ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 648
๗. ทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยคนติดลาภสักการะเหมือนถูกแทงด้วยลูกศร
[๕๕๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันเกษม จากโยคะ ซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า
[๕๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะไรแทงใครด้วยลูกศรคือทิฏฐิ ลาภสักการะและความสรรเสริญ ย่อมตามถึงพระเสขะผู้ยังไม่บรรลุอรหัตตผล
คำว่า "ลูกศร" นี้ เป็นชื่อของลาภสักการะและความสรรเสริญ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทารุณ ฯลฯ อย่างนี้แล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ
จบทิฏฐิสูตรที่ ๗
๘. สิคาลสูตร
ว่าด้วยคนติดลาภสักการะเหมือนสุนัขจิ้งจอกแก่
[๕๕๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ ซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า.
[๕๕๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นสุนัขจิ้งจอกแก่ ซึ่งอยู่ในกลางคืนตลอดถึงเช้าตรู่หรือหนอ
ภิ. เห็น พระเจ้าข้า
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้นเป็นโรคอุกกัณณกะ [โรคเรื้อน] อยู่บนบกก็ไม่สบาย อยู่โคนไม้ก็ไม่สบาย อยู่ในที่แจ้งก็ไม่สบาย เดิน ยืน นั่ง นอนในที่ใดๆ ก็ไม่สบาย เป็นทุกข์ในที่นั้นๆ
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน อันลาภสักการะและ ความสรรเสริญครอบงำย่ำยีจิตแล้ว อยู่ในที่เรือนว่างก็ไม่สบาย อยู่ที่โคน ไม้ก็ไม่สบาย อยู่ในที่แจ้งก็ไม่สบาย เดิน ยืน นั่ง นอนในที่ใดๆ ก็ไม่สบาย เป็นทุกข์ในที่นั้นๆ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและ ความสรรเสริญ ทารุณ ฯลฯ อย่างนี้แล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ แหละ.
จบสิคาลสูตรที่ ๘
๑๐. สคัยหกสูตร
ว่าด้วยคนติดลาภสักการะตายไปตกอบายเป็นต้น
[๕๕๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า
[๕๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็นคนบางคนในโลกนี้ อัน สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เพราะกายแตกทำลาย ต้อง เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก อนึ่ง เราเห็นคนบางคนในโลกนี้ อันความเสื่อมสักการะครอบงำย่ำยีจิต เมื่อตายไป เพราะกายแตกทำลาย ต้องเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เราเห็นคนบางตนในโลกนี้ อัน สักการะและความเสื่อมสักการะทั้งสองอย่างครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เพราะกายแตกทำลาย ต้องเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทารุณ ฯ ล ฯ เธอทั้งหลาย พึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
[๕๕๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสคำไวยากรณภาษิตนี้แล้ว ได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า สมาธิของผู้ใดที่เขาสักการะอยู่ด้วยผลสมาธิ หาประมาณมิได้ไม่หวั่นไหว้ด้วยสักการะและความ เสื่อมสักการะผู้นั้นเพ่งอยู่ทำความเพียรเป็นไป ติดต่อเห็นแจ้งด้วยทิฏฐิอย่างละเอียดยินดีในพระ นิพพานเป็นที่สิ้นอุปาทานบัณฑิตทั้งหลายเรียกว่า สัปปุรุษดังนี้
จบสคัยหกสูตรที่ ๑๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำว่า ลาภ สักการะ หมายถึง การได้มาซึ่งวัตถุสิ่งของและความเคารพนับถือบูชาจากบุคคลอื่น ส่วนคำว่า สรรเสริญหมายถึงการกล่าวยกย่อง ชื่นชมหรือชื่อเสียงที่ได้รับ ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเป็นผู้กระทำให้เลย เนื่องจากว่ามีเหตุที่ดี คือ กุศลกรรมที่ได้กระทำมาแล้วในอดีต เมื่อถึงคราวที่กรรมดีให้ผล จึงทำให้ได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ทั้งลาภ สักการะ และ ความสรรเสริญ แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ก็ไม่สามารถทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดหมดจดจากกิเลสได้
สำหรับผู้ที่หลงระเริงมัวเมา มีแต่จะทำให้ติดข้องยินดีพอใจมากขึ้น เป็นการเพิ่มกิเลสให้กับตนเองอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์เลยแม้แต่น้อย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงโทษของลาภ สักการะ และความสรรเสริญไว้อย่างมากมาย ว่าเป็นของทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายต่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม (ตามข้อความในพระไตรปิฎกที่คุณหมอได้ยกมา) เพราะ เมื่อความติดข้องในลาภ สักการะ สรรเสริญ ครอบงำย่ำยีจิตของผู้ใด ก็ย่อมนำซึ่งทุกข์ภัย และความเดือดร้อนต่างๆ มาให้แก่บุคคลนั้นกล่าวคือ ขณะที่ติดข้องในลาภ สักการะ สรรเสริญ ก็เป็นอกุศล ทำร้ายจิตใจของตนเองแล้วในขณะที่อกุศลเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลย เมื่อความติดข้องต้องการนั้นมีมากขึ้น สะสมมากยิ่งขึ้น เป็นความหลงระเริง มัวเมา ก็เป็นเหตุให้มีความกระด้างถือตัว สำคัญตน ซึ่งจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมประการอื่นๆ เกิดมากยิ่งขึ้น เป็นผู้เต็มไปด้วยอกุศล และ อาจถึงขั้นที่จะกระทำทุจริตกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการก็เป็นได้ และ เมื่อเสื่อมจากลาภ สักการะ สรรเสริญแล้ว ย่อมมีความเดือดร้อนใจ ทุกข์ใจ หวั่นไหวไปด้วยอำนาจของอกุศล เป็นผู้ขาดที่พึ่ง คือ ปัญญาอย่างสิ้นเชิง
ลาภ สักการะ และ ความสรรเสริญ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งอกุศลธรรมมากมาย ที่ร้ายที่สุด คือ เป็นอันตรายต่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ทำให้ปัญญาไม่เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน มีแต่จะทำให้จมลึกลงไปในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะข้ามพ้นไปได้ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา เกื้อกูลให้ผู้ฟังผู้ศึกษา เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาและกุศลธรรมประการต่างๆ แม้แต่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่เพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญหรือเพื่อเก่ง แต่เพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ ดังนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาในชีวิตประจำวันเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ครับ
... ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และทุกๆ ท่าน ด้วยครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันเกษม จากโยคะ ซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า.
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอเพิ่มสมบัติฯ อาจารย์คำปั่นฯ และทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่นคุณแก่นไม้หอมคุณผู้ร่วมเดินทาง และ ทุกท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอและอาจารย์คำปั่น และทุกๆ ท่านครับ
แม้แต่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่เพื่อลาภ สักการะสรรเสริญหรือเพื่อเก่ง แต่เพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ
กราบอนุโมทนาอาจารย์และทุกๆ ท่าน
ขอบพระคุณอย่างสูง เดี๋ยวนี้ตามเวปต่างๆ จะอวดรู้กันมากค่ะ เข้าไปอ่านแล้วหา ความเข้าใจไม่เจอ เจอแต่คำพูดแบบกวนๆ สนุกๆ จนไม่เหลือความเป็นธรรมะอยู่เลย คงเป็นความหลงผิดคิดว่าเป็นจุดเด่นให้คนชอบตนเอง และถ้าใครเข้าใจธรรมะดีถูกต้อง ก็จะคอยโต้แย้งธรรมะผู้อื่นอย่างขาดความเข้าใจค่ะ แม้แต่ครูบาอาจารย์ พระอาจารย์ รจนาพระธรรมยังไม่เว้น ว่าแบบเสียๆ หายๆ ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ