ
(พระเจดีย์ชเวสิกอง Shwezigon Pagoda) สถูปทรงพม่าแท้
ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือ ผู้ฟัง สามารถที่จะปฏิบัติ ได้ผลจริง ตามที่พระองค์ทรงแสดงไว้ เป็นอัศจรรย์ จากปุถุชน เป็นอริยบุคคลได้ อัศจรรย์ อย่างพระโกณทัญญะ ก็จากพระโกณทัญญะ ฤาษีธรรมดาๆ ก็เป็นพระอัญญาโกณทัญญะ เป็นพระอริยบุคคลองค์แรก ในพระพุทธศาสนา
ที่เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือ นับถือคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ใช่นับถือแค่ว่า ไปไหว้พระเจดีย์ ไปไหว้โบสถ์ ไปไหว้พระ ไหว้อะไร ที่เราไปไหว้อยู่ ถ้าเข้าใจแล้ว จะให้ประโยชน์
ถ้าเราเข้าใจธรรมะ เราจะได้ประโยชน์ ถ้าไม่เข้าใจ ก็อย่างนั้น ก็อย่างนั้น ธรรมดาๆ (อยู่) เมืองไทยก็ไหว้ มาพม่าก็ไหว้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทุกคนจะได้ประโยชน์ เพราะว่าทุกคนที่มา แน่นอนว่าสนใจในพระธรรม แล้วทุกคน ก็แสดงตน เป็นอุบาสก อุบาสิกา ทั้งนั้น ผู้ชายก็ป็นอุบาสก ผู้หญิงก็เป็นอุบาสิกา แสดงตนมาแล้วทั้งนั้น ทีนี้ รู้ตัวเองหรือเปล่า ว่าอุบาสก คือ อะไร? อุบาสิกา คือ อะไร? ได้ยินแต่เขาพูดว่า อุบาสก บางทีก็เรียกว่า ประสก
อุบาสก แปลว่า ผู้เข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย
แล้วไปนั่งใกล้อย่างไร? ไปนั่งใกล้ๆ พระพุทธหรืออย่างไร? เวลาเข้าไปในโบสถ์ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น หมายความว่า
มีความน้อมใจ เชื่อมั่น แนบแน่นสนิท ในพระรัตนตรัย
พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนะ ก็แปลว่า แก้วอันประเสริฐ รัตนตรัย แก้วอันประเสริฐ ๓ ประการ
อุบาสก เราแสดงตนเข้าไปใกล้ชิด พระธรรมคำสอนของพระองค์
เพื่อจะให้รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนลอยๆ
ท่านไม่ได้สอนให้คนงมงาย
ท่านสอน เพื่อจะให้รู้ และ ดูตัวเองว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น มีอยู่ที่ตัวคนทุกคน พุทธบริษัท หรือ อุบาสก อุบาสิกา มีพระธรรมอยู่ทุกคน แต่ไม่รู้ ต้องไปฟัง ฟังเพื่อที่จะให้มีความรู้ และ ชี้ได้ถูก ว่าพระธรรมที่มีอยู่ในตัวเรานั้น คืออะไร?
เราก็รู้ๆ อยู่แล้วว่า รูปธรรม นามธรรม หรือ จิต เจตสิก รูป ที่เรารู้กันเป็นประจำ จิต เจตสิก ก็เป็นนามธรรม รูป ก็เป็นรูปธรรม แล้วมีอยู่ที่เราทุกคน จิตมีอยู่ที่เราทุกคน เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง วิบากบ้าง
แล้วเราเคยรู้บ้างไหม ว่าเรามีพระธรรมอยู่ที่ตัวเรา? หรือคิดก็คิดไปอย่างนั้น เห็นก็เห็นไปอย่างนั้น ได้ยินก็ได้ยินไปอย่างนั้น
ไม่เคยคิดเลย
นี่เป็นเรื่องขาดทุน อย่างผมนี้ ขาดทุนมาตั้ง ๘๐ กว่าปีแล้ว อายุมากเท่าไหร่ ก็ขาดทุนมากเท่านั้น ผู้ที่อายุยังน้อยอยู่ ถ้าเห็นความสำคัญ
อย่าปล่อยอายุ หรือ เวลานี้ ให้ล่วงไป โดยไม่ได้ประโยชน์ จาก สิ่งที่เราเคารพนับถือ อย่างสูงสุดในชีวิต นะครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ คือ เห็นพระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระบริสุทธิคุณ เห็นพระมหากรุณาคุณ ไม่ได้ทรงแสดงธรรมะ เพื่ออะไรเลย
แต่คนที่ไม่รู้ เป็นสิ่งที่เปรียบได้กับ "ความมืด"
ทำให้เกิดความชั่วร้ายต่างๆ ความไม่สะอาด ความสกปรก เป็นแผลเน่าเหวอะหวะ ขยายกว้างออกไป กว้างออกไป
จะเอายาที่ไหนมารักษา?
ในเมื่อบุคคลนี้ ไม่รู้จักยาเลย
ไม่มีทางที่จะรู้ว่า อะไร ทำให้แผลเหวอะหวะ กลิ่นเหม็นเน่า
หมักหมม ใช้คำว่า หมักหมม แล้วก็ลึกด้วย
จนล้นออกมา
ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง
เพราะฉะนั้น
ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไป ควรจะเป็นอย่างไร?
สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วเข้าใจธรรมะ และ รู้ว่า ธรรมะลึกซึ้งมาก
กว่าจะรู้ได้ เข้าใจได้
เพราะ ขณะที่ไม่ได้ฟัง ก็หลงลืม
ได้ยินแล้ว ก็ต้องลืม เพราะเหตุว่า มีสิ่งอื่นซึ่งปรากฏขณะนั้น ทำให้ลืม สิ่งที่ได้ฟัง แล้วก็ เป็นอย่างนี้ มานานแล้วด้วย
(วัดอนันดา Ananda Temple วัดที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุด)
เมื่อธรรมะ เป็นสิ่งที่รู้ยากอย่างนี้ จะรู้ยากโดยอย่างไร?
ก่อนที่จะไปรู้ เป็นคนดี เพราะมีความเข้าใจแล้ว
ว่าขณะใดก็ตาม จิตเป็นสภาพที่ผ่องแผ้ว
แต่เมื่อมีความไม่รู้ความจริง ของสภาพธรรมะ ก็ทำให้มีความติดข้อง ยึดถือสิ่งที่ปรากฏ อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าสิ่งที่เป็นภายนอก หรือ ภายใน
ทั้งวัน ทั้งคืน ตื่นมา ก็เป็นอย่างนี้ วันแล้ว วันเล่า
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะได้รู้ความจริง
ต้องรู้ว่า อกุศลใดๆ ทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะ แม้กำลังฟัง ก็จะทำให้เข้าใจได้ชัดเจน
เพราะว่า เบื่อหรือยัง? หรือว่า ขณะนี้ คิดเรื่องอื่นหรือเปล่า? ตามเหตุ ตามปัจจัย
เพราะฉะนั้นแล้ว ก็ได้สาระ คือ รู้ว่า
ทั้งหมด เป็นการสะสมของธรรมะ ฝ่ายอกุศล
เพราะฉะนั้น ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะมีอกุศล เพิ่มขึ้นๆ
จนกระทั่ง ธรรมะฝ่ายดี ไม่มี
เพราะฉะนั้น จะไปรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ได้อย่างไร?
แต่ว่า ธรรมะฝ่ายไม่ดี ละเอียดมาก แล้วก็ปรากฏให้รู้ได้ เพียงเล็กน้อย
เมื่อมีความเข้าใจถูกต้องอย่างนี้จริงๆ
จะละเลย การทำดี แม้เพียงเล็กน้อยไหม?
ลองคิดดู เพราะว่า ถ้าปราศจากความดี อกุศลทั้งหลาย เพิ่มขึ้นอีก เพิ่มขึ้นอีก เพิ่มขึ้นอีก
แล้วก็ฟังธรรมะ นิดๆ หน่อยๆ ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง
อย่างวันนี้ เราจะได้ฟัง กี่ชั่วโมง?
ลองคิดถึงชั่วโมง นาที ที่ไม่ได้ฟัง (อกุศล) เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าไหร่?
เพราะฉะนั้น หนทางเดียว คือ เกิดมาแล้ว ยังไม่สามารถเข้าใจธรรมะได้ เพราะว่าอกุศลมาก ก็
ทำความดี เพื่อที่จะละโอกาส หรือ เวลา ที่อกุศลจะเกิดทับถม
(วัดกุบยางจี และ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามที่สุดในพุกาม ในวิหารธรรมยันจี)
ที่สำคัญที่สุด
ทุกคนขาดความละเอียด
แล้วก็คิดว่า ชั่วร้ายๆ ไม่ควรจะมี และ คิดว่า ดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เห็นต้องทำ นี่คือ ผู้ที่ประมาทอย่างยิ่ง
ที่ไม่เห็นโทษภัย แม้อกุศลเพียงเล็กน้อย และ ประโยชน์ของกุศล แม้เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ไม่รู้จะตายเดี๋ยวนี้หรือเปล่า? ถ้ามีโอกาสจะทำความดี แต่ก่อนนี้ ไม่คิดเลย เดี๋ยวนี้ก็ละเอียดขึ้น มองซ้าย มองขวา อะไรที่จะเป็นความดีก็ทำ
เพื่อสะสมคุณความดี เพื่ออกุศลขณะนั้นจะไม่เกิด
เพราะฉะนั้น นี่คือ ชีวิตที่เหลือต่อไป สำหรับทุกคน
ที่จะรู้ว่า สิ่งที่ต้องการมากๆ เอาไปได้หรือเปล่า? แม้แต่ร่างกาย ซึ่งยึดมั่นยิ่งกว่าอย่างอื่น รักที่สุด ยิ่งกว่าอย่างอื่น ว่าเป็นของเรา ก็ยังต้องทิ้งอยู่ เน่าเปื่อย กระดุกกระดิก เคลื่อนไหวไม่ได้ ลืมตาก็ไม่ได้
ถ้าปราศจากจิต รูปก็คือ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น ถึงจะมีจิต หรือ ไม่มีจิต
ความจริง ต้องเป็นความจริง
คือ รูปมีลักษณะแต่ละรูปต่างกันไป แต่ว่า รูปทุกรูป ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้น วันนี้ ก็ได้ยินหลายคำ ทีละคำ จิต เจตสิก รูป แม้แต่ "จิต" คำเดียว ก็มีความหมายหลายอย่าง เช่น ปัณฑระ ถ้ารู้จิต ต้องรู้ว่าจิต ไม่ใช่เจตสิก
เพราะฉะนั้น ใครจะไปพูดถึง จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เข้าใจจิตหรือเปล่า?
ขณะนั้น กำลังเข้าใจ ลักษณะของจิต หรือ เพียงแต่ "คิด" ชื่อจิต นี่ก็แสดงความต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง
"ปัญญา" ไม่ใช่เรา
สามารถที่จะฟัง ไตร่ตรอง เข้าใจ แล้วก็ ธรรมะ ไม่ใช่สำหรับ "คิดเอง"
แต่ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ
เพราะว่า แม้ขณะที่กำลังฟัง บางคนก็ถาม
แล้วขณะนี้ พิจารณาหรือเปล่า?
อะไรล่ะคะ? ยังไม่ได้พูดถึงคำนี้เลย พูดถึง จิต เจตสิก รูป รูปไม่สามารถที่จะฟัง ไม่สามารถที่จะได้ยิน ไม่สามารถที่จะพิจารณา ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น สภาพที่สามารถเข้าใจได้ ต้องเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต จิต เป็นแต่เพียงสภาพรู้ และ ขณะที่ก่อนจะเข้าใจ หรือ ขณะที่ฟังเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ก็คือ จิต และ เจตสิก
(วัดมนุหา Manuha Temple วัดที่ชื่อว่า อึดอัดที่สุด)
แล้วยังไม่รู้ เจตสิกแต่ละหนึ่งเลย ถามหาแล้ว
มีการพิจารณาหรือเปล่า?
คิดเองทำไม? คิดแล้วก็ยุ่ง
แล้วก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแต่ละหนึ่งของธรรมะ
แต่เริ่ม ส่ายไปหา ด้วยความต้องการ
แม้ "ชื่อ" แม้แต่คำว่า "พิจารณา" คือ อะไร? นี่ก็เริ่มคิดเองแล้ว
แต่ถ้าฟังต่อไป จะพ้นเจตสิกได้ไหม? เพราะเหตุว่า "จิต" เป็นแต่เพียงธาตุรู้ ที่เกิดขึ้น แล้วก็เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ สิ่งที่ปรากฏ และ เจตสิกแต่ละหนึ่ง ก็ทำหน้าที่ของเจตสิกแต่ละหนึ่ง
ฟังเท่านี้ เริ่มอีกแล้ว แล้วเจตสิกอะไร?
คิดเอาเก่งมาก
จะรู้ไปทำไม? ชื่อต่างๆ
สามารถที่จะรู้จัก สภาพธรรมะนั้นหรือ?
หรือว่า เพียงแต่แค่ ได้ยินชื่อ
นี่ก็เป็นการที่ทำให้แต่ละคน ได้รับประโยชน์น้อย จากการฟัง
แล้ว "คิดเอง"
แต่ถ้าฟังแล้ว ฟังอีก
เข้าใจแต่ละคำ
ซึ่งพระมหากรุณา ทรงแสดงความต่าง แม้สภาพของจิตขณะนี้ โดยคำว่า อุปัตติ และ นิพัตติ สองคำ แต่ความหมายก็มากแล้ว เพราะฉะนั้น ก็คือว่า
อย่าไปอยากรู้ คำที่เพียงได้ยิน แผ่วๆ แว่วๆ
แล้วอยากรู้ว่า คือ อะไร?
แต่ความเข้าใจ ต้องตามลำดับจริงๆ
แล้วก็เป็นผู้ที่อดทน
บารมีหนึ่ง ที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงได้
คือ ความอดทน
เพราะรู้ว่า ยากที่จะรู้ได้
ถ้าใครบอกว่า พระธรรมง่าย
คัดค้านพระไตรปิฎก
ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่รู้คำว่า ตรัสรู้ คือ อะไร
และ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น ก็คือว่า เป็นผู้ที่เป็นสาวก
ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ
"เพื่อเข้าใจ"
เพราะว่า สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังทั้งหมด มากมาย แต่ไม่เข้าใจจริงๆ แม้เพียงคำที่ได้ยิน เราลาจากโลกนี้ไป ก็เป็นแต่เพียงชื่อในภาษาหนึ่ง ซึ่งเราใช้ภาษานี้ ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่
ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 454
เพราะเหตุว่า เราอาจจะเคยพูดภาษาอื่นมาแล้วทั้งนั้น ภาษามคธี ภาษาอะไรก็แล้วแต่ จำได้ไหม? ใครพูดภาษามคธี ภาษาบาลี ภาษามคธ ได้บ้าง? ใครเคยเกิดเป็นอะไร? จำได้ไหม? ลองพูดมาสิ ก็พูดได้แต่เฉพาะคำที่ได้ยินตั้งแต่เกิด คุ้นเคยตั้งแต่เกิด เริ่มฟัง เริ่มจำ เสียงสูงๆ ต่ำๆ พร้อมทั้งความหมาย แล้วก็พูดได้ แต่เฉพาะภาษานั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าได้ฟังคำ ในภาษาใด
แต่ไม่เข้าใจสภาพธรรมะ
ก็เป็นโมฆะไปหมด
(พระเจดีย์ชเวซานดอว์ พุกาม)
ความมืด คือ ความไม่รู้
เดี๋ยวนี้ รู้หรือเปล่า?
ขณะใดที่รู้ ขณะนั้น ไม่มืด
แต่จะสว่างแค่ไหน?
ขณะใดที่ไม่รู้เลย ขณะนั้น มืดเพราะอวิชชา
แม้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะที่เห็น ว่าเป็นเพียง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ลืมเมื่อไหร่ คือ ไม่ได้สะสม ความเข้าใจธรรมะ
สำหรับชาติต่อๆ ไป
ที่จะเริ่มคลาย เพราะเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งดูเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง ในขณะที่เห็น เพียงปรากฏให้เห็น แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก
ถ้าพระโพธิสัตว์ ไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ มาทีละเล็ก ทีละน้อย ในแต่ละชาติ
ไม่สามารถที่จะ สละความติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ
ที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เพียงหลับตา จะติดข้องในอะไร? มีใครหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น ที่ว่า เป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ก็เพราะเห็นบ่อยๆ แล้วก็จำได้ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร? เพราะว่า เด็กแรกเกิด ไม่มีทางที่จะรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นอะไร? แต่ในความติดข้องแล้ว
ใครก็ตาม ที่เกิด เพราะความยังมีความไม่รู้
เกิดมาก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร
แล้วก็ไม่รู้ สะสมเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมกับกิเลส ที่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
กิเลส เป็นความไม่รู้
จึงมืด
เพราะฉะนั้น ขณะที่รู้ความจริง แม้ในความมืด ความมืดสนิท จิตเกิด จิตสว่างไม่ได้ ขณะนั้น ไม่เห็น เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เกิดขึ้น ในความมืด ปัญญาสามารถรู้ว่า นี่คือ ธาตุ ที่ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง
ขณะนั้น สว่างด้วยปัญญา
ปัญญาเกิดเมื่อไหร่ ก็มีความรู้ ความเข้าใจถูก
ทีละเล็ก ทีละน้อย
แต่ถ้าที่นี่ ดูสว่าง หรือว่า พระอาทิตย์เกิดถูกเบียดเบียน ราหู เมฆบัง หรืออะไรก็ตามแต่ ที่แสงสว่างไม่ปรากฏ คิดว่า ขณะนั้น มืด
แต่ มืดยิ่งกว่านั้น ก็คือ อวิชชา ความไม่รู้
" ... ชีวิตของแต่ละท่านก็ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้ก่อนจะถึงวัยนี้ ก็ไม่รู้ว่าถึงวัยนี้ในลักษณะใดสำหรับพรุ่งนี้ก็มืดสนิท ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดบ้างแน่นอน
ถ้าศึกษาพระธรรมก็จะเริ่มเข้าใจทุกอย่างตรงตามความเป็นจริง
รู้เหตุของความทุกข์ สุข จนกระทั่งสามารถที่จะดับเหตุของความทุกข์ สุขนั้น ได้ตามพระธรรม นี่คือ..ประโยชน์ของการฟังพระธรรม แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ... "
(คัดจาก ธรรมทัศนะ - ธรรมเตือนใจ)
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาบุญค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ด้วยครับ
ภาพถ่ายช่างงดงาม และธรรมะช่างไพเราะ เข้ากันดีจริงๆ ครับ
ผมขออนุญาตแชร์ภาพถ่ายของคุณวันชัยกับเพื่อนๆ นะครับ
ขอบพระคุณมาล่วงหน้านะครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เรียนท่านผู้ร่วมเดินทาง
ภาพที่ข้าพเจ้าถ่ายไว้และได้นำมาเผยแพร่ มีจุดประสงค์เพียงประการเดียว
คือ เพื่อประกอบการเผยแพร่พระธรรม
เพื่อความน้อมไปในความเข้าใจพระธรรมของทุกท่าน โดยส่วนเดียว
การใดที่บุคคลใดจักได้ประโยชน์ซึ่งภาพเหล่านั้น เพื่อความศรัทธาและความเข้าใจ
ในพระศาสนา คือ คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้าพเจ้ายินดีและขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกันครับ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
คราวหลังถ้าคุณวันชัยร่วมเดินทางไปด้วย พี่ ๒ คน จะไม่ถ่ายภาพเองแล้ว เพราะเมื่อได้ชมความงามของภาพฝีมือน้องวันชัย ของพี่เหมือนกับเด็กหัดถ่ายจริงๆ และขอบคุณที่เลือกภาพประกอบเรื่องที่เขียนได้อย่างเหมาะเจาะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ