มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
ต่างคนต่างตอบ ผู้มีปัญญาเท่านั้น มีชีวิตอยู่เพื่อความรู้ปรากฏ รู้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้จริงๆ เพราะไม่รู้ตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ เห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ผู้มีปัญญาจึงสามารถเข้าถึงมีชีวิตอยู่เพื่อความรู้ปรากฏ มีชีวิตเพื่อเข้าใจธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ความรู้จะปรากฏตามลำดับขั้นของความเข้าใจนั้น
อ่านข้อความเตือนสติ ทั้งหมดจากเทวตา สูตร..ข้อความเตือนสติเรื่องเทวตาสูตร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณ wittawat ด้วยครับ
ใครตอบปัญหาให้ได้บ้างว่า ถ้าคนเรามีความทุกข์แล้วหาทางออกไม่เจอ ต้องทำไง ควรปรึกษาใครดีที่จะให้ตำตอบกับเราได้
ขออนุโมทนา ครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
ตัวเองย่อมเข้าใจปัญหาที่สุดครับ โดยเริ่มเข้าใจว่า ทุกข์ทีเ่กิดขึ้นนั้นเกิดจากอะไร สาเหตุจากอะไร เช่น อาจจะเป็นเรื่องการงาน ความรัก สิ่งต่างๆ ที่ทำให้ทุกข์เกิดขึ้นเหล่านี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทบทวน และเมื่อเข้าใจปัญหา คือ ทุกข์ว่าเกิดจากอะไร ก็คิดใหม่ คือ คิดถูก คิดดี และคิดมีประโยชน์ หมายความว่า คิดถูก คือ คิดถูกต้องตามความเป็นจริงที่เป็นสัจจะธรรม คือ คิดโดยความเป็นธรรมดาที่บังคับบัญชาเหตุการณ์หรือตัวเองและบุคคลต่างๆ ไมไ่ด้เลย มีเหตุก็ต้องเกิดเรื่องอย่างนั้น และก็มีเหตุที่ต้องทุกข์ นี่คือ คิดถูก คิดถูกต้อง คิดดี คิดถูกต้องแล้วด้วยจิตที่เป็นกุศล ไม่ว่าจะทุกข์เพราะใคร ทุกข์เพราะผู้อื่น ถ้าเข้าใจก็คิดดี คิดด้วยเมตตา หวังดี เป็นต้น คิดมีประโยชน์ คือ มีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น คือ ช่วยเหลือเกื้อกูล คิดทำดี ทำกุศลเป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นครับ
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องบังคับไม่ให้ทุกข์หรือให้ทุกข์คลายลง แต่เข้าใจทุกข์ทีเ่กิดแล้วตามความเป็นจริง และค่อยๆ คิดพิจารณาถูกต้อง โดยอาศัยการฟังพระธรรมของพระพุทะเจ้า แม้ตอนนี้จะไม่หายทุกข์เลย แต่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความเข้าใจใหม่ว่าทุกข์เกิดจากอะไร และเมื่อเข้าใจแล้วก็ใช้เวลาที่กำลังทุกข์อยู่บ้าง ทำความดีตามโอกาส ฆ่าเวลาไปกับสิ่งที่ดี และอบรมปัญญาโดยการฟังธรรมอันเป็นวิธีแก้ทุกข์ที่แท้จริง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียน ความคิดเห็นที่ ๓ เพิ่มเติม ครับ
ตามความเป็นจริงแล้ว ตราบใดที่ยังมีการเกิด อันสืบเนื่องมาจากเหตุ คือ กิเลส นั้น ก็ยังไม่พ้นไปจากทุกข์ ทั้งทุกข์ทางกาย (ทุกขเวทนาทางกาย อันเป็นผลของอกุศลกรรม) และ ทุกข์ทางใจ (ทุกข์เพราะกิเลส) เพราะผู้ที่พ้นจากทุกข์ใจ มีเพียงบุคคลประเภทเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์ แต่สำหรับพระอรหันต์ ก่อนที่ท่านจะดับขันธปรินิพพาน ยังมีโอกาสได้รับทุกข์ทางกายได้ เมื่ออกุศลกรรมให้ผล แต่ท่านไม่มีทุกข์เพราะกิเลสอีกเลย
ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีความทุกข์ ความเดือดร้อนสักเท่าใด สำหรับผู้ที่มีความมั่นคงในกุศลธรรมแล้ว ก็ย่อมจะกระทำกุศลกรรม สะสมสิ่งที่ดีต่อไป ซึ่งจะแตกต่างจากผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม มีทุกข์แล้ว ย่อมมีแต่จะเป็นทุกข์หนักเข้าไปอีก กระทำในสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ มากมาย สร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง
เพราะฉะนั้น ก็ยังเป็นโอกาสที่ดียิ่ง สำหรับผู้ที่เมื่อตนเองมีทุกข์แล้ว ยังมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป ซึ่งมีเป็นส่วนน้อยมากทีเดียว ที่มีศรัทธาเห็นประโยชน์ที่จะฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเ้จ้าทรงแสดง และประการที่สำคัญ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม นี้เอง จะเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดีซึ่งเป็นเสมือนผู้คอยบอกกับตนเองอยู่เสมอว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรงดเว้น เป็นต้น "มีชีวิตอยู่เพื่อสะสมความดี และฟังพระธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้น" ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ธรรมะย่อมชนะสิ่งทั้งปวง
การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความไม่ประมาท
พระธรรมเท่านั้นที่ให้คำตอบและทางออกเสมอ การมีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ เพื่อเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลยไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ...
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
ปัญญาเป็นเหตุถึงที่สุดในโลกนี้ได้ [มัชฌิมนิกาย]
เหตุให้เกิดทุกข์และสุข [ปฐมสุขสูตร]
ทุกข์ใจไปกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลของ อ.คำปั่น และ คุณ paderm ด้วยค่ะ...